คำกล่าวของมู่อวี่สามารถดึงดูดความสนใจจากใครหลายคนในตระกูลมู่ที่มายังโรงอาบน้ำได้เป็อย่างดี ทันใดนั้นผู้คนมากกว่าสิบคนก็ได้มารวมตัวกันเพื่อรอชมเื่สนุกในทันที โดยในบรรดาพวกเขามีชายฉกรรจ์รวมอยู่ด้วย
“เฮ้ นั่นพี่ใหญ่มู่อวี่ พี่ใหญ่มู่อวี่กลับมาแล้ว!”
“ครั้งล่าสุดที่พี่ใหญ่มู่อวี่กลับมาก็คือเมื่อหนึ่งปีก่อน ในเวลานั้นเขาสามารถทะลวงผ่านระดับจื่อฝู่ได้แล้ว หลังจากฝึกฝนในสำนักฝึกยุทธ์ชางหลิ่งเพิ่มอีกหนึ่งปี ไม่รู้ว่าเวลานี้วรยุทธ์ของเขาจะพัฒนาไปถึงไหนแล้ว”
“มู่อวี่และมู่ลี่นั้นสนิทสนมกันมาก หลังจากคราวก่อนที่มู่ลี่ถูกคุณชายมู่เฟิงทุบตี เห็นทีคราวนี้เขาคงพามู่อวี่มาเพื่อล้างแค้น มีฉากสนุกให้ได้ชมกันอีกแล้วสิ”
แน่นอนว่าบรรดาคนตระกูลมู่เหล่านี้ล้วนคุ้นเคยกับมู่อวี่เป็อย่างดี
มู่เฟิงขมวดคิ้ว ในความเป็จริงเขาไม่ได้้าจะมีเื่ขัดแย้งกับคนในตระกูลเดียวกัน แต่เนื่องจากอีกฝ่ายกลั่นแกล้งเขาก่อน อีกทั้งเขาเองก็ไม่ได้นึกเกรงกลัวอะไร
“ถ้าอยากท้าสู้ก็ย่อมได้ เช่นนั้นเป็วันพรุ่งนี้เถอะ”
มู่เฟิงกล่าวตอบ ก่อนจะเดินจากไปพร้อมกับมู่ขวง เนื่องจากเขาเพิ่งสูญเสียพลังจากการเดินทางจนหมดเรี่ยวแรงไปมาก หากสู้กันเวลานี้เขาย่อมเสียเปรียบ
“ตกลง พรุ่งนี้ตอนเที่ยงวัน ข้าจะรอเ้าที่ลานประลองของจวน ต่อให้เ้าจะเป็คุณชายจากตระกูลหลัก แต่หมัดและเท้านั้นไร้ตา ดังนั้นหากาเ็ก็อย่าได้มากล่าวโทษข้าเสียเล่า”
มู่อวี่กล่าวอย่างเ็า
“มู่เฟิง คราวนี้เ้าได้เจอดีแน่”
มู่ลี่กล่าวด้วยรอยยิ้มกว้าง
“คำพูดเหล่านี้ข้าขอคืนมันให้ท่านแล้วกัน”
มู่เฟิงเพียงชำเลืองมองมู่อวี่โดยไม่ได้สนใจมู่ลี่เลยแม้แต่น้อย จากนั้นเขาก็เดินจากไปพร้อมมู่ขวง ไป๋จื่อเยว่และมู่จง
“เฮอะ ถึงเวลานั้นเ้าจะได้รู้เองว่าอะไรคือความสิ้นหวัง”
มู่ขวงแสยะยิ้มแปลกประหลาดส่งให้มู่ลี่ ก่อนจะเดินผ่านอีกฝ่ายไป
“ฮึ่ม พูดจาโอ้อวดนัก วรยุทธ์ของพี่มู่อวี่อยู่ในระดับจื่อฝู่ขั้นสามแล้ว ส่วนวรยุทธ์ของมู่เฟิงอย่างมากก็คงเป็ระดับจื่อฝู่ขั้นหนึ่งเท่านั้น อย่างเขาน่ะหรือจะคู่ควรเป็คู่ต่อสู้ของพี่มู่อวี่ มู่เฟิง เ้าเตรียมตัวนอนรักษาตัวบนเตียงเสียเถอะ”
มู่ลี่ตอกกลับเสียงเย็นอย่างไม่สนใจ
“พี่เฟิง คนพวกนั้นช่างน่ารำคาญยิ่งนัก”
ไป๋จื่อเยว่กล่าวขึ้นอย่างหงุดหงิด
“เป็เพียงเด็กที่ไม่เคยผ่านลมผ่านฝนเท่านั้น ไม่ต้องไปสนใจพวกเขา”
มู่เฟิงกล่าวอย่างเฉยเมย วางมาดราวกับเป็ผู้าุโคนหนึ่ง แต่มองดูแล้วเขาก็เป็เพียงเด็กหนุ่มอายุสิบห้าสิบหกปีเท่านั้น
ข่าวการท้าสู้กันระหว่างมู่อวี่และมู่เฟิงได้แพร่กระจายไปในกลุ่มคนตระกูลมู่อย่างรวดเร็ว เื่นี้กระตุ้นความสนใจจากผู้คนได้ไม่น้อย
