เสียงอันยิ่งใหญ่นั้นดังมาจากด้านในวัง ดุจผู้ปกครองทวยราษฎร์ อานุภาพกดดันนั้น กระทั่งเซียวเฉินก็ยังทนรับไม่ไหว คนทั้งสามถอยร่นไม่หยุด ดวงตาฉายแววสยองขวัญ วังเงียบเหงาไปอย่างน้อยพันปี ถึงกับยังมีผู้เข้มแข็งปกป้องอยู่อีกหรือ?
คนทั้งสามคิดๆ แล้วก็สูดลมหายใจหนาวเหน็บ
คนของแคว้นกู่เมื่อพันปีก่อน นั่นคือผู้เข้มแข็งที่น่ากลัวเพียงใด?
“ขอเรียนถามว่าผู้าุโเป็ใคร?” เซียวเฉินเอ่ยด้วยสายตาเคร่งขรึม น้ำเสียงเคารพ
แต่เสียงในวังยังคงหยิ่งทะนง “ไสหัวไป!”
ประโยคเดียว ทำให้สีหน้าของเซียวเฉินเปลี่ยนเป็น่าเกลียด เมื่อครู่เขายังเคารพเสียงนั้นอยู่หลายส่วน ทว่าตอนนี้กลับไม่มีสักส่วน คนเช่นนี้ไม่คู่ควรให้เขาเคารพ เป็ผู้เข้มแข็งแล้วอย่างไร หากเซียวเฉินอยู่ในยุคเดียวกับเ้าของเสียงนั้น ก็ไม่แน่ว่าตอนนี้ใครจะเรียกใครว่าผู้าุโ
เซียวเฉินมีความเชื่อมั่นอย่างยิ่งยวด
เพราะต่อให้แคว้นกู่จะแข็งแกร่งมากเพียงใดก็ตาม อย่างไรก็เป็เพียงแคว้นหนึ่งในดินแดนเทียนเสวียนเท่านั้น ส่วนเขาเป็ผู้สืบทอดของระนาบที่เหนือกว่าดินแดนเทียนเสวียน!
แค่เื่นี้ เซียวเฉินก็เชื่อมั่นว่าหากให้เวลาแก่เขา เขาก็เดินท่องไปทั่วดินแดนเทียนเสวียนได้อย่างอิสรเสรี และถึงขั้นอาจจะหลุดพ้นจากดินแดนเทียนเสวียน
“ผู้าุโ มีเจตนาใด?” เซียวเฉินหรี่ตา น้ำเสียงถามไถ่อย่างชืดชา
เซียวเฉินถามไถ่ตนเองแล้วว่าไม่มีความคิดที่จะทำร้ายวังแห่งนี้ แต่กลับถูกผู้เข้มแข็งที่ปกป้องวังแห่งนี้เหยียดหยาม จะให้เซียวเฉินทนรับได้อย่างไร? ชั่วขณะ ในใจของเซียวเฉินมีความยึดติด ‘ในเมื่อเ้าไม่ให้ข้าเข้าไป เช่นนั้นข้าพานจะเข้าไปให้เ้าดู แล้วข้าไม่เพียงจะเข้าไปเท่านั้น แต่ยังจะเข้าไปแบบสง่าผ่าเผยอีกด้วย’
“ความหมายตามตัวอักษร ที่นี่ไม่ใช่สถานที่ที่พวกเ้าจะเข้ามาได้ ไสหัวไป!”
ทันใดนั้น เซียวเฉินปลดปล่อยแสงเสวียนอันกล้าแข็งบนร่าง สะท้านฟ้าะเืดิน ทรงพลังไร้ขีดจำกัด!
“ขอโทษเสีย ไม่เช่นนั้น ข้าจะทำลายวังโทรมๆ หลังนี้ของเ้า” เซียวเฉินเอ่ยเสียงเ็า เจตนาเย็นเยียบดุจน้ำแข็งหนาวเสียดกระดูก ทำให้คนรู้สึกหวาดกลัว แต่เสียงนั้นกลับเดือดดาล คิดจะใช้อานุภาพกดดันอันแข็งแกร่งกดใส่เซียวเฉิน
“บังอาจ เป็แค่มดแมลงก็กล้าเหิมเกริม!”
เพิ่งสิ้นเสียง แสงเสวียนอันไร้เทียมทานก็ปกคลุมเซียวเฉินไว้ภายใน อานุภาพอันแข็งแกร่งแทบทำลายเซียวเฉิน เื่นี้ทำให้ฉู่หยวนและฉู่เยียนหรานที่อยู่ด้านข้างมีสีหน้าแปรเปลี่ยน เพราะพวกเขารู้สึกได้ว่าแสงเสวียนอันกล้าแข็งสายนั้นเหนือกว่ากองทัพผู้เข้มแข็งขั้นเสวียนเต๋าก่อนหน้านี้ลิบลับ มิใช่พลังที่เซียวเฉินจะทนรับได้
พุ่งเข้าใส่ทันควัน
ตูม!
