บทที่ 3 เข้าเมือง พักร่วมชายคา
ในยามเช้าตรู่ของอีกวัน
โรงเตี๊ยมก็กลับมาคึกคักมีชีวิตชีวาอีกครั้ง บรรดาเด็กหนุ่มเด็กสาวจากตระกูลอื่นที่ร่วมเดินทางมาด้วยกัน บางส่วนกำลังฝึกฝนพลังอยู่ด้านนอก บ้างก็กินอาหารเช้าอย่างเอร็ดอร่อย
บนโต๊ะกลางมีอาหารเช้าหลากหลายชนิดวางเรียงราย หลี่โม่หยิบซาลาเปาไส้หมูขึ้นมากินอย่างสบายๆ พลางเหลือบมองหญิงสาวที่อยู่ข้างกาย เบื้องหน้านางมีเพียงโจ๊กขาวหนึ่งชาม ซึ่งมีรสชาติจืดชืดไม่ต่างจากสีหน้าเรียบเฉยของนาง
"กินแค่นี้ตอนเช้าจะไปพออะไรกัน" หลี่โม่เลื่อนจานไข่ต้มไปให้นาง
อิ๋งปิงเพียงเงยหน้าขึ้นมองด้วยแววตาเรียบเฉย ไม่ได้เอ่ยคำใด หญิงสาวดูราวกับอ่อนแอเล็กน้อย แม้แต่ริมฝีปากก็ยังซีดเผือด อาการป่วยไข้ยิ่งเสริมให้นางดูบอบบางน่าทะนุถนอม ราวกับสิ่งมีชีวิตที่เปราะบางเกินกว่าจะแตะต้อง
แต่ใครเล่าจะทนทานต่อสายตาคู่งามคู่นี้ได้โดยไม่รู้สึกผิดในใจ?
"อะแฮ่ม!" หลี่โม่รู้สึกละอายใจนัก แค่คิดถึงเื่ราวที่เขาเคยทำไปในอดีตก็อายจนอยากจะมุดดินหนีแล้ว การขอโทษนางสักคำจึงเป็สิ่งที่ควรทำ
"เื่ราวในอดีต ข้าต้องขอโทษเ้าด้วยนะ ข้าไม่ได้หวังว่าเพียงไม่กี่คำจะลบล้างความบาดหมางได้ง่ายๆ หากเ้ายังโกรธเคืองอยู่ล่ะก็..."
"ไม่เป็ไร" อิ๋งปิงแกะเปลือกไข่พลางเอ่ยปากเสียงแ่เบา
หลี่โม่นิ่งงันไปชั่วขณะ เขาไม่พบร่องรอยของความไม่จริงใจบนใบหน้าของหญิงสาวเลย แทนที่จะเรียกว่าการให้อภัย กลับเรียกได้ว่าเป็การเมินเฉยเสียมากกว่า เื่ราวเ่าั้ดูเหมือนจะไม่คู่ควรให้เก็บมาใส่ใจแม้แต่น้อย ในเมื่อไม่เคยใส่ใจ ก็ไม่จำเป็ต้องให้อภัย
"นั่นก็ดี ฮ่ะๆ" หลี่โม่หัวเราะแหยๆ เขาคงจมปลักอยู่กับเื่ราวในนิยายมากเกินไป จนเผลอคิดไปเองเสียอย่างนั้น
ปฏิกิริยาของอิ๋งปิงเช่นนี้ กลับตรงกับการประเมินของ 'เนตรทิพย์ลิขิตฟ้า' ยิ่งนัก
ผู้ที่ไม่หวั่นไหวต่อคำยกย่องหรือคำดูิ่ มักจะก้าวไปได้ไกลกว่าเสมอ และนี่ก็เป็ความจริง
แก้มของอิ๋งปิงขยับเบาๆ แสดงว่านางไม่สนใจหลี่โม่แล้ว นางเคยผ่านเหตุการณ์อันยิ่งใหญ่และน่าตื่นเต้นมานับไม่ถ้วน นอกจากเื่ครอบครัวแล้ว ความทรงจำในยามที่ยังต่ำต้อยนั้น ก็แทบไม่หลงเหลืออยู่ในความทรงจำ เหมือนถูกปัดกวาดไปไว้ในมุมใดมุมหนึ่งเสียแล้วก็ไม่รู้
ในความทรงจำอันไกลโพ้น หลี่โม่มีพร์ธรรมดาๆ กว่าจะเข้าสำนักชิงเยวียนได้ก็แทบจะเอาตัวไม่รอด หลังจากใช้เวลาเป็ศิษย์ชั้นนอกมาหนึ่งปี เขาก็ถูกขับออกจากสำนักไป ในขณะที่ตอนนั้น ตัวนางเองก็ได้กลายเป็ผู้โดดเด่นที่สุดในหมู่คนรุ่นเดียวกันไปแล้ว