เมื่อกลับมายังเรือนพักของตน มู่หลานได้นำยาบ่มเพาะพลังปราณที่มู่เฟิงควรจได้รับในระหว่างสองเดือนนี้มามอบให้แก่เขา
ยาบ่มเพาะพลังปราณเป็ยาอายุวัฒนะประเภทหนึ่งที่บรรจุพลังปราณเอาไว้ภายใน คนของตระกูลมู่จะได้รับยาหนึ่งเม็ดในทุกหนึ่งเดือน โดยยาบ่มเพาะพลังปราณหนึ่งเม็ดนั้นมีมูลค่าหลายสิบเหรียญตำลึงทอง
สำหรับมู่เฟิงแล้ว เนื่องจากทางตระกูลรอง้าดูแลเขาเป็พิเศษ ดังนั้นเด็กหนุ่มจึงได้รับยาบ่มเพาะพลังปราณสามเม็ดในทุกหนึ่งเดือน ในตอนนี้เม็ดยาที่มู่หลานนำมาจึงมีทั้งหมดหกเม็ด
มู่เฟิงกินยาบ่มเพาะพลังปราณเข้าไปหนึ่งเม็ด ก่อนจะเริ่มฟื้นฟูพลังปราณที่เสียไปจากการเดินทางกลับคืนมา
เมื่อยาอายุวัฒนะไหลลงสู่ท้อง เด็กหนุ่มได้เริ่มโคจรพลังปราณตามแบบวิธีของเคล็ดวิชาชูร่าในทันที เพียงเวลาไม่กี่อึดใจยาเม็ดนั้นก็ถูกกลั่นออกมาเป็พลังปราณสีขาวและไหลเวียนเข้าสู่จุดตันเถียนบริเวณช่องท้องของเขา
หากเป็ผู้ฝึกยุทธ์ทั่วไปคงต้องใช้เวลาครึ่งชั่วยามในการกลั่นยาบ่มเพาะพลังปราณให้กลายเป็พลังปราณบริสุทธิ์ แต่มู่เฟิงกลับใช้เวลาเพียงไม่กี่อึดใจเท่านั้น!
รูปแบบวิธีการฝึกของผู้ฝึกยุทธ์จะเป็ตัวกำหนดความเร็วในการกลั่นตัวยา ส่วนคุณภาพของปราณกระดูกจะเป็ตัวกำหนดว่าสามารถดูดซับพลังปราณได้มากน้อยเพียงใด
พลังปราณแปดสิบเปอร์เซ็นต์ที่ถูกกลั่นออกมาได้ไหลเวียนเข้าสู่มวลคลื่นพลังในร่างกาย พลังปราณสีขาวที่สูญเสียไปไม่น้อยได้เริ่มฟื้นคืนกลับมา ทั้งยังเหมือนว่าจะมีความเข้มข้นมากกว่าเดิม หลังจากกินยาเม็ดที่สองเข้าไป มวลคลื่นพลังนั้นก็ได้ถูกเติมเต็มกลับมาอย่างสมบูรณ์อีกครั้ง
เวลานี้ยังเหลือยาอีกสี่เม็ด มู่เฟิงตัดสินใจกินยาเพิ่มเข้าไปอีกสองเม็ด ก่อนจะทำการกลั่นพลังปราณออกมา ครานี้เขาตั้งใจจะควบแน่นมวลคลื่นพลังเพิ่มขึ้นใหม่อีกหนึ่งลูก มีเพียงการควบแน่นมวลคลื่นพลังออกมาสองลูกเท่านั้นจึงจะสามารถก้าวขึ้นสู่ระดับจื่อฝู่ขั้นสองได้
เวลายังคงเดินต่อไปจนกระทั่งยามค่ำคืนได้ผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว เช้าวันถัดมา ในที่สุดมู่เฟิงก็ลืมตาขึ้นพร้อมกับพ่นลมหายใจสีขาวที่มีความยาวกว่าหนึ่งฟุตออกมา จากนั้นมันได้ถูกดูดซับกลับเข้าสู่ร่างกายของเขาอีกครั้ง
เด็กหนุ่มหยัดกายลุกขึ้น ทั่วทั้งร่างของมู่เฟิงพลันปรากฏเสียงกระดูกลั่นดังอย่างคมชัด เขาจึงบิดตัวไปมาเพื่อยืดเส้นยืดสาย
เมื่อออกมายังลานบ้านของตัวเอง เด็กหนุ่มได้หันไปมองทางเสาเข็มจำนวนหนึ่งบนลานบ้าน ฉับพลันนั้นเขาก็หวนนึกถึงวิชาดรรชนีทองคำตัดสะบั้นขึ้นมา
มู่เฟิงรวบรวมพลังปราณไว้ที่นิ้วของตัวเอง โดยเขาคิดจะใช้นิ้วคู่นี้แทนตัวกระบี่ จากนั้นเด็กหนุ่มได้ลองตวัดนิ้วไปยังเสาเข็มเบื้องหน้าทันที
เปรี้ยง! เปรี้ยง!