อานุภาพแข็งแกร่งยกคนทั้งสองลอยขึ้นและกระอักโลหิตสดจากปากทันใด
ภายใต้การกดทับของแสงเสวียน เซียวเฉินปลดปล่อยเปลวเพลิงออกมาทั่วร่าง เปลวเพลิงทลายแสงกดดันนั้นในพริบตาและทะยานขึ้นสู่ฟ้า เปลวเพลิงอันกล้าแข็งถึงขั้นเผาแสงเทพที่กดดันจนสิ้น ผลาญนภาหลอมปฐี อุณหภูมิทั่วทั้งวังพุ่งพรวด ร่างของเซียวเฉินอาบเปลวเพลิง เขายืนมองวังนั้นอย่างหยิ่งทะนงดุจเทพ์ ดวงตามีเปลวเพลิงอันงดงามเต้นระริกแฝงพลังทำลายล้างไร้เทียมทาน
ดวงตานั้นราวกับสามารถทำลายสังสารวัฏและปกครองพิภพ
“เ้ายังไม่คู่ควรที่จะกำราบข้า!”
เซียวเฉินเย่อหยิ่งสุดขีด หงสาขนาดร้อยจั้งปรากฏขึ้นด้านหลัง เปลวเพลิงผลาญฟ้า อานุภาพกดดันของสัตว์เทพแห่งาร่วงลงจากเวิ้งนภาใส่วัง ทำให้วังะเืทันที เหมือนทนรับอานุภาพกดดันของหงสาไม่ไหวจนจะพังทลายลงมา เสียงนั้นตื่นตระหนกในพริบตา
“เหตุใดเ้าจึงมีสายโลหิตของสัตว์เทพได้? เ้าเป็ใครกันแน่!”
น้ำเสียงนั้นไม่หยิ่งทะนงเช่นก่อนหน้านี้อีก และถึงขั้นมีแววแตกตื่น
เซียวเฉินหัวร่อหยัน “เ้าไม่คู่ควรที่จะรู้ ขอโทษเสีย ไม่เช่นนั้น ข้าจะทำลายวังผุพังหลังนี้ เ้ารู้ดีว่าข้าสามารถทำได้”
เสียงนั้นเงียบงันไปนาน ในที่สุดก็เอ่ยช้าๆ
“ข้าเสียมารยาทล่วงเกินสหายน้อย หวังว่าสหายน้อยจะยั้งมือไว้ไมตรี เหลือการสืบทอดไว้ให้แคว้นกู่เรา...”
เสียงนั้นแฝงการขอร้องจางๆ ทำให้เซียวเฉินเก็บงำเปลวเพลิงด้านหลัง มองวังโบราณตรงๆ และเอ่ยช้าๆ “ผู้าุโปรากฏตัวให้เห็นหน่อยได้หรือไม่?”
เสียงนั้นเงียบไป ที่นั่นราวกับมีกลิ่นอายโศกเศร้าเกิดขึ้นเอง ทำให้พวกเขาเกิดความรู้สึกหดหู่
“ข้าทำเื่นี้ไม่ได้จริงๆ เพราะกายเนื้อของข้าถูกทำลายเมื่อพันปีก่อนและใส่ิญญาไว้ในวังทั้งหลัง ให้เฝ้าพิทักษ์แคว้นกู่” เสียงนั้นเอ่ยช้าๆ มีแววหยิ่งผยองรางๆ โดยไม่มีวี่แววเสียใจเลยสักนิด
ส่วนเซียวเฉิน ฉู่หยวน และฉู่เยียนหรานกลับใสุดขีด การยินยอมสละกายเนื้อเพื่อปกป้องการสืบทอดแคว้นกู่ นี่คือผู้มีจิติญญาห้าวหาญและจงรักภักดีถึงขั้นใดจึงกระทำได้ อีกทั้งเฝ้าพิทักษ์เป็เวลานับพันปี
“ขอโทษนะ” เซียวเฉินเอ่ยขออภัย
เสียงนั้นกลับเอ่ยยิ้มๆ “ไม่รู้ย่อมไม่ตำหนิ ทั้งยังไม่มีอะไรต้องรู้สึกผิด เพราะข้าเป็คนที่ตายแล้ว หากมิใช่วางใจไม่ลง คงตามเสด็จอดีตฮ่องเต้ไปนานแล้ว”
เสียงชายชราดังมาอย่างสง่างาม
“ผู้าุโ ใส่ใจอดีตไปก็เปล่าประโยชน์ มีความคิดยึดติดยิ่งไร้ประโยชน์ ไม่ทราบว่าในแคว้นกู่มีสิ่งใดคู่ควรให้ผู้าุโเฝ้าพิทักษ์?” เซียวเฉินกล่าว
