เล่มที่ 7 บทที่ 190 เผามนต์สะกด
ขณะเดียวกันสัตว์อีกเจ็ดตนก็ดาหน้าเข้ามาพร้อมๆกัน พวกมันกำลังฉีกกระชากร่างของอสุรกายกุ่ยหวังอย่างบ้าคลั่ง
หลังจากสังหารสัตว์ร้ายไปได้หนึ่งตน ก็จะมีอีกตนพุ่งเข้ามาทันที ไออสูรมากมายถูกฉีกกระชากและกลืนกินเข้าไป ยิ่งกลืนกินไออสูรมากเท่าไร เหล่าสัตว์ร้ายก็มีไอโเี้รอบตัวเข้มข้นขึ้นเท่านั้น และบัดนี้ก็เกิดเป็ภาพนิมิตน่าสะพรึงกลัวมากมายออกมา ราวกับรอบตัวเหล่าสัตว์ร้ายพวกนั้นมีิญญาร้ายคอยติดตามมาด้วย
ต่อให้ถูกสังหารนับครั้งไม่ถ้วน แต่เหล่าสัตว์ร้ายก็สามารถฟื้นคืนชีพได้โดยเร็ว แถมทุกครั้งที่คืนชีพ ก็จะฮึกเหิมยิ่งกว่าเดิมอีกด้วย พลังจากค่ายกลคุ้มกันเมืองหลั่งไหลเข้ามาไม่หยุด ทำให้ค่ายกลแปดอสูรหลิงเป่ามีพลังที่เต็มเปี่ยม ทว่าทางฝั่งอสุรกายกุ่ยหวังกลับไม่เป็เช่นนั้น...
เพราะยิ่งสังหารเหล่าสัตว์ร้ายได้มากแค่ไหน ไม่เพียงแต่อสุรกายกุ่ยหวังจะไม่อาจหนีรอดออกไปได้แล้ว มันยังรู้สึกเหมือนจมดิ่งเข้าไปในค่ายกลเรื่อยๆอีกด้วย...
ใช่แล้ว ยิ่งสังหารเหล่าสัตว์ร้ายได้เท่าไร ความรู้สึกนี้ก็จะยิ่งชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ เสมือนตนเองกำลังจะหลอมรวมเข้ากับค่ายกลนี้ก็ว่าได้...
บัดนี้อสุรกายกุ่ยหวังมีสภาพคล้ายกับปีศาจกระบี่ในอดีตเสียแล้ว...
แต่กลับเลวร้ายยิ่งกว่า...
เพราะพลังจากค่ายกลคุ้มกันเมืองที่หลั่งไหลเข้ามาไม่หยุดนั้น ทำให้สัตว์ร้ายทั้งแปดในค่ายกลเกือบจะเป็ะ ไม่มีวันตาย ต่อให้คู่ต่อสู้เป็อสุรกายกุ่ยหวังที่แข็งแกร่ง ก็ไม่อาจสังหารพวกมันได้ง่ายๆ
แม้สังหารได้จะเป็ผลอย่างไร?
เพราะค่ายกลแปดอสูรหลิงเป่ากำลังขาดแคลนครึ่งอสูรครึ่งอาวุธที่เป็ใจกลางของค่ายกลอยู่พอดี หากอสุรกายกุ่ยหวังสังหารสัตว์ร้ายทั้งแปดได้ มันก็จะถูกหลอมรวมเข้ากับค่ายกลทันที เช่นนั้นก็จะต้องติดอยู่ที่เมืองวั่งไห่ตลอดไป...
และนี่ต่างหากที่เป็แผนของหลินเฟย
เมื่อพลังจากค่ายกลแปดอสูรหลิงเป่ารวมเข้ากับพลังจากค่ายกลคุ้มกัน ก็จะทำให้เกิดกับดักที่แทบจะไม่มีทางรอด
บัดนี้อสุรกายกุ่ยหวังมีทางเลือกเหลือเพียงสองทางเท่านั้น...
ทางหนึ่งก็คือเหนื่อยตายอยู่ที่นี่...
ส่วนอีกทางก็คือยอมกลายเป็ใจกลางค่ายกลเสีย และติดอยู่ที่เมืองวั่งไห่ตลอดไป...
