กู้อิ๋งแปลกใจกับท่าทีของท่านอ๋องยิ่งนัก กู้เจิงก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี นางจึงนั่งกินอาหารไปเงียบๆ ก่อนจะพูดขึ้นว่า “น้องสาม ถ้ากินไม่ได้ก็ไม่เป็ไร ไว้เ้าหิวเมื่อไหร่ ก็ค่อยให้บ่าวตั้งสำรับ”
“พระชายา ขนมที่บ่าวซื้อมาให้เมื่อเช้า...” ปาเม่ยกำลังจะถามพระชายาว่าอยากกินขนมหรือไม่
กู้อิ๋งส่ายหน้า “ทิ้งไปเถอะ ข้าไม่อยากกินแล้ว”
“เพคะ” ปาเม่ยรับคำสั้นๆ และไม่ได้แสดงร่องรอยของความผิดหวังใด ๆ
กู้เจิงประคองกู้อิ๋งเข้าไปนอนพักผ่อนในห้อง กู้อิ๋งถามนางว่า “พี่ใหญ่ ปกติพี่เขยใหญ่งานยุ่งไหม?”
“ยุ่งสิ บางครั้งก็ไม่ได้เจอกันเลยทั้งวัน” กู้เจิงตอบคำถามนาง
“งั้นท่านเคยโทษเขาบ้างไหมเ้าคะ?”
“ข้าไม่โทษเขา เขาทำงานหนักก็เพื่ออนาคตข้างหน้า” กู้เจิงตอบยิ้มๆ
กู้อิ๋งคิดไปคิดมา ก็ว่าพี่ใหญ่ของนางทำถูกต้องแล้ว
เห็นใบหน้าของนางอ่อนเพลีย กู้เจิงจึงเอ่ยว่า “เ้านอนพักเถอะ ข้าเองก็จะกลับแล้ว”
“พี่ใหญ่อยู่เป็เพื่อนข้ามาครึ่งค่อนวัน ลำบากท่านแล้ว”
“ต่อไปถ้าอยากหาคนคุยด้วยก็ให้ชิวจื้อมาเรียกข้าได้”
กู้อิ๋งพยักหน้า นางค่อยๆ หลับตาลงพักผ่อน
แม่เฒ่าซุนกำลังจะออกไปส่งกู้เจิง แต่ปาเม่ยกำลังรออยู่ข้างนอก นางบอกแม่เฒ่าซุนว่านางจะไปส่งเอง เพราะนางไม่ได้คุยกับพี่สะใภ้นานแล้ว
ทุกครั้งที่ได้เจอปาเม่ย กู้เจิงก็อยากจะถอนหายใจ หากชุนหงก้าวหน้าได้สักครึ่งหนึ่งของปาเม่ย นางคงลดความกังวลไปได้มาก
“พี่สะใภ้ชอบชมข้าเสมอ ข้าเขินไปหมดแล้วเ้าค่ะ” ปาเม่ยยิ้มอย่างเขินอาย “พี่ชุนหงมีเ้านายที่ดีขนาดนี้ ไม่รู้ว่าจะมีความสุขแค่ไหนกัน”
“เ้ามีสามีที่ดีอย่างหลี่หนาน ตอนนี้ยังเป็ถึงผู้ดูแลเรือนของพระชายา แล้วยังไม่มีความสุขอีกหรือ?” ในจุดนี้ กู้เจิงรู้สึกว่าปาเม่ยเป็เด็กโชคดีคนหนึ่ง
“ก็แค่รองผู้ดูแลเล็กๆ เท่านั้นเองเ้าค่ะ”
กู้เจิงมองท่าทางของปาเม่ย แม้จะดูขี้อายเหมือนแต่ก่อน ทว่าแววตากลับแตกต่างจากเดิมมาก แววตาของนางตอนนี้เต็มไปด้วยความอยากเอาชนะ นางแปลกใจกับความทะเยอทะยานของแม่นางน้อยคนนี้ แต่นี่ก็เป็เื่ดี เพียงแต่ไม่ว่ายุคสมัยไหน สตรีที่รักความก้าวหน้าก็จะประสบความทุกข์ยากอยู่บ้าง
“ถ้าพยายามให้มากหน่อย บางทีอาจจะได้เป็ผู้ดูแลเรือนอิ๋งจวงก็ได้” กู้เจิงพูดยิ้มๆ
“ขอบคุณพี่สะใภ้เ้าค่ะ”
ขณะที่ทั้งสองกำลังเดินคุยกัน จ้าวหยวนเช่อก็เดินสวนออกมาจากเรือนแห่งหนึ่ง
เมื่อเขาเห็นกู้เจิง เท้าสองข้างก็หยุดลงดื้อๆ เขาได้แต่ยืนจ้องมองกู้เจิงอย่างเ็า
พ่อบ้านว่านที่ตามมาด้วย เขามองไปยังปาเม่ยและใช้สายตาบอกเป็นัย ก่อนรีบเดินห่างออกไปสิบก้าว
กู้เจิงมองตวนอ๋องอย่างสงสัย “ท่านอ๋องมีเื่จะคุยกับหม่อมฉันหรือเพคะ?”
