จื่อหลาน หญิงสาววัยยี่สิบปีเด็กหลังห้อง ที่เรียนหนังสือไม่เก่ง เป็เด็กกิจกรรมที่ชอบความสนุกสนาน ข้อนี้ทำให้เธอเข้ากับผู้อื่นได้ง่าย งานอดิเรกที่ชอบทำก็คือการอ่านนิยายประวัติศาสตร์ และมีความใฝ่ฝันว่าอยากเป็นักเขียนมีชื่อ ซึ่งเพื่อน ๆ ต่างก็บอกว่า ‘สมองเธอทึบเกินกว่าจะเป็นักเขียนได้’
แต่นั่นไม่ได้ทำให้จื่อหลานโกรธ กลับกันเธอเที่ยวไปบนบานศาลกล่าวต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หากไม่ได้ด้วยเล่ห์ ก็ต้องเอาด้วยกล หากไม่ได้มนต์ ก็ต้องเอาด้วยคาถา!
หญิงสาวผงกศีรษะไหว้ขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ท่ามกลางผู้คนมากมายเบียดเสียดกัน เธอยังคงกำหนดจิตด้วยความตั้งมั่นเหมือนเช่นเคย
“องค์พระโพธิสัตว์คะ ฉันขอพรให้ได้เป็นักเขียนมีชื่อ ได้ไปเที่ยวในสถานที่ที่ไม่เคยไปสักครั้ง หากพรของฉันสมปรารถนาทั้งสองประการแล้ว ฉันจะยอมยกโทษให้พ่อกับแม่ ที่ทิ้งฉันไปั้แ่แบเบาะ บุญแห่งอภัยทานเป็บุณมหาศาล”
“จื่อหลานล่ะ” เพื่อนในกลุ่ม ที่กำลังขึ้นรถเอ่ยถาม ก่อนเพื่อนอีกคนจะชี้มือไปยังจื่อหลาน ที่ยังผงกศีรษะอยู่ไกล ๆ
“ทุกทีสิน่า ถ้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริง ป่านนี้พวกเราก็คงสุขสมความปรารถนาไปกันหมดแล้วล่ะ ฉันก็คงได้รักกับเฮียเหริน ส่วนเธอก็คงได้ไปเรียนต่อที่อเมริกาอย่างที่ตั้งใจ จื่อหลานนะจื่อหลานเชื่ออะไรที่ไม่ควรเลยสักนิด” เพื่อนส่ายศีรษะอย่างไม่เห็นด้วย
ไม่นานนัก รถบัสก็ขับขึ้นไปยังเขาหนานซาน เพื่อน ๆ ในกลุ่มก็เดินถ่ายรูปเล่นกันอย่างสนุก จื่อหลานแยกตัวออกจากลุ่มเพื่อน แล้วขมวดคิ้วเมื่อเห็นว่ามุมด้านหน้า เป็หุบเหวมองลงไปเป็ท้องทะเลสีฟ้าคราม ทอดสายตาเห็นพระโพธิสัตว์ที่เพิ่งขอพรตั้งตระหง่านอยู่ริมทะเล คล้ายกับโดนสะกด เธอค่อย ๆ ก้าวเท้าไปพร้อมสายลมอ่อนพัดมาปะทะกาย ก่อนจะยกมือถือขึ้นถ่ายรูปเพื่อเก็บไว้เป็ที่ระลึก
เพียงเสี้ยววินาที มีเพื่อนผู้ชายอีกกลุ่ม วิ่งไล่กันมาด้วยความเร็ว แล้วพลาดชนเข้ากับร่างของจื่อหลาน ที่กำลังถ่ายรูปอยู่ โทรศัพท์ในมือร่วงหล่น พร้อมร่างเล็กลอยละลิ่วลงสู่ด้านล่าง ท่ามกลางสายตาตกตะลึงของเพื่อน ๆ บริเวณนั้น
“ตูม!” ร่างของจื่อหลานกระทบกับคลื่นทะเลแล้วจมดิ่งลงสู่ก้นมหาสมุทร จื่อหลานพยายามแหวกว่าย ขึ้นสู่้า ทว่าไม่อาจฝืนแรงคลื่นได้ เธอค่อย ๆ หมดแรง ก่อนภาพสุดท้ายจะหวนนึกถึงคำขอของตัวเองต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์
