เมื่อสิ้นเสียง ขุนนางภายในตำหนักพลันเริ่มซุบซิบวิพากษ์วิจารณ์ขึ้นอีกครั้ง
เทพนักรบแห่งแผ่นดิน หาได้เป็เพียงฉายาที่ใช้ยกย่องนักรบเท่านั้นแต่มันเป็ตำแหน่งทางราชการจริงๆ ต่างหาก ซึ่งเป็ใหญ่รองจากกงเจว๋และขุนนางชั้นสูงสุดเท่านั้นเรียกได้ว่าเป็ตำแหน่งสูงสุดเท่าที่แม่ทัพคนหนึ่งจะปีนป่ายขึ้นไปได้ทีเดียวถัดขึ้นไปอีกระดับก็จะเป็ตำแหน่งเสนาบดี ซึ่งเป็หนึ่งในกงเจว๋ทั้งสามแล้วซึ่งตำแหน่งเสนาบดี ขอเพียงเสนาบดีคนปัจจุบันยังอยู่ คนอื่นๆ ก็ไม่มีหวังเอื้อมแตะต้องได้
เป่ยทงเสวียนเป็ดาวรุ่งรุ่นใหม่ของเมืองซีเหลียง
ตู้หงฉางเป็บุตรของเทพนักรบผู้สละชีพเพื่อชาติบ้านเมือง
การที่เขาช่วยพูดแทนเป่ยทงเสวียนเช่นนี้ หากมองเผินๆอาจดูเหมือนเป็การกระทำที่ยิ่งใหญ่ รู้กาลเทศะ ทว่าความจริงแล้ว พอลับหลังทุกคนจะพากันเยาะเย้ยว่าตู้หงฉางยอมขายศักดิ์ศรีของวงศ์ตระกูลเพื่อประจบประแจงคนใหญ่คนโตเท่านั้น
ซือหม่าสวี่ยกมุมปากขึ้นจนกลายเป็รอยยิ้มบางๆที่ยากจะสังเกตเห็น
ทว่าองค์จักรพรรดิกลับมีสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างต่อเนื่องเอาแต่จ้องไปยังร่างของชายหนุ่มซึ่งยังคงมีท่าทีหวาดกลัวเล็กน้อยตรงหน้าตาไม่กะพริบ
ทั้งหมดเป็แผนการที่ถูกวางเอาไว้ั้แ่แรกแล้วมันเป็แผนของซือหม่าสวี่กับตู้หงฉาง...
ทั้งสองมีเป้าหมายเดียวกัน คือการสร้างแม่ทัพคนใหม่เพื่อถ่วงดุลอำนาจกับฝูซานเชียนแห่งซีเหลียงที่เริ่มไม่เชื่อฟังผู้นั้น
นี่เป็สิ่งที่พวกเขา้า และพวกเขาก็เลือกคนๆเดียวกัน นั่นก็คือเป่ยทงเสวียน...
เหตุนี้ วิธีการและขั้นตอนการสนับสนุนเป่ยทงเสวียนของทั้งสองจึงถือเป็สิ่งที่สำคัญมาก
พวกเขา้าเป็เพียงผู้เดียวที่ควบคุมเป่ยทงเสวียนผู้ซึ่งสามารถถ่วงดุลอำนาจของฝูซานเชียนได้
ดังนั้นเมื่อซือหม่าสวี่เสนอให้เป่ยทงเสวียนรับตำแหน่งเทพนักรบก็จำเป็ต้องมีใครสักคนออกมาคัดค้านความเห็นนี้ เช่นนั้น องค์จักรพรรดิจะได้ข่มเสียงคัดค้านพวกนั้นไว้แล้วกลายเป็ผู้มีพระคุณอีกคนของเป่ยทงเสวียน
แต่คิดไม่ถึงเลยว่าคนที่เสนอตัวออกมาจะเป็ตู้หงฉางและสิ่งที่ตู้หงฉางพูดก็ผิดกับความ้าขององค์จักรพรรดิโดยสิ้นเชิง
ผ่านไปนาน กว่าองค์จักรพรรดิจะหัวเราะออกมาในที่สุด“ใจกล้าั้แ่อายุยังน้อยเลยสินะ!!! ดีจริงๆ!”
“เป่ยทงเสวียน จงออกมารับการแต่งตั้งจากข้า!”