นิ้วทั้งสองของเขาฟาดลงบนเสาเข็มที่ทำจากเหล็กกล้าอย่างรุนแรง จนปรากฏรอยนิ้วมือสองรอย แต่ฉับพลันนั้นความเ็ปก็ปะทุขึ้นบนปลายนิ้วมีทั้งสองของเขาในทันที
มู่เฟิงขบกรามแน่น จากนั้นเขาได้ใช้นิ้วแทงไปยังเสาเข็มอีกครั้งและอีกครั้ง เพียงไม่นานปลายนิ้วของเขาก็มีเืไหลออกมา มู่เฟิงไม่อาจทนได้อีกต่อไป ดังนั้นเขาจึงหยุดมือ ก่อนจะใช้พลังปราณห่อหุ่มนิ้วตัวเองเอาไว้เพื่อบรรเทาอาการาเ็
“เ้าหนุ่ม การจะฝึกดรรชนีทองคำตัดสะบั้นให้สำเร็จได้อย่างรวดเร็วนั้นยังพอมีวิธี แต่หากเ้ายังบุ่มบ่ามอยู่แบบนี้เกรงว่าจะเกิดผลล่าช้าแทน”
ซีเยว่กล่าว
“โอ้ มีวิธีอะไรอีกงั้นหรือ?”
มู่เฟิงหยุดชะงักก่อนจะเอ่ยถาม
“ครั้งต่อไปเ้าสามารถใช้ทรายเหล็กที่ร้อนระอุในการฝึกได้ หลังจากฝึกเสร็จแล้ว ให้เ้าแช่มือด้วยตัวยาที่เคี่ยวมาจากหญ้ากระดูกเสือ เช่นนี้ความเร็วในการฝึกของเ้าก็จะเร็วกว่าขึ้นกว่าเดิมหลายเท่านัก”
ซีเยว่บอกเล่าถึงเคล็ดลับ แน่นอนว่ามู่เฟิงย่อมเชื่อนางอย่างไม่ต้องสงสัย เด็กหนุ่มพยักหน้าในทันที เขารู้จักหญ้ากระดูกเสือดีว่ามันคือพืชสมุนไพรขั้นสองชนิดหนึ่ง ซึ่งสามารถช่วยฟื้นฟูอาการาเ็ของกระดูกได้
“คุณชายเฟิง ท่านตื่นเช้าจังเลยเ้าค่ะ”
ร่างบางในชุดคลุมสีครามของมู่หลานเดินออกมาจากห้องด้านข้าง นางบิดี้เีเล็กน้อยก่อนจะกล่าวทักทายมู่เฟิง
“เสี่ยวหลาน มาแลกเปลี่ยนกับข้าสักสองกระบวนท่าหน่อยสิ”
มู่เฟิงหัวเราะ
“ได้เ้าค่ะ แต่ท่านอย่าได้รังแกข้าเชียวนะเ้าคะ”
มู่หลานยิ้มกว้างจนเผยให้เห็นเขี้ยวเล็กของนาง จากนั้นเด็กสาวก็ได้พุ่งตัวกระโจนเข้าเตะมู่เฟิงอย่างรวดเร็ว เด็กหนุ่มเอามือข้างหนึ่งไพล่หลัง ในขณะตอบสนองการโจมตีของมู่หลานอย่างรวดเร็วเช่นกัน การต่อสู้ระหว่างพวกเขานั้นไม่ได้จริงจังมากนัก เห็นได้ชัดว่ามันเป็ไปอย่างผ่อนคลาย
เพียงไม่นานพวกเขาก็ได้ต่อสู้กันมาร่วมครึ่งชั่วยามแล้ว ตอนนี้มู่หลานเหนื่อยหอบจนเหงื่อท่วมกาย ในที่สุดนางก็นั่งพับลงบนพื้นอย่างอ่อนแรง ขณะที่มู่เฟิงไม่ได้มีอาการเหนื่อยล้าแสดงออกมาให้เห็นเลยแม้แต่น้อย ช่องว่างระหว่างพวกเขานั้นชัดเจนเป็อย่างมาก
“พอแล้ว พอแล้ว ท่านรังแกกันเกินไปแล้ว ลำพังเพียงมือข้างเดียวของท่านก็สามารถเอาชนะข้าได้อย่างราบคาบแล้วเ้าค่ะ”
