เพราะการปกปิดความจริงที่ว่าเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วเป็สตรี ฮูหยินเยี่ยนจึงกำชับซ้ำแล้วซ้ำอีกให้ทุกผู้ที่รู้เื่นี้ปิดปากเงียบเอาไว้ ไม่ว่าใครก็ห้ามแพร่งพรายแม้แต่คำเดียว และเพื่อตัดขาดทุกคนที่จะมาเยี่ยมเยี่ยนอวิ๋นหลิ่ว จึงประกาศออกไปว่าเยี่ยนอวิ๋นเฟยเป็ไข้หวัดใหญ่ หากใครมาหาก็ติดเชื้อไปหมด ทำให้ผู้คนในจวนเยี่ยนต่างหลบลี้ไปไกลจากเรือนที่เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วพักฟื้นอยู่ด้วยความหวาดกลัว
แต่ท่ามกลางกลุ่มที่ ‘หนีห่างจากเรือนของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่ว’ อันแสนสุขสันต์ มีเพียงผู้เดียวที่กลับทำสิ่งที่ตรงกันข้าม นั่นก็คือสวี่ชิวเยวี่ยผู้ไม่รู้จักคำว่ายอมแพ้ตลอดกาลของพวกเรานั่นเอง
หลังจากเื่แกล้งตกจากรถม้าที่วัดจินติ่งเป็ต้นมา สวี่ชิวเยวี่ยผู้คลั่งไคล้อันดับหนึ่งของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วผู้นี้ก็ไม่เคยได้พบเจอเยี่ยนอวิ๋นหลิ่ว แบบอย่างที่นางคลั่งไคล้ชื่นชมอีกเลยตลอดสองวันสามเวลา... ดังนั้น เื่ที่สำคัญเป็อันดับหนึ่งหลังจากที่ขาของสวี่ชิวเยวี่ยหายดีแล้ว ก็คือการรีบตรงไปที่เรือนของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วเพื่อดูว่าร่างกายของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วเป็เช่นไรบ้าง
แน่นอนว่าสิ่งสำคัญที่สุดก็คือ่นี้ ‘เยวี่ยเยียนหราน’ ที่น่ารังเกียจผู้นั้นไม่อยู่บ้าน สิ่งที่สวี่ชิวเยวี่ยคิดอยู่เต็มอก ก็คือความตื่นเต้นที่ตนสามารถเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วเอาไว้เพียงลำพังได้
แต่ในตอนที่สวี่ชิวเยวี่ยที่แต่งตัวอย่างพิถีพิถัน มาถึงประตูเรือนของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่ว นางกลับถูกหลิงหลงที่เฝ้าประตูขวางทางเอาไว้ “เปี่ยวเสียวเจี่ย ท่านเข้าไปไม่ได้เ้าค่ะ”
ทุกคนในจวนต่างรู้ดีว่าหลิงหลงคือคนโปรดที่อยู่ข้างกายฮูหยินเยี่ยน สามารถพูดได้เลยว่ามีไม่กี่คนที่กล้าชักสีหน้าใส่หลิงหลง สวี่ชิวเยวี่ยก็เป็ผู้ที่มาอาศัยใต้ชายคา ย่อมไม่กล้าขัดแย้งกับหลิงหลงมากนักเช่นกัน แต่ตนนั้นรีบมาด้วยความใจจดใจจ่อ แค่ถูกปฏิเสธนิดๆ หน่อยๆ แล้วจะให้กลับไปทันทีเลยก็คงไม่ได้หรอก ใช่หรือไม่? นั่นมันไม่ใช่สวี่ชิวเยวี่ย ‘ผู้ไม่รู้จักคำว่ายอมแพ้’ เอาเสียเลย
ระหว่างที่กำลังตรึกตรอง สวี่ชิวเยวี่ยก็ค่อยๆ แย้มรอยยิ้มอันเหมาะเจาะขึ้นมา มองแวบแรกก็เหมือนจะเป็การคำนับต่อหลิงหลงอย่างนอบน้อม ก่อนจะเอ่ยขึ้น “พี่หลิงหลง หลายวันมานี้เปี่ยวเกอล้มป่วย โชคดีที่ท่านคอยดูแลทั้งคืนวัน ลำบากแล้วนะเ้าคะ”
มาไม้ไหนอีกล่ะนั่น? หลิงหลงตรากตรำอยู่ที่จวนเยี่ยนมาตั้งหลายปี เสือสิงห์กระทิงแรดอะไรต่างก็เจอมาหมดแล้ว ในหมู่คนเ่าั้พวกที่มีระดับค่อนข้างต่ำอย่างสวี่ชิวเยวี่ย สำหรับหลิงหลงแล้วนับว่ารับมือไม่ยากเย็นอะไร