“พ่ะย่ะค่ะ!”เหตุการณ์ที่ส่งผลไปถึงความเป็อยู่และเกียรติยศทั้งชีวิตของเป่ยทงเสวียนเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาแต่เขากลับมีท่าทีราวไม่สนใจ ทั้งยังไม่แยแสผู้ใด ในตำหนักเลยสักนิดกระทั่งเสียงขององค์จักรพรรดิดังขึ้น เขาจึงก้าวยาวๆ ไปข้างหน้าหนึ่งก้าวแล้วคุกเข่าข้างหนึ่งลงอีกครั้ง
“นับแต่บัดนี้เป็ต้นไปข้าขอแต่งตั้งให้เ้าเป็เทพนักรบแห่งแผ่นดิน ซึ่งมีฉายาว่าัคำรามห้าวันต่อจากนี้ ข้าจะมอบตราคำสั่งที่สามารถควบคุมทัพทหารหนึ่งแสนนายแก่เ้า เพื่อเ้าจะได้ใช้กำลังทหารเหล่านี้ในการสยบกองทัพแห่งเผ่าหมานต่อไป!”
เมื่อสิ้นเสียงกล่าว สายลมยามวิกาลก็พัดวูบพลันดวงดาวบนท้องนภาส่องประกายแสงเจิดจ้าขึ้นแสงที่แสนสว่างไสวพุ่งผ่านท้องนภาอันแสนมืดมน กระโจนผ่านเมฆหมอกข้ามผ่านระยะทางนับแสนลี้ ส่องผ่านหลังคาของตำหนักไท่เหอลงมาบนพื้นดิน
มันเป็แสงจากชีพดาราขององค์จักรพรรดิซึ่งมีนามว่าดาวจื่อเวยนั่นเอง
มันเป็จ้าวแห่งดารา และเป็ราชันแห่งโลกาด้วยเช่นกัน
พลังอำนาจมหาศาลปะทุออกมาจากร่างขององค์จักรพรรดิ และด้วยพลังนี้ทำให้คนทั้งตำหนักรู้สึกยกย่องนับถือจนอยากกราบไหว้เ้าของพลังเหลือเกิน
แสงจากดวงดาวส่องลงบนร่างของเป่ยทงเสวียนในที่สุด
วินาทีที่แสงดาวส่องกระทบ เขารู้สึกราวมีพลังบางอย่างแฝงมากับแสงดาราแทรกซึมเข้าไปในร่างกายอย่างรวดเร็ว ชายเสื้อของเขาถูกพัดจนปลิวไสวแผ่นเหล็กบนชุดเกราะส่งเสียงกระทบและเสียดสีขึ้นอย่างต่อเนื่อง
เพียงไม่กี่อึดใจ แสงดาวก็สลายไปเสียแล้วดวงดาราเองก็เลือนหายไปแล้วเช่นกัน องค์จักรพรรดินั่งลงบนบัลลังก์อีกครั้ง ผิดกับเป่ยทงเสวียนที่ลุกยืนขึ้น
ระดับพลังของเขาไม่ได้เพิ่มขึ้นเพราะแสงนั้นแต่รังสีสังหารบนร่างของเขากลับทวีความรุนแรงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ยิ่งไปกว่านั้นแสงจากดวงดาวทอดประกายเจิดจ้าออกมาจากร่างกาย ทุกครั้งที่เขาเคลื่อนไหวเลยทีเดียวทุกคนรู้ดีว่านับแต่นี้เป็ต้นไป แผ่นดินต้าเว่ยมีเทพนักรบเพิ่มขึ้นมาอีกคนแล้วและคนผู้นั้นก็มีฉายาว่าัคำรามนั่นเอง
ดาวจื่อเวย เป็ดาวที่พิเศษเหลือเกิน
มันต่างไปจากดาวทุกดวงบนโลก
เพราะนักรบไม่จำเป็ต้องขัดเกลา พิสูจน์ตัวเองหรือเอาชนะมัน
แต่เพียงใครคนใดคนหนึ่งได้รับการยอมรับจากคนในใต้หล้าและขึ้นเป็องค์จักรพรรดิของแผ่นดิน เพียงเท่านี้ชีพดาราของเขาก็จะถูกผูกเข้ากับดาวจื่อเวยทันที
และดาวจื่อเวยก็มีความสามารถพิเศษที่ไม่เหมือนใครอยู่ด้วยนั่นก็คือการแต่งตั้ง!