มู่หลานนั่งหน้ามุ่ยอยู่บนพื้นขณะกล่าวออกมา มู่เฟิงหัวเราะก่อนจะดึงเสี่ยวหลานขึ้น
“พลังขาของเด็กสาวผู้นี้ไม่เลวเลย นางเหมาะจะฝึกฝนทักษะกำลังขา ข้ามีทักษะกำลังขาอยู่วิชาหนึ่ง ชื่อว่าวิชาร่างขาเงาผีเสื้อ หากมีโอกาสเ้าสามารถถ่ายทอดให้นางได้”
ซีเยว่กล่าวขึ้นอย่างกะทันหัน ขณะที่มู่เฟิงลอบตอบรับกับอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว
หลังจากนั้นมู่หลานก็ออกไปเตรียมอาหารเช้า เมื่อกินมื้อเช้าเรียบร้อยแล้ว เพียงไม่นานเวลาก็ได้ล่วงเลยไปเกือบเที่ยงวัน มู่เฟิง มู่ขวง ไป๋จื่อเยว่และมู่หลานจึงได้พากันมุ่งหน้าไปยังลานประลองของจวนตระกูลมู่ในทันที
ท่ามกลางสายลมเย็นในเหมันตฤดู เวลานี้ผู้คนนับร้อยต่างกำลังมารวมตัวกันที่ลานประลอง
ผู้คนเหล่านี้ส่วนใหญ่ล้วนเป็คนรุ่นเยาว์ของตระกูลมู่ โดย่อายุของพวกเขาคือไม่เกินยี่สิบปี นอกจากนี้ยังมีชายฉกรรจ์อีกจำนวนหนึ่ง บนแท่นประลองที่มีความสูงกว่าสามเมตรมีชายหนุ่มในชุดคลุมสีน้ำเงินผู้หนึ่งยืนกอดอกรอคอยเวลาอยู่เพียงลำพัง
“คุณชายมู่เฟิงมาแล้ว”
เมื่อกลุ่มของมู่เฟิงปรากฏตัว ฉับพลันนั้นได้เกิดความโกลาหลขึ้นในกลุ่มชนที่มารอชมในทันที
“มู่เฟิง คราวนี้เ้าตายแน่”
มู่ลี่กล่าวเย้ยหยันมู่เฟิงออกมาทันที ทว่าในตอนที่เด็กหนุ่มเดินผ่านเขาไป อีกฝ่ายกลับไม่คิดจะเหลียวแลเขาเลยแม้แต่น้อย การกระทำนี้ยิ่งทำให้มู่ลี่ขบกรามแน่นด้วยความโกรธ
มู่เฟิงดีดฝ่าเท้าของตัวเองก่อนจะกระโจนร่างทะยานขึ้นสู่แท่นประลองที่มีความสูงเหนือพื้นสามเมตร ร่างของเขาร่อนลงบนพื้นอย่างสง่างาม จากนั้นเด็กหนุ่มได้มองไปยังมู่อวี่ด้วยสายตาเย็นะเื
“มู่เฟิง หากเ้ายินยอมกล่าวขอขมาต่อมู่ลี่แต่โดยดี เื่ในวันนี้จะถือว่าไม่เคยเกิดขึ้น”
มู่อวี่กล่าวเสียงเย็น
“หากว่าข้าผิด ข้าย่อมยอมรับผิดและขอโทษแต่โดยดี แต่หากว่าข้าไม่ผิด ไม่ว่าใครหน้าไหนก็ไม่สามารถบังคับฝืนใจข้าได้ทั้งนั้น”
มู่เฟิงเอามือไพล่หลังพลางกล่าวขึ้นอย่างเฉยเมย ทว่าคำกล่าวนั้นของเขากลับหนักแน่นอย่างยิ่ง
ทั้งสองฝ่ายต่างสบตากัน อุณหภูมิรอบข้างราวกับถูกกดต่ำลงสององศา และฉับพลันนั้นคลื่นลมเย็นะเืก็พลันปะทุขึ้น เส้นผมยาวสยายของชายหนุ่มปลิวไสวไปตามแรงลมในทันที จากนั้นการต่อสู้ก็ได้เปิดฉาก!