หลิงหลงเองก็คำนับให้กับสวี่ชิวเยวี่ยเช่นกัน ริมฝีปากประดับยิ้มสงบนิ่ง “สวัสดีแม่นาง บ่าวเพียงทำเื่ที่อยู่ในความรับผิดชอบของตนเท่านั้น ไม่นับว่าเป็ความลำบากไม่ลำบากอะไรหรอกเ้าค่ะ แต่ที่แม่นางวิ่งมาครั้งนี้ หากมีสิ่งใดส่งให้ ก็ฝากไว้ที่ข้า หากไม่มีสิ่งใด เช่นนั้นท่านก็รีบกลับไปเสียเถิด โรคนี้ของคุณชายนั้นร้ายแรงมากเ้าค่ะ”
เมื่อหลิงหลงก้มหน้าก้มตาเอ่ยจบ ยังไม่ทันที่สวี่ชิวเยวี่ยจะเอ่ยรับคำ นางก็พูดขึ้นอีกครั้ง “อีกอย่าง จวนเยี่ยนของเราก็มีกฎระเบียบ ในเมื่อฮูหยินเอ่ยแล้วว่าไม่อนุญาตให้ใครพบคุณชาย เช่นนั้นท่านเองก็อย่าทำให้บ่าวลำบากใจเลย หลิงหลงขอบคุณท่านมาก”
เมื่อสวี่ชิวเยวี่ยได้ยินคำพูดนั้นก็ทำให้เกิดความอึดอัดใจขึ้นมา ถึงอย่างไรนางก็ยังไม่ทันบอกจุดประสงค์ในการมาเยือนของตนเลย ก็ถูกอีกฝ่ายปฏิเสธเสียแล้ว รู้สึกเสียหน้าจริงๆ นางอดกลั้นจนใบหน้าเปลี่ยนสีไปมาเดี๋ยวเขียวเดี๋ยวซีดอยู่พักใหญ่ หลังจากไตร่ตรองครู่หนึ่ง ในที่สุดก็ยิ้มสู้ด้วยใบหน้าแดงก่ำ เอ่ยว่า “พี่หลิงหลงล้อกันเล่นแล้ว ข้าย่อมรู้อยู่แล้วว่าฮูหยินไม่อนุญาตให้คนอื่นเข้าพบเปี่ยวเกอ แต่ว่า...”
“แต่ถึงอย่างไรท่านก็เป็สาวใช้ที่ใกล้ชิดที่สุดข้างกายฮูหยิน ส่วนข้าก็เป็หลานสาวแท้ๆ ของท่านป้า ระหว่างพวกเราควรจะดูแลซึ่งกันและกัน ท่านเฝ้ามาสองวันแล้วก็ควรจะได้พักผ่อนดีๆ บ้างไม่ใช่หรือเ้าคะ?” สวี่ชิวเยวี่ยกดเสียงเบาลงโดยไม่รู้ตัว นางพูดร่ำไรกับหลิงหลงไม่หยุด แต่หลิงหลงนั้นกลับแสดงท่าทีถือตัวยึดทิฐิอย่างยิ่ง แล้วปฏิเสธด้วยรอยยิ้มเย็น “เปี่ยวเสียวเจี่ย บ่าวไม่ได้เหน็ดเหนื่อย และยิ่งไม่กล้าทรยศการดูแลและความไว้วางใจของฮูหยินที่มีต่อบ่าวได้หรอกเ้าค่ะ”
เมื่อคำพูดนั้นเอ่ยออกมา ก็ได้ตัดขาดหนทางที่จะเข้าไปเยี่ยมคนของสวี่ชิวเยวี่ยโดยสมบูรณ์ สวี่ชิวเยวี่ยในยามนี้จึงรู้สึกโกรธจนแทบะเิ พลันออกท่าทีอย่างคุณหนูคุณนาย เอ่ยอย่างเ็า “เ้าก็แค่สาวใช้ เหตุใดจึงกล้าขัดความ้าของข้า? ยังไม่หลีกทางให้คุณหนูอย่างข้าเข้าไปอีก! อย่านึกว่าฮูหยินให้หน้าเ้า แล้วเ้าจะยกตนขึ้นเสมอเ้านายได้!”
คำพูดของสวี่ชิวเยวี่ยนั้นไม่เสนาะหูยิ่ง ทว่าหลิงหลงยังคงไม่เปลี่ยนสีหน้า และเอ่ยอย่างเ็า “หลิงหลงไม่ใช่เ้านาย และมิได้ตีตนเสมอเ้านายด้วย ทุกประการนั้นเพียงกระทำตามสิ่งที่เ้านายสั่งการมาเท่านั้นเ้าค่ะ แต่สภาพในยามนี้ กลับไม่รู้ว่าผู้ใดกันแน่ที่ยกตนเป็นาย พูดจาวางท่าชี้หน้าสั่งบ่าว หากจะบอกว่าเป็หลานสาวแท้ๆ ของฮูหยิน เช่นนั้นท่านก็ไม่นับว่าเป็หลานสาวในสายเือันใด เท่าที่บ่าวรู้ มารดาของท่านเองก็มิได้เกิดท้องเดียวกับฮูหยิน เช่นนี้แล้วจะสามารถนับว่าท่านเป็หลานสาวแท้ๆ ของฮูหยินได้อย่างไรกัน?”