อสุรกายกุ่ยหวังที่อยู่ในค่ายกลกำลังหดร่างเล็กลงเรื่อยๆ เกราะอันแข็งแกร่งที่เกิดจากไออสูรก็เริ่มแตกร้าวไม่เหลือชิ้นดี ทว่าเหล่าสัตว์ร้ายกลับกล้าแกร่งขึ้นเรื่อยๆ
ยิ่งมีไออสูรและไอโเี้เข้มข้นรายล้อมมากเท่าไร หมอกควันสีดำจำนวนมากนั้นก็จะเกิดเป็ภาพนิมิติญญาร้ายต่างๆ ช่วยส่งเสริมให้สัตว์ร้ายทั้งแปดมีพลังแข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิม
ตอนนี้สัตว์ร้ายทั้งแปดได้ประจำอยู่ที่ทิศทั้งแปดแล้ว ลำแสงเจิดจรัสสายหนึ่งสาดส่องลงมาจากท้องฟ้าเข้าสู่ค่ายกลแปดอสูรหลิงเป่า ทันใดนั้นก็กลายเป็ดั่งกรงขังอันแ่า ปิดล้อมเหล่าสัตว์ร้ายและอสุรกายกุ่ยหวังเอาไว้
และนี่ก็คือการประลองระหว่างอสุรกายกุ่ยหวังและเหล่าสัตว์ร้าย ทว่าคนที่ชนะในตอนท้ายย่อมไม่ใช่อสุรกายกุ่ยหวังเป็แน่ เพราะหลินเฟยคอยบงการให้เหล่าสัตว์ร้ายที่ล้มตายฟื้นคืนชีพอยู่นอกค่ายกลตลอดเวลา
ไออสูรแพร่กระจายอยู่บริเวณใจกลางค่ายกล โดยมีไอโเี้รายล้อมอยู่รอบนอก และขณะนี้อสุรกายกุ่ยหวังก็เสียเปรียบขึ้นเรื่อยๆ เพราะไออสูรของมันถูกสูบออกไปตลอดเวลา
ทว่าเพียงเวลาหนึ่งก้านธูปเท่านั้น อสุรกายกุ่ยหวังก็สังหารเหล่าสัตว์ร้ายไปนับครั้งไม่ถ้วน หลินเฟยเห็นเช่นนั้นก็เผยสีหน้าตึงเครียดทันที หากไม่มีพลังจากค่ายกลคุ้มกันเมืองคอยสนับสนุนละก็ เกรงว่าค่ายกลแปดอสูรหลิงเป่านี้ จะไม่อาจกักขังอสุรกายกุ่ยหวังได้อีกต่อไป หากเผชิญหน้ากันตรงๆ คงรับมือได้ไม่ถึงหนึ่งก้านธูปด้วยซ้ำ ความแตกต่างของพลังจึงถือว่ามากทีเดียว
ไม่นานนัก เกราะที่เกิดจากไออสูรก็แตกร้าวออกมา ทำให้อสุรกายกุ่ยหวังตกเป็ฝ่ายเสียเปรียบในที่สุด แต่ถึงอย่างนั้นนอกจากมันจะไม่แตกตื่นแล้ว อสุรกายกุ่ยหวังยังะเิหัวเราะออกมาอีกด้วย
“หากข้าหลุดไปได้เมื่อใด เมื่อนั้นก็คือเวลาตายของเ้า!”
เมื่อสิ้นเสียงอันเกรี้ยวกราดของมัน อสุรกายกุ่ยหวังก็ะเิพลังของตนเองออกมา ทันใดนั้นเองไออสูรเข้มข้นก็กลายเป็หมอกควันดำปกคลุมไปทั่วค่ายกลแปดอสูรหลิงเป่า และไม่นานก็แปรเปลี่ยนเป็สายฟ้าน่าสะพรึงกลัวกระหน่ำฟาดลงมาไม่ยั้งราวกับฝนห่าใหญ่
พริบตาต่อมาเหล่าสัตว์ร้ายก็ถูกสายฟ้าฟาดจนสาหัส ตัวที่อยู่ใกล้อสุรกายกุ่ยหวังที่สุด ถึงกับแตกสลายกลายเป็ผุยผงเลยทีเดียว
บัดนี้อสุรกายกุ่ยหวังสามารถแปลงกายเป็มีดบินฮั่วอู๋ได้อีกครั้ง ลำแสงเรืองรองจากค่ายกลคุ้มกันเมืองสาดส่องลงมาที่ตัวมีด จากนั้นมาลำแสงก็แตกกระจายไป ก่อนที่มนต์สะกดในมีดบินฮั่วอู๋ถดถอยลง
อักขระมากมายปรากฏขึ้นรอบมีดบินฮั่วอู๋ เพียงพริบตาเดียวก็ลุกเป็ไฟ เกิดเป็กระแสพลังอันแข็งแกร่งขุมหนึ่ง ไออสูรที่รายล้อมอยู่ใกล้เคียงก็มีสภาพราวกับถูกสะบั้นขาด ไม่อาจต่อกรต่อไปได้อีก
ตอนนี้ไอสังหารเข้มข้นเริ่มก่อตัวอีกครั้ง มันผนวกเข้ากับพลังอันแข็งแกร่งจากอักขระอันเลือนรางมากมายที่กำลังลุกเป็ไฟ ก่อนจะสะบั้นไปออกไปทางนอกค่ายกลทันที
เมื่อหลินเฟยเห็นดังนั้น ใบหน้าเปลี่ยนสีไปทันที...