เมื่อครู่ องค์จักรพรรดิ ก็เพิ่งใช้ทักษะนั้นไปมันเป็ทักษะที่ต้องใช้พลังจิตสูงมากเลยทีเดียว หาใช่เทพนักรบทุกคนจะได้รับเกียรติเช่นนี้แต่เป่ยทงเสวียนกลับได้รับมัน ต่อให้ในที่สุด เขาอาจจะเลือกอยู่ข้างซือหม่าสวี่แต่องค์จักรพรรดิก็ยังใช้ทักษะแต่งตั้งกับเขา และมอบพลังแห่งดวงดาราแก่เขาจนได้
เพราะเขา้าคนที่จะมาช่วยปกปักษ์เมืองซีเหลียงและรับมือกับฝูซานเชียนมากจริงๆ...
เขามีเวลาอีกเพียงไม่มากแล้ว ทว่ากลับมีเื่ราวต่างๆที่รอให้เขาไปจัดการอีกมากมาย และสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกกลัดกลุ้มมากที่สุด คือกลุ่มคนที่อยู่ทางใต้ของเมืองฉางอันทางตะวันออกของแม่น้ำหลีเจียงนั่นเอง
วินาทีที่ดาวนภาหมองถูกจุดให้สว่างขึ้นอีกครั้ง ราวได้เห็นกลุ่มนักดาบเมื่อหนึ่งร้อยปีก่อนอีกครั้งอย่างไรอย่างนั้น
ในตอนนั้น พวกเขาโดยสารเรือข้ามแม่น้ำ
และนำกำลังทหารเดินทางมาที่เมืองฉางอัน
เพียงเพื่อสังหารคนๆ เดียวเท่านั้น
เมื่อดาบถูกเหวี่ยงออกไป...
...ย่อมต้องมีคนตาย
“ฝ่าา กระหม่อมได้ยินมาว่าหลายปีมานี้แม่ทัพเป่ยยุ่งอยู่แต่กับเื่ของา จึงไม่มีโอกาสได้แต่งงานเสียทีทำให้จนถึงบัดนี้ยังไม่มีภรรยาและทายาทเลยสักคน”
เพียงองค์จักรพรรดิสติหลุดลอยไปแค่ครู่เดียวซือหม่าสวี่ก็ได้โอกาสพูดขึ้นเสียแล้ว
“กระหม่อมมีบุตรสาวอยู่นางหนึ่ง นางมีอายุยี่สิบแปดปีแล้วแต่ยังไม่ได้ออกเรือนกับผู้ใด กระหม่อมจึงบังอาจ อยากขอให้ฝ่าาช่วยประทานงานแต่งให้นางกับแม่ทัพเป่ยเพื่อให้นางได้เป็ฝั่งเป็ฝาเสียทีพ่ะย่ะค่ะ”
องค์จักรพรรดิดึงสติที่หลุดลอยกลับมาอีกครั้ง เขาหรี่ตาลงใช้หางตาเหล่มองไปที่เซี่ยโหวฟ่งอวี้ซึ่งนั่งอยู่เบื้องล่าง ก่อนจะชะงักไปเล็กน้อยจนในที่สุดจึงหัวเราะระคนกล่าวขึ้น “ท่านเสนาบดีเกรงใจกันเกินไปแล้วนี่เป็เื่มงคล ข้าย่อมยินดีช่วยเหลืออยู่แล้ว เพียงแต่ไม่ทราบว่าแม่ทัพเป่ยคิดเห็นอย่างไรบ้าง?”
ขุนนางในตำหนักต่างไปยังเป่ยทงเสวียนเป็ตาเดียว พวกเขารู้ดีว่าหากงานแต่งในครั้งนี้เกิดขึ้นจริงๆเป่ยทงเสวียนต้องได้รับการสนับสนุนและยิ่งใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็วแน่หลังผ่านคืนนี้ไป ชายหนุ่มไร้ชื่อเสียงผู้นี้จะกลายเป็มหาอำนาจที่ใครๆ ต่างหมายปองแล้ว
ซูฉางอันกับหรูเยี่ยนพลันรู้สึกตื่นตระหนกมากไม่ต่างกันพวกเขาจ้องมองไปที่ชายซึ่งยืนอยู่ในที่ไกลลิบ รอฟังคำตอบจากเขา
และรอบทสรุปของเื่นี้
เป่ยทงเสวียนชะงักไปเล็กน้อยทว่าสีหน้าของเขาแลดูอึกอักจนเกินไป ทำให้เดาไม่ออกว่าแท้จริงแล้วเขากำลังคิดอะไรอยู่
ทว่าท้ายที่สุดเขากลับส่ายหน้าเบาๆ แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบไม่ต่างไปจากน้ำในบึง“นับเป็เกียรติของกระหม่อม!”