“ตอนนี้เ้าก็ได้เป็ฮูหยินขั้นสองแล้ว เ้าพอใจหรือไม่?” จ้าวหยวนเช่อทอดสายตามองเค้าหน้าอ่อนโยนตรงหน้าอย่างเ็า
กู้เจิงยิ้ม “ท่านอ๋องทรงล้อเล่นแล้ว ที่สามีของหม่อมฉันได้เลื่อนตำแหน่งเป็บัณฑิตประจำสำนักราชเลขา นั่นก็เป็เพราะการสนับสนุนจากท่านอ๋อง และความชื่นชมจากฝ่าาเพคะ”
จ้าวหยวนเช่อยิ้มเยาะ “เปิ่นหวังให้เขาซ่อนเร้นความสามารถและรอเวลา แต่เขากลับรีบแสดงตัวตนใน่เวลาที่สำคัญที่สุด ทั้งหมดนี้ก็เพื่อเ้าเท่านั้น” ประโยคของเขาแฝงไว้ด้วยความซับซ้อน
“หม่อมฉันเป็ภรรยาของเขา เขาทำแบบนี้เพื่อหม่อมฉัน แล้วมันผิดตรงไหนหรือเพคะ?” ดวงตาดำขลับของนางจ้องมองจ้าวหยวนเช่ออย่างตรงไปตรงมา
“เขาควรจะให้ความสำคัญกับสถานการณ์ในตอนนี้”
สถานการณ์ในตอนนี้เป็ยังไงกัน? ก็แค่ความเห็นแก่ตัวขององค์รัชทายาทกับตวนอ๋องเท่านั้น แน่นอนว่ากู้เจิงไม่ได้พูดออกไป
เห็นกู้เจิงก้มหน้าไม่พูดเถียง จ้าวหยวนเช่อก็รู้สึกว่าอารมณ์ของตนเองไม่ค่อยมั่นคงนัก เขาไม่ได้มาที่นี่เพื่อพูดสิ่งเหล่านี้ เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยว่า “จวนตวนอ๋องกับจวนกู้ในตอนนี้เป็หนึ่งเดียวกันแล้ว”
กู้เจิงไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆ ตวนอ๋องถึงพูดออกมา “เพคะ”
“เ้าเป็คุณหนูใหญ่แห่งจวนกู้ ย่อมต้องยึดจวนกู้เป็สำคัญ ใช่ไหม?” จ้าวหยวนเช่อถาม
“เพคะ” กู้เจิงรู้สึกว่าคำพูดนี้ก็ไม่ได้ผิดอะไร
“ตอนนี้เสิ่นเยี่ยนเป็บัณฑิตประจำสำนักราชเลขา และได้เข้าร่วมประชุมในราชสำนักเช่นเดียวกับเปิ่นหวัง เปิ่นหวังเป็คนที่กู้ป๋อเจวี๋ยกับฉางผิงโหวเฝ้ามองจนเติบใหญ่ ทั้งสามตระกูลมีหนึ่งใจเดียวกัน ก่อนหน้านี้เสิ่นเยี่ยนเป็ที่ปรึกษาที่เปิ่นหวังให้ความสำคัญมากที่สุด ตอนนี้มีฐานะเป็ญาติกัน แต่ว่าคนรู้หน้าไม่รู้ใจ เปิ่นหวังหวังว่าเ้าจะคอยเฝ้าจับตาดูให้มาก"
กู้เจิงเงยหน้ามองจ้าวหยวนเช่อ เขาจะให้นางไปเฝ้าจับตามองสามีอย่างนั้นหรือ? เพื่ออะไร?
“เ้าเป็คนฉลาด น่าจะเข้าใจในคำพูดของเปิ่นหวัง”
กู้เจิงกะพริบตาปริบๆ “ท่านอ๋องระแวงเสิ่นเยี่ยนั้แ่เมื่อไหร่กันเพคะ? หรือั้แ่แรกเริ่ม ก็ไม่เคยเชื่อในตัวสามีของหม่อมฉันอยู่แล้ว?”
“ตอบแค่ประโยคเดียว ได้หรือไม่ได้?”
