ไม่รู้เพราะเหตุใด ชีวิตของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วั้แ่ลงจากเขามา ก็ผ่านแต่ละวันอย่างน่าอนาถนัก นี่เป็ประสบการณ์อันแปลกประหลาด ที่ทำให้เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วอดถามตัวซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่ได้ ว่าชีวิตคนเรามันจะลำบากลำบนเช่นนี้ตลอดไปหรือไม่ หรือมันจะลำบากยิ่งไปกว่านี้? หากเพราะตนผุดนึกขึ้นมาได้ ว่าเื่ที่เกิดขึ้นสองสามวันนี้ได้ใช้เวลาวันหยุดที่เหลืออยู่ไม่กี่วันของตนไปหมดแล้ว ชีวิตของนางก็อาจจะยังสามารถดำเนินไปอย่างมีความสุขสักนิด
แต่ถึงเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วจะยังคิดไม่ได้ว่านี่คือวันหยุดสั้นอันหาได้ยากของตน ก็ไม่อาจทนการเตือนซ้ำแล้วซ้ำเล่าจากเยวี่ยเจาหรานคู่หูของนางได้
ในอ้อมแขนของทั้งสองหอบผ้าห่มเอาไว้ และกำลังมุ่งไปยังศาลบรรพชนอย่างเงียบเชียบ เนื่องจากเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วนั้นไม่อยากััลมหนาวอีกแล้วจริงๆ ดังนั้นจึงจงใจเลือกผ้าห่มสองผืนที่หนาเป็พิเศษมา ผลลัพธ์ก็คือผ้าห่มในอ้อมแขนนั้นใหญ่จนบดบังการมองเห็นของทั้งคู่ไปมาก ทั้งยังส่งผลอย่างสาหัสต่อความเร็วในการเดินของทั้งสอง
“เอ ข้าว่า...” เยวี่ยเจาหรานเปลี่ยนทิศทางของผ้าห่มในมือ พยายามที่จะพักแขนทั้งสองข้างอันเหนื่อยล้าของตนในช่องว่างเพียงเล็กน้อยขณะปรับทิศทาง
หลังพบว่าการกระทำเช่นนี้ไม่มีผลอะไรเลย เยวี่ยเจาหรานก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมาอย่างอดไม่ได้ ทั้งเอ่ยตำหนิอยู่ในใจ ข้าไม่ควรจะแต่งเข้ามาั้แ่แรกแล้ว ถ้าหากข้าไม่แต่งเข้ามา ‘สามี’ ข้าก็จะไม่ ‘ป่วยหนักเกินรักษา’ หาก ‘สามี’ ไม่ได้ ‘ป่วยหนักเกินรักษา’ ข้าก็จะไม่ได้ไปคุกเข่าที่ศาลบรรพชน...
“พูดอะไรน่ะ? ก็รีบพูดมาสิ...” แม้ว่าเยวี่ยเจาหรานจะยังบ่นไม่จบ แต่เห็นได้ชัดว่าเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วนั้นรอต่อไปไม่ไหวแล้ว พูดพลางก็หันผ้าห่มในมือไปอีกทาง จากนั้นจึงเอ่ยถามต่อ “มีอะไรก็รีบพูด อย่ามัวแต่ชักช้า!”
ทั้งสองคนเดินต่อไปข้างหน้า เมื่อนั้นเยวี่ยเจาหรานถึงเอ่ยขึ้น “เ้าว่า วันหยุดนี้ของเ้า... เดิมทีมันไม่ควรจะมีเลยหรือไม่? เราไม่ได้ไปขี่ม้าผ่อนคลายยังพอว่า ทั้งยังก่อเื่ราวมากมายขนาดนี้ขึ้นมา ช่างได้ไม่คุ้มเสียเลยจริงๆ ... จนถึงตอนนี้น่ะ ข้าถึงเพิ่งเข้าใจว่าอะไรเรียกว่าโลภมากลาภหาย!”
ไม่แปลกที่เยวี่ยเจาหรานจะมีคำถามเช่นนี้ เื่นี้เกิดขึ้นมาอย่างน่าแปลกประหลาดยิ่งนัก ยามปกติเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วนั้นเล่าเรียนหนังสือเป็ประจำวันซ้ำซากจำเจ แม้มันจะน่าเบื่อไปหน่อย แถมไม่ค่อยสนุก แต่อย่างน้อยชีวิตก็ราบรื่นดี ไม่มีเื่ประหลาดๆ น่าหนักอกหนักใจมากมายเช่นนี้ เหตุใดวันหยุดสั้นๆ ที่ได้มาอย่างยากเย็น ถึงมีเื่วุ่นวายมาถามหาครั้งแล้วครั้งเล่ากัน?!