ซูฉางอันหน้าถอดสีทันที เขาเพียงมองตรงเข้าไปในความว่างเปล่าเบื้องหน้าอย่างตกตะลึงเห็นได้ชัดว่าเขาคิดไม่ถึงว่าจะมีบทสรุปเช่นนี้
ในที่สุดแววตาของหรูเยี่ยนพลันหมองหม่นลง นางค่อยๆก้มหน้าลงต่ำ แล้วใช้มือลูบจับหนังสือที่ทัดอยู่กลางอก บัดนี้ นางรู้สึกว่าหนังสือเล่มนั้นหนักอึ้งเหลือเกินหนักเป็พันจินเลยก็ว่าได้ นั่นทำให้นางรู้สึกหายใจไม่ออกไปหมดแล้ว
“ดี! ในเมื่อเป็เช่นนั้น...”องค์จักรพรรดิกำลังจะกล่าวอะไรบางอย่าง แต่เสียงที่หวานละมุนเกินบุรุษกลับดังขึ้นเสียก่อน
“ช้าก่อน” เสียงนั้นบอกแบบนั้น
จากนั้น ชายที่งดงามราวกับหญิงสาวก็ดึงร่างของสตรีผู้มีสีหน้าเศร้าหมองออกจากที่นั่ง
ซือหม่าสวี่ขมวดคิ้วมุ่น
วินาทีที่หญิงผู้นี้ปรากฏกายขึ้นใบหน้าที่เย็นะเืราวกับูเาน้ำแข็งของเป่ยทงเสวียนก็มลายจากไปในพริบตาราวกับสายตาของเขาถูกตรึงอยู่บนร่างของหญิงคนนี้อย่างถาวรณ์ไม่อาจถอนสายตาออกไปได้อีกแล้วเช่นนั้น
“ฝ่าา กระหม่อมทำเสียมารยาทต่อหน้าพระพักตร์โปรดอภัยให้ด้วย” หลงเซี่ยงจวินบอกเช่นนั้น ขณะที่สายตาคู่นั้นกลับแลดูผ่อนคลายไม่มีแววของความตื่นตระหนก หรือหวาดกลัวแม้เพียงน้อย
“หืม? เ้ามีเื่อันใดรึ? ไม่เห็นรึ ว่าพวกเรากำลังหารือเื่งานวิวาห์ของแม่ทัพเป่ยและบุตรสาวของอัครเสนาบดีอยู่?” เพียงแวบเดียว องค์จักรพรรดิก็สังเกตเห็นความผิดปกติของเป่ยทงเสวียนแล้วด้วยความเฉลียวฉลาดที่มี พระองค์ย่อมเดาได้อยู่แล้วว่าเป่ยทงเสวียนกับสตรีผู้นี้มีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดาต่อกันแม้พระองค์จะแกล้งถามด้วยน้ำเสียงราวไม่พอใจ แต่สายตาคู่นั้นกลับมิได้มีแววขุ่นเคืองปะปนมาแต่อย่างใด
“ฝ่าา โปรดประทานอภัยให้กระหม่อมด้วยเถิดเพราะแม้กระหม่อมจะทำตัววู่วามไป แต่เื่นี้เกี่ยวข้องกับความสุขทั้งชีวิตของคุณหนูแห่งจวนอัครเสนาบดีกระหม่อมจึงจำเป็ต้องทำพ่ะย่ะค่ะ” หลงเซี่ยงจวินประสานมือในท่าคารวะพลางกล่าวขึ้น
“เอ๋? เช่นนั้นก็จงอธิบายมาเสียไม่เช่นนั้น หากทำให้ชื่อเสียงของแม่ทัพเป่ยต้องแปดเปื้อนข้าไม่ปล่อยเ้าเอาไว้แน่”
“ขอบพระทัยฝ่าา”หลงเซี่ยงจวินประสานมือเข้าด้วยกันเป็เชิงคารวะอีกครั้ง จากนั้นจึงกางพัดในมือออกเขากวาดสายตามองขุนนางทั้งหลายภายในตำหนักพลางชี้นิ้วไปที่หรูเยี่ยนแล้วพูดเสียงดัง
“หญิงผู้นี้! เป็ยอดบุปผาในหอหมู่ตันของข้าเมื่อสิบปีก่อน!”