แววตาของหลิงหลงจ้องมองตรงไปยังสวี่ชิวเยวี่ย ไม่ได้เกรงกลัวเลยแม้แต่น้อย คำที่เอ่ยก็ทิ่มแทงยังส่วนที่สวี่ชิวเยวี่ยหวงแหนที่สุดโดยตรง ความจริงที่นางเป็บุตรีของอนุภรรยา เป็ปมลึกที่ยากจะปกปิดอยู่ในใจของสวี่ชิวเยวี่ยมาตลอด และในยามนี้ ไม่นึกว่าแม้แต่สาวใช้ตัวเล็กๆ คนหนึ่งก็ยังสามารถหยิบขึ้นมาด่าว่าล่วงเกินได้ตามใจชอบ ทำให้สวี่ชิวเยวี่ยที่มีความภาคภูมิในตนเองอย่างแข็งกล้ารู้สึกปั่นป่วนกระวนกระวายเป็เท่าตัว
“เ้า...!” นิ้วเรียวงามของสวี่ชิวเยวี่ยยกขึ้น ชี้ตรงไปยังหลิงหลงที่ไม่ทุกข์ไม่ร้อน มองแวบเดียวก็รู้ได้ว่าเป็ลักษณะของคนกินปูนร้องท้องแท้ๆ หลิงหลงกลับยังคงมีสีหน้าเรียบนิ่ง เอ่ยอย่างเ็า “แม่นางพึงประมาณตนด้วย กลับไปเถิดเ้าค่ะ”
ทิฐิสูงนัก ไม่มีทางเลือก... แม้สวี่ชิวเยวี่ยจะโมโห แต่กลับไม่อาจไม่ไว้หน้าหลิงหลงได้ ถึงอย่างไรหากหลิงหลงพูดเป่าหูสักคำสองคำ ก็ไม่รู้ว่าจะส่งผลกระทบต่อตนจะมากมายเพียงใด ดังนั้นสวี่ชิวเยวี่ยในยามนี้จึงได้แต่อดกลั้นเอาไว้ เพียงแค่กำหมัดแน่น เล็บจิกที่ฝ่ามือจนเป็รอยไม่น้อย
“เช่นนั้นก็รบกวนแม่นางหลิงหลง ช่วยข้านำของเข้าไปด้วยก็แล้วกัน นี่คืออาหารบำรุงที่ข้าทำเองจากครัวเล็ก...” คำพูดของสวี่ชิวเยวี่ยยังเอ่ยไม่ทันจบ ก็ถูกหลิงหลงตัดบทอย่างไร้ปรานี “หากของอย่างอื่นก็แล้วไป เพียงแต่ฮูหยินกำชับเอาไว้ ยามนี้ร่างกายของคุณชายยังรับของบำรุงหนักๆ ไม่ไหว อาหารที่จะนำเข้าปากทุกอย่างต้องผ่านสายตาของฮูหยิน ของที่เปี่ยวเสียวเจี่ยนำมาในวันนี้ หลิงหลงไม่กล้านำไปให้คุณชายโดยพลการ หากคุณชายกินแล้วเกิดอะไรขึ้นมา น่ากลัวว่าหลิงหลงและแม่นางจะรับผิดชอบไม่ไหว”
สวี่ชิวเยวี่ยพูดไม่ออกไปชั่วขณะ เมื่อถูกหลิงหลงตอกกลับมา นางก็ได้แต่หุบปาก แล้วจากไปด้วยความโกรธเคือง หลิงหลงมองเงาหลังของสวี่ชิวเยวี่ยที่ค่อยๆ ห่างไกลออก บนใบหน้าที่สงบนิ่งพลันฉายความเหยียดหยามออกมาไม่น้อย แม้ว่าฮูหยินเยี่ยนจะเห็นสวี่ชิวเยวี่ยเป็ตัวหมากที่คอยจับจุดอ่อนของเยวี่ยเยียนหราน แต่ตัวหมากเองก็เป็เพียงตัวหมากเท่านั้น หากหมากตัวหนึ่ง เกิดมีความคิดตีเสมอที่ไม่บังควรขึ้นมา เช่นนั้นจะไม่เป็การใฝ่สูงเกินตัวหรอกหรือ...
หลิงหลงสั่งให้คนไปเตรียมมื้อเย็นของวันนี้ให้เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วโดยไม่พูดอะไรอื่น ท้ายที่สุดก็เปรียบการมาเยือนของสวี่ชิวเยวี่ยเป็เพียงสายลมพัดผ่าน ไม่ได้ก่อระลอกคลื่นอื่นใดไปมากกว่านั้น และปล่อยให้มันผ่านไปอย่างง่ายดาย
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้