“เื่ในราชสำนัก หม่อมฉันจะไม่เข้าไปยุ่ง หากท่านอ๋องไม่ไว้ใจ ก็ส่งคนมาคอยจับตาดูเอง อย่าได้มาให้หม่อมฉันทำเลยเพคะ”
“ข้าไม่ใช้ประโยชน์จากคนอื่น และก็ไม่อยากถูกคนอื่นหลอกใช้” เห็นสีหน้าของตวนอ๋อง กู้เจิงเองก็เริ่มมีสีหน้าขมุกขมัว
“หากเ้าอยากมีชีวิตที่ดีขึ้น ก็จงทำตามที่เปิ่นหวังบอก”
“หากหม่อมฉันอยากมีชีวิตที่ดีขึ้น เกรงว่าจะไม่ได้อยู่กับตวนอ๋องกระมังเพคะ” กู้เจิงแค่นเสียงเย็น นางคิดว่าเหตุใดท่านอ๋องผู้นี้ถึงได้คิดไปขนาดนั้น?
จ้าวหยวนเช่อขมวดคิ้วทอดสายตามองหญิงสาวตรงหน้า นางไม่เคยพูดแบบไม่เกรงกลัวเช่นนี้ต่อหน้าเขา นางมีแต่ประจบประแจงเขา และก็กลัวเขา นางไม่เคยกล้าสบตากับเขาเช่นนี้มาก่อน และในดวงตาของนางก็มีแสงลุกโชน และแสงนี่ก็เพื่อบุรุษอื่นที่ไม่ใช่เขา
จ้าวหยวนเช่อก้าวเข้าไปกู้หาเจิง กู้เจิงถอยหลังไปหนึ่งก้าวด้วยความใ “ทะ ท่านจะทำอะไร?”
ผู้หญิงคนนี้ไม่ได้เปลี่ยนไป นางยังคงกลัวเขา เขาก้าวเข้าไปอีกก้าว ตามคาด นางเริ่มหน้าซีดเผือด
“พ่อบ้านว่าน” จู่ๆ กู้เจิงก็หันไปร้องเรียกพ่อบ้านว่านที่อยู่ไม่ไกล เสียงนี้ไม่ใช่เสียงร้องะโธรรมดา แทบจะเป็การกรีดร้องเสียด้วยซ้ำ
เสียงร้องเรียกของนาง ทำเอาพ่อบ้านว่านกับปาเม่ยใ และดึงดูดสาวใช้คนอื่นให้ทยอยเดินเข้ามาดูด้วย
สีหน้าของจ้าวหยวนเช่อยิ่งบึ้งตึง เขายืนมองกู้เจิงพูดกับพ่อบ้านว่านว่า “ท่านอ๋องบอกว่าเขาไม่ค่อยสบาย รีบไปเชิญหมอหลวงมา”
พ่อบ้านว่านใกับเสียงเรียกของกู้เจิง แต่พอได้ยินนางบอกว่าท่านอ๋องป่วย เขาก็ไม่ได้สนใจอะไรอีก เขาได้แต่รีบออกจากจวนไปเชิญหมอหลวงตามคำสั่งของกู้เจิง
กู้เจิงย่อกายคารวะตวนอ๋องอย่างประชด “ท่านอ๋อง ไม่นานร่างกายของพระชายาก็จะดีขึ้นเอง ท่านเองก็อย่าได้กังวลไป หม่อมฉันขอตัวกลับก่อน เอาไว้จะมาเยี่ยมพระชายาใหม่เพคะ”นางพูดจบก็รีบจากไป
ยามรถม้าค่อยๆ เคลื่อนตัวออกจากหน้าจวนของตวนอ๋อง กู้เจิงถึงได้ถอนหายใจออกมาเบาๆ นางนึกถึงสิ่งที่ตวนอ๋องเพิ่งพูดกับนาง เป็ดังที่นางเคยคิดไว้ ตวนอ๋องผู้นี้ระแวงเสิ่นเยี่ยนจริงๆ
นางได้แต่คิดว่าจะบอกเื่ในวันนี้กับเสิ่นเยี่ยนดีไหม? แต่ในท่ายที่สุดแล้วกู้เจิงก็คิดว่านางไม่บอกจะดีกว่า
กู้เจิงไม่ได้ตรงกลับบ้านตระกูลเสิ่นในทันที นางไปแวะบ้านป้าใหญ่ก่อน เพราะเวลานี้ทุกคนที่บ้านตระกูลเสิ่นต่างมาช่วยงานอยู่ที่บ้านป้าใหญ่
เมื่อมาถึงนางก็ได้ยินเสียงพูดคุยดังมาจากในบ้านของท่านป้าใหญ่ ขณะก้าวลงจากรถม้า นางก็เหลือบไปเห็นเสี่ยวเหมาเอ๋อร์เสิ่นฉินกำลังมองดูเด็กๆ ที่วิ่งเล่นกันอยู่บริเวณหน้าเรือนอย่างเหงาๆ ั้แ่ลุงสามกับป้าสามรับเสี่ยวเหมาเอ๋อร์เป็บุตร เด็กน้อยคนนี้ก็ดูจะมีความสุขมากขึ้น