“ถูกต้อง มีคำกล่าวว่า ผู้วายชนม์ต้องลงดินเพื่อความสงบ ส่วนท่านยินดีสละกายเนื้อใช้ิญญาเฝ้าพิทักษ์แคว้นกู่นับพันปี ต่อให้วันหน้าได้พบเ้านาย เ้านายก็คงพอใจ” ฉู่หยวนกล่าว
ฉู่เยียนหรานที่อยู่ด้านข้างมองวังโบราณด้วยสายตาวาดหวัง เอ่ยถามเสียงอ่อยๆ ว่า “ท่านปู่ผู้าุโ เยียนหรานเข้าไปดูหน่อยได้หรือไม่ ข้าโตมาจนป่านนี้ยังไม่เคยเข้าวังมาก่อน”
ว่าแล้ว ใบหน้าเล็กๆ ก็เต็มไปด้วยความปรารถนา
เห็นแล้วรู้สึกว่าน่ารัก
“พวกเ้ามาเพื่อสืบทอดแคว้นกู่เราหรือ?” เสียงนั้นเอ่ย
เซียวเฉินกล่าว “ขอเรียนผู้าุโตามตรง พวกเรามิได้มาเพื่อสืบทอดแคว้นกู่ แต่ถูกกองทหารขั้นเสวียนเต๋ากลุ่มหนึ่งควบขี่สัตว์ปิศาจล่าสังหารจนพวกเราหมดทางหนีและต้องะโลงทะเลสาบ ไม่รู้ว่ามีความลับที่ก้นทะเลสาบแห่งนี้ด้วย” เซียวเฉินเอ่ยถึงตรงนี้ ใบหน้าก็มีรอยยิ้ม ดวงตาเป็ประกาย
“อีกอย่างหนึ่ง ผู้าุโเฝ้าพิทักษ์การสืบทอดแคว้นกู่มานับพันปีก็เพื่อหาผู้มีวาสนาที่สามารถรับสืบทอดเจตนารมณ์แคว้นกู่ ไม่เช่นนั้น ท่านคงไม่เฝ้าพิทักษ์มันอยู่ตลอดเวลา ดังนั้น ในเมื่อพวกเรามาที่นี่ได้ก็แสดงว่าพวกเรามีวาสนากับแคว้นกู่ของท่าน เหตุใดจึงไม่ให้พวกเราทดลองดู แต่ปฏิเสธไม่ให้พวกเราเข้าประตู”
คำพูดของเซียวเฉินทำให้ดวงตาของฉู่หยวนและฉู่เยียนหรานเป็ประกาย
เสียงนั้นถอนหายใจ
“เ้าดูออกหรือ?”
เซียวเฉินผงกศีรษะด้วยสายตาเฉยเมย
“แม้ผู้าุโมีความสามารถกล้าแข็ง ไร้ผู้ต่อต้านแห่งยุค แต่อย่างไรก็ผ่านการลับคมมานานนับพันปีและไม่มีกายเนื้อ ดังนั้น ท่านใกล้จะใช้พลังิญญาหมดแล้ว แม้ไม่ถึงขั้นสลายไปตอนนี้ แต่ขีดจำกัดสูงสุดต้องเป็ภายในสามปีแน่นอน ถึงตอนนั้นไม่มีผู้าุโคอยปกปักรักษา เกรงว่าแคว้นกู่จะตกอยู่ในห้วงวิกฤติ...”
แววตาของเซียวเฉินลึกล้ำ มุมปากโค้งขึ้นเป็รอยยิ้มจางๆ ราวกับมองเห็นทุกสิ่งอย่างทะลุปรุโปร่ง “ดังนั้น ข้าคิดว่าเวลานี้ในใจของผู้าุโคงมีคำตอบอยู่แล้ว หากพวกเราถูก์ลิขิตมาให้ได้รับการสืบทอดจากแคว้นกู่ นั่นคือพวกเรามีวาสนา และแคว้นกู่ของท่านก็มีวาสนาเช่นกัน หากพลาดจากพวกเราไปก็แสดงว่าชะตาของแคว้นกู่สิ้นสุดลงแล้ว!”
เสียงนั้นหัวเราะ
“ดูเหมือนข้าจะไม่มีทางเลือกอื่นจริงๆ เช่นนั้นก็ได้แต่เดิมพันสักครา!”
สิ้นเสียง ประตูวังก็เปิดออก กลิ่นอายเก่าแก่และยิ่งใหญ่โหมทะลักออกมาดุจคลื่นกระทบฝั่ง
คนทั้งสามใ สมเป็แคว้นกู่ แข็งแกร่งจริงๆ!
“เข้ามาเถอะ...”