“องค์พระโพธิสัตว์คะ ฉันขอพรให้ได้เป็นักเขียนมีชื่อ ได้ไปเที่ยวในสถานที่ที่ไม่เคยไปสักครั้ง...” แล้วภาพก็ดับไป
ไม่รู้ว่านานเท่าใด...ที่เธออยู่ในห้วงแห่งความมืดมิด หญิงสาวตระหนักรู้ว่าเธออาจหมดลมหายใจ แล้วกำลังเดินทางไปยังดินแดนหลังความตายสักแห่ง ก่อนรู้สึกเจ็บที่หลัง แล้วค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง เห็นเป็ท้องฟ้าสีครามสะอาดตา
“นี่ฉันยังไม่ตายหรอกเหรอ โชคดีจัง” หญิงสาวเผลอยิ้มออกมาด้วยความดีใจ ก่อนขมวดคิ้ว เมื่อรู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่าง
“ทำไมเจ็บจัง” เธอนิ่วหน้าแล้วค่อย ๆ ลุกขึ้นนั่ง มองสิ่งที่ตัวเองนอนทับอยู่อย่างแปลกใจ เพราะคิดว่าตัวเองนอนอยู่บนโขดหินริมทะเล
“ท่อนไม้!” หญิงสาวอุทานเมื่อเห็นว่าตัวเอง นอนอยู่บนท่อนไม้ขนาดใหญ่เรียงกันเป็ชั้น ๆ คล้ายกับการเตรียมเผาศพ จื่อหลานตาเบิกกว้าง เมื่อหันไปบริเวณรอบ ๆ มีผู้คนแต่งตัวประหลาดมากมายยืนห้อมล้อม จับจ้องมาราวกับจะกินเืกินเนื้อ
“นายหญิงของข้ายังไม่ตาย พวกเ้าหยุดก่อน” เสียงของสาวใช้คนสนิทเอ่ยขึ้นทั้งน้ำตา แล้ววิ่งเข้ามาหา ดึงร่างของนางสวมกอดร้องไห้ด้วยความเสียใจอย่างถึงที่สุด
“คุณเป็ใคร” จื่อหลานถามตะกุกตะกัก พยายามจับต้นชนปลายด้วยความแปลกใจ ก่อนสาวใช้คนดังกล่าว จะปาดน้ำตาแล้วละล่ำละลักพูด
“มู่เลี่ยนไงเ้าคะ นายหญิงของข้าฟื้นแล้ว ข้าดีใจที่สุด” หญิงสาวกอดผู้เป็นายอีกครั้ง ก่อนจื่อหลานจะเลื่อนสายตามองไปรอบ ๆ เพื่อทบทวนทุกอย่างช้า ๆ
“ชุดที่พวกเขาใส่เป็ชุดสมัยราชวงศ์ถัง ภาษาที่พวกเขาพูดเป็ภาษาเก่าแก่ แต่ก็พอฟังรู้เื่ โลกหลังความตายเป็แบบนี้ได้ยังไง ฉันต้องไป์ หรือไม่ก็นรกไม่ใช่เหรอ” ขณะที่จื่อหลานกำลังสับสนอยู่นั้น เสียงกังวานของผู้มีอำนาจก็ดังขึ้น จากด้านหลัง
“หากนางยังไม่ตาย ก็กรอกยาพิษให้นางกินอีก ให้นางได้ตายเหมือนที่นางทำกับเซียนเยว่!” มู่เลี่ยนได้ยินคำสั่งของโม่โฉว ก็รีบคลานเข่า เข้าไปหาด้วยความหวาดหวั่น พลันประสานมือเข้าหากันแล้วคำนับหลายรอบ
“ท่านโม่โฉว โปรดหยุดลงโทษฮูหยินเสี่ยวเฟยเถิดนะเ้าคะ นางดื่มยาพิษไปแล้วหนึ่งถ้วย หากนางไม่ตายแสดงว่า์เมตตาให้นางมีชีวิตอยู่ต่อ” จื่อหลานที่นั่งอยู่บนกองฟืน ขยับกายเล็กน้อย จับจ้องไปยังสาวใช้ผู้นั้น ที่กำลังร้องขอชีวิตเพื่อเธอ
แล้วสำรวจมองชุดที่ตนสวมใส่ พลางจับใบหน้าของตัวเองไปมาแล้วขมวดคิ้ว
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้