ไม่รู้ว่ายามนี้อาจารย์อวี้จะได้ยินเื่ราวอันน่าเวทนาของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วและเยวี่ยเจาหรานอยู่ในเรือนของตนบ้างหรือไม่ และจะนึกเสียใจว่าตนไม่น่าให้วันหยุดไปสั้นขนาดนี้หรือไม่นะ...?
ถึงอย่างไรหากวันหยุดยังยาวออกไปอีกสักหน่อย คาดว่าเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วและเยวี่ยเจาหรานที่ถูกเื่หยุมหยิมพวกนี้รัดตัวคงจะตั้งเวทีขับร้องบทกวีอำลาเคมบริดจ์ [1] ให้อาจารย์อวี้เลยทีเดียว!
อ้อไม่ๆ อาจจะไม่ใช่บทกวีอำลาเคมบริดจ์ แต่เป็บทกวีเคมบริดจ์ชั่วนิรันดร์ก็ไม่แน่ แม้ว่าเื่ราวจะไม่ได้ใหญ่โต แต่ความน่ารำคาญพวกนั้นแทบจะทำให้เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วและเยวี่ยเจาหรานรำคาญตายอยู่แล้ว!
“พอแล้ว เ้าพูดให้มันน้อยๆ หน่อยเถอะ เ้าไม่เตือนข้าก็เกือบจะลืมไปแล้วว่านี่เป็วันหยุดที่ข้าใช้กลยุทธ์เปิดและปิดข้อที่สองแลกมาอย่างยากลำบาก หากจะบอกว่าบำเพ็ญทุกรกิริยาก็ไม่เกินไปเลยใช่หรือไม่?”
เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วเหลือกตาไปทางเยวี่ยเจาหรานอย่างดุร้าย แต่น่าเสียดายที่ตอนนี้เบื้องหน้าดวงตาของเยวี่ยเจาหรานนั้นเป็ภาพของผ้าห่มทั้งหมด การเหลือกตาของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วนั้นเขามองไม่เห็นหรอก ช่างน่าเสียดายจริงๆ
เยวี่ยเจาหรานหัวเราะแห้ง แล้วไม่เอ่ยอะไรอีก ทั้งสองเดินๆ หยุดๆ กว่าจะหอบเอาผ้าห่มมาถึงหน้าประตูศาลบรรพชนอย่างยากเย็น
ที่ประตูมียามเฝ้าที่ฮูหยินเยี่ยนส่งมาประจำอยู่นานแล้ว เมื่อเห็นผ้าห่มสองก้อนเคลื่อนตัวมาทางศาลบรรพชนอยู่ไกลๆ ก็ทำให้คนที่เป็ยามเฝ้าผู้นั้นตกอกใเหลือกำลัง “เอ๋ นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันขอรับคุณชาย เหตุใดจึงขนของพวกนี้มาหรือ?”
เมื่อผ้าห่มบังจนมองไม่เห็นคน เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วจึงได้แต่เอียงศีรษะไป มองผู้ที่เอ่ยอยากยากลำบากยิ่ง เพียงสายตาจับจ้องก็ทำให้อีกฝ่ายใจนสะดุ้งเฮือก “พูดเหลวไหลให้น้อยๆ หน่อย! เ้าอยากเห็นคุณชายอย่างข้าเป็หวัดน้ำมูกย้อยอีกหรือไร? ขนผ้าห่มมาสักผืนแล้วมันทำไม แม่ข้าไม่ได้บอกให้ข้ามาทนหนาวอยู่ที่นี่หนึ่งชั่วยามนะ... เร็วๆ เปิดประตู!”
เมื่อได้ยินคำพูดนั้น เยวี่ยเจาหรานเองก็อดหัวเราะเบาๆ ไม่ได้ ท่าทางของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วยามนี้ ช่างเหมือนกับงูกัดครั้งเดียวกลัวเชือกไปสิบปีเลยจริงเชียว ถึงอย่างไรตัวเยวี่ยเจาหรานเองก็รู้สึกว่าการขนผ้าห่มมามันก็ทำเื่เล็กให้เป็เื่ใหญ่เกินไปจริงๆ อย่างไรเสียครั้งก่อนที่เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วถูกความหนาวจนจับไข้นั้น ก็เพราะทนหนาวตลอดทั้งคืน ตอนนี้ทั้งสองแค่ต้องทนเพียงหนึ่งชั่วยามก็ขนข้าวขนของมาใหญ่โต จะไม่เป็การเด่นสะดุดตามากเกินไปหรอกหรือ...
ทว่าใครจะไปเอาชนะเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วได้กัน? คาดว่าคนผู้นั้นคงยังไม่ถือกำเนิด แต่ถึงจะกำเนิดมาแล้ว ก็น่ากลัวว่าจะถูกเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วตีตายไปตั้งนานแล้ว ถึงอย่างไรเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วสตรีน้อยผู้นี้ คือคนที่้าเป็ที่หนึ่งอยู่ตลอดเวลา ต่อให้เป็ห่วงโซ่ที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก นางก็ไม่ยอมให้ใครมารั้งและขึ้นเหนือไปกว่านางได้
เมื่อบ่าวรับใช้ทั้งสองที่เฝ้าประตูได้ยินเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วอธิบายและขู่เข็ญเช่นนั้นแล้ว อย่างไรเสียก็ไม่กล้าพูดอะไรมาก ได้แต่เปิดประตูให้ทั้งสองไปก่อน แล้วรีบเข้าไปรับผ้าห่มในอ้อมแขนของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่ว อย่างไรก็พอช่วยแบ่งเบาให้กับพวกเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วได้บ้าง แต่คราวนี้มันได้สะกิดโดนใจของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วเข้า เมื่อมือของนางผ่อนเบาลงไปไม่น้อย นางจึงเอ่ยด้วยรอยยิ้มอีกครั้งอย่างรวดเร็ว “เกรงใจแล้ว! ข้าจำหน้าตาเหมือนหนูขี้ขโมยเช่นนี้ของเ้าไว้แล้ว กลับไปจะบอกให้ท่านแม่เลื่อนตำแหน่งเพิ่มเงินเดือนให้เ้า!”
หน้าตาเหมือนหนูขี้ขโมย? นั่นนับเป็คำชมได้ที่ไหนกัน! เยวี่ยเจาหรานแอบตีที่เอวของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่ว เพื่อสื่อว่าหากนางพูดไม่เป็ก็อย่าใช้คำมั่วซั่ว จะได้ไม่ถูกพวกจิตอคติฟังแล้วไม่สำเริงใจ แล้วเอานางไปฟ้องร้องกล่าวโทษอีก
เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วเองก็รู้สึกเก้อเขินเล็กน้อย นางเกาหัวแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “อย่าคิดมากนะอย่าคิดมาก สำนวนอะไรพวกนี้ ข้าเองก็เพิ่งจะเรียนมาน่ะ แค่จะบอกว่าเ้ารูปร่างหน้าตาสง่าผ่าเผยดั่งไม้ใหญ่ทานแรงลมน่ะ! ฮิฮิ~”
บ่าวเฝ้าประตูผู้นั้นเองก็นับว่าเป็คนสบายๆ ไม่ติดเอาความอะไรกับเื่พวกนี้นัก เขาหัวเราะแล้วจึงผ่านไป ทั้งสองคนถูกส่งเข้าไปในศาลบรรพชน และได้ยินบ่าวรับใช้ผู้นั้นเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “เอาล่ะ ข้าส่งคุณชายกับฮูหยินน้อยถึงตรงนี้นะขอรับ เราจะออกไปเฝ้าข้างนอก เมื่อครบหนึ่งชั่วยามเรารับรองว่าจะส่งท่านทั้งสองออกไปอย่างดี จะไม่ให้ท่านทนหนาวต่อไปอีกแม้ชั่วเวลาเดียวขอรับ”
“ได้ๆ เช่นนั้นก็ขอบคุณพี่ชายทั้งสองมาก!” เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วยกมือขึ้นคารวะแก่อีกฝ่าย แล้วจึงมองส่งคนทั้งสองออกไปจากศาลบรรพชน
“มาเถอะ คุกเข่ากัน!” เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วนั้นแม้ปากจะพูดไปเช่นนั้น แต่ร่างกายกลับนั่งลงไปทั้งอย่างนั้น และไม่ได้นั่งอยู่บนเบาะสาน แต่กลับนั่งอยู่บนผ้าห่มที่ตนเอามา เหยียดแขนเหยียดขาด้วยความสบายใจ
เยวี่ยเจาหรานสีหน้างงงัน อดถามขึ้นด้วยความลังเลไม่ได้ “นี่เ้า คุกเข่าหรือ?”
“นั่งคุกเข่าๆ บรรพชนรักเอ็นดูลูกหลานชนรุ่นหลังอยู่เสมอ จะไปเต็มใจยอมให้หลานสาวตัวน้อยที่น่ารักอย่างข้าคุกเข่าได้อย่างไร? นั่นย่อมเป็ไปไม่ได้ นั่งๆ เ้าก็นั่งลงเถอะน่า!”
เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วเห็นอีกฝ่ายยังกระบิดกระบวน นางจึงดึงเขาลงมาบนผ้าห่ม แล้วเริ่มต้นการ ‘นั่งคุกเข่า’ ดีๆ
เชิงอรรถ
[1] บทกวีอำลาเคมบริดจ์ 《再别康橋》โดยสวีจื้อหมัว บทกวีนี้ผสมผสานความรู้สึกของสวีจื้อหมัวและทัศนียภาพของมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ สื่อถึงความเศร้าโศกและอาวรณ์
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้