ก่อนหน้านี้ก็อุตส่าห์คำนึงถึงจุดนี้แล้วแท้ๆ ต่อให้อสุรกายกุ่ยหวังสำแดงร่างจริงออกมา ก็ไม่อาจหนีออกมาจากค่ายกลได้ แต่คิดไม่ถึงเลยว่าอีกฝ่ายถึงกับเผาทำลายมนต์สะกดในมีดบินฮั่วอู๋ ทำให้อักขระมากมายรั่วไหลออกมาเช่นนี้...
เหล่าสัตว์ร้ายทั้งแปดที่เพิ่งจะคืนชีพจึงยังอ่อนแออยู่มาก เมื่อเผชิญหน้ากับพลังจากอักขระมากมายที่กำลังลุกเป็ไฟผนวกกับกระแสคมกริบจากมีดบินฮั่วอู๋แล้ว จึงไม่ต่างอะไรกับตั๊กแตนห้ามรถ*โดยสู้ไม่ได้แม้แต่น้อย ชั่วขณะที่กระแสคมกริบพาดผ่านไป เหล่าสัตว์ร้ายทั้งแปดก็ถูกสะบั้นออกเป็สองส่วนทันที...
(*ตั๊กแตนห้ามรถ หมายถึง คนที่ทำอะไรเกินตัวหรือไม่มีความสามารถพอ แต่คิดต่อกรกับคนที่เก่งกาจ)
และยังไม่จบเพียงเท่านี้...
เพราะอสุรกายกุ่ยหวังสำแดงร่างจริงออกมาอีกครั้ง ทำให้ยันต์เซียนไท่หยินที่หลับใหลเกิดขยับขึ้นมา...
ยันต์ขนาดั์ราวูเาที่ลอยอยู่กลางอากาศ บัดนี้กำลังเปล่งแสงเรืองรองออกมา เพียงครู่เดียวก็เกิดลำแสงที่เต็มไปด้วยพลังอัดแน่นสาดส่องลงมาราวกับฝนดาวตก
และปลายทางของลำแสงเหล่านี้ ก็คือลำแสงที่เกิดจากมีดบินฮั่วอู๋นั่นเอง...
ทั้งที่รู้ดีว่ายันต์เซียนไท่หยินแข็งแกร่งเพียงใด แต่ลำแสงของมีดบินฮั่วอู๋กลับยังอาจหาญพุ่งเข้าต้าน อักขระมากมายที่รายล้อมอยู่รอบตัวมีดก็กลายเป็เชื้อเพลิงชั้นดี ทำให้พลังของลำแสงมีดบินฮั่วอู๋กระพือรุนแรงยิ่งกว่าเดิม
พริบตาต่อมาพลังอันน่าสะพรึงกลัวทั้งสองขุมก็ปะทะกันตรงๆ โดยมีค่ายกลแปดอสูรหลิงเป่าคั่นกลางไว้ เพียงครู่เดียวก็มีแสงสว่างจ้าะเิออกพร้อมกับเสียงดังกัมปนาทจนฟ้าดินสั่นะเื
หลังจากแสงเจิดจ้าจางหายไป ยันต์ไท่หยินก็หม่นสีลง และหลับใหลกลางอากาศเช่นเดิม ทว่าอสุรกายกุ่ยหวังก็ถูกแรงอัดกระแทกจนคืนร่างกลับเป็อสุรกายกุ่ยหวังตามเดิมเช่นกัน ทั่วทั้งร่างของมันดูเลือนรางราวกับพร้อมจะสลายหายไปได้ตลอดเวลา
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------