“ในตอนนั้น นางมีรูปโฉมงดงามราวกับบุปผาทรงเสน่ห์เกินใคร”
“นางอยู่ในหอหมู่ตันมาโดยตลอด ั้แ่ตอนนั้นตราบถึงบัดนี้”
“มีผู้คนมากมาย้าไถ่ตัวให้นาง แต่นางปฏิเสธนั่นทำให้ข้ารู้สึกประหลาดใจเป็อย่างมากมีหญิงคนไหนในโลกอยากอยู่หอโคมเขียวตลอดไปอย่างนั้นรึ เหตุนี้ข้าจึงถามคำถามนี้กับนาง แต่นางกลับตอบมาว่ากำลังรอใครผู้หนึ่งอยู่”
“ข้าจึงถามไปอีกว่าเป็ใคร? แต่นางไม่ยอมบอก”
“จนเมื่อหลายวันก่อน พอได้ทราบข่าวว่าแม่ทัพเป่ยจะกลับเมืองหลวงนางรีบเข้ามาหาข้า บอกว่าคนที่นางรอมาโดยตลอดคือแม่ทัพเป่ยแห่งซีเหลียงผู้นั้น”
“แน่นอนว่าข้าไม่เชื่ออยู่แล้วว่าคนอย่างแม่ทัพเป่ยจะมีความสัมพันธ์กับหญิงต้อยต่ำเช่นนี้แต่ข้าก็เกรงว่านางจะเอาเื่นี้ออกไปพูดให้แม่ทัพเป่ยต้องเสียหายจึงบังอาจพานางมาพิสูจน์ตัวเองที่ตำหนักไท่เหอนี้เสียเลย”
ตำหนักไท่เหอเงียบสงัดลงอีกครั้งสายตาของทุกคนต่างเพ่งมาที่ร่างของชายผู้นี้จนหมด
ในที่สุดเป่ยทงเสวียนก็ถอนสายตาออกจากร่างของหรูเยี่ยนแล้วหันไปมองหลงเซี่ยงจวิน เช่นเดียวกับหลงเซี่ยงจวินที่หรี่ตาลง แล้วมองกลับไปเช่นกัน
ประมาณสิบอึดใจต่อมา
เป่ยทงเสวียนส่ายหน้า “ข้าไม่เคยรู้จักกับนางมาก่อน”
เขาพูดอย่างเชื่องช้าและเด็ดเดี่ยวเหลือเกิน
เด็ดเดี่ยวจนคล้ายเป็ดาบคมที่ทิ่มแทงลงไปกลางใจหรูเยี่ยนอย่างจังร่างบางโอนเอน ราวจะล้มลงไปกองอยู่บนพื้น... นางรู้ดีว่าเมื่อครู่นี้ตนได้แพ้พนันที่เดิมพันด้วยทั้งหมดที่มีไปแล้ว
ทว่าในตอนนั้นเอง มือของใครบางคนกลับยื่นเข้ามาประคองร่างของนางเอาไว้
“เป็อย่างที่คิดเอาไว้จริงเสียด้วย”หลงเซี่ยงจวินพยักหน้าหงึกหงัก ใบหน้าของเขาไม่ได้ฉายแววผิดคาดขึ้นแม้เพียงนิดราวกับว่าเขารู้อยู่แล้วเว่าเื่ต้องเป็แช่นนี้ เขาประคองหรูเยี่ยนที่กำลังจะหมดสติลงเอาไว้แล้วเดินเข้าไปหยุดอยู่เบื้องหน้าเป่ยทงเสวียน
เขายื่นหน้าเข้าไปใกล้จนจมูกของเขากับเป่ยทงเสวียนแทบจะแนบติดกันมันใกล้มาก จนเขาัักับรังสีอำมหิตที่ลอยตลบอบอวลอยู่รอบร่างของเป่ยทงเสวียนได้อย่างชัดเจน
แต่เขากลับทำราวไม่รับรู้ถึงมัน
“ในเมื่อเป็เช่นนั้น” เขากล่าวขึ้น
“เช่นนั้นท่านแม่ทัพโปรดสังหารหญิงชั้นต่ำที่ทำลายชื่อเสียงของท่านด้วยเถิด!”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้