หลี่โม่ดูเหมือนจะมีการเปลี่ยนแปลงไปบ้าง แต่... ไม่สำคัญ ชื่อของเขา ในอนาคตคงจะไม่มีทางหาพบได้บนกระดานจัดอันดับในเขตแดนบูรพานี้แน่ พวกเขาอาจจะไม่ได้เป็แม้แต่ผู้ผ่านมาในชีวิตของกันและกันด้วยซ้ำ นางไม่เคยเสียสมาธิให้กับผู้ไม่เกี่ยวข้อง
ในทางกลับกัน การเคลื่อนไหวในการกินของหลี่โม่หยุดชะงักไปเล็กน้อย
【ลงทุนสำเร็จแล้ว!: ไข่ต้มหนึ่งฟอง โจ๊กขาวหนึ่งชาม】
【กำลังคำนวณรางวัล...】
【ยินดีด้วยกับท่านโฮสต์! รางวัล: ตั๋วเงินหนึ่งพันตำลึง】
【ตั๋วเงินหนึ่งพันตำลึง】: "ออกโดยโรงประมูลเฮงทง สามารถใช้ได้กับโรงแลกเปลี่ยนเงินใหญ่ทุกแห่ง"
หลี่โม่ อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื้นตันใจอย่างประหลาด และหวังว่านางจะกินได้มากกว่านี้อีกสักหน่อย เพียงอาหารสามมื้อ เขาสามารถกินจนได้ทรัพย์สมบัติมหาศาลเลยทีเดียว
อาหารว่างยามค่ำคืน คืนนี้ต้องเตรียมอาหารว่าง!
สองวันต่อมา
ปรากฏมหานครอันโอ่อ่าในระยะไกล ราวกับสัตว์ร้ายมหึมาที่ขวางอยู่ใต้ฟ้าคราม
แคว้นจื่อหยาง เป็หนึ่งในสิบสองแคว้นแห่งเขตแดนบูรพา แบ่งออกเป็เก้าแขวง สามสิบหกอำเภอ เล่าขานกันว่าก่อนการสถาปนาราชวงศ์ต้าอวี้ ที่นี่เคยเป็เมืองหลวงเก่าของราชวงศ์ก่อน และเคยเป็ดินแดนที่เปี่ยมด้วยอัจฉริยะและรุ่งเรืองถึงขีดสุด
ต่อมา คลื่นอสูรหายนะที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ได้ถาโถมในเขตแดนบูรพานานนับร้อยปี ทำให้ความรุ่งโรจน์ของมันกลายเป็เพียงอดีตที่เลือนหายไป
กระทั่งจักรพรรดิหวู่ตี้ขึ้นครองราชย์ ปราบปรามเก้าฟ้าสิบพิภพ และพระราชทานรางวัลแก่ขุนนางผู้มีคุณูปการ บรรพบุรุษผู้ก่อตั้งสำนักชิงเยวียนคนแรก มีคุณงามความดีจากการติดตามองค์จักรพรรดิ จึงได้รับพระราชทานศักดินาจื่อหยาง
หลังจากปกครองมานานหลายพันปี สถานที่แห่งนี้จึงฟื้นคืนความรุ่งเรืองและกลับมาคึกคักมีชีวิตชีวาอีกครั้ง
นครจื่อหยาง ที่ตั้งอยู่ใต้เขาชิงเยวียน ได้รับการสร้างขึ้นใหม่บนซากปรักหักพังของเมืองหลวงเก่าในราชวงศ์ก่อน แม้จะเห็นเพียงส่วนหนึ่งก็แสดงให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่อลังการอย่างแท้จริง เลยพ้นจากตัวเมืองไปห้าสิบลี้ ก็จะพบกับเทือกเขาชิงเยวียนอันเลื่องชื่อ
"ในที่สุดพวกเราก็มาถึงแล้ว"
"นี่คือนครจื่อหยางหรือ? ใหญ่โตจริงๆ ยืนอยู่ใต้ประตูเมือง ข้ารู้สึกเหมือนตัวเองเป็แค่มดตัวหนึ่ง"
"คึกคักจริงๆ สมกับเป็ศูนย์กลางสำคัญของแคว้น ผู้คนหนาแน่นจริงๆ"
"่นี้สำนักชิงเยวียนจะเปิดรับศิษย์ คนจะไม่เยอะได้อย่างไรเล่า"
ขบวนรถที่สัญจรไปมามีมากมายมหาศาล ประตูเมืองอันกว้างใหญ่ก็พลุกพล่านราวกับเขื่อนที่เปิดประตูระบายน้ำ เสียงรถม้าดังอื้ออึงไม่ขาดสาย
เมื่อมองไปยังเขาชิงเยวียน ผู้คนมากมายต่างแสดงสีหน้าเปี่ยมด้วยความปรารถนาอย่างชัดเจน
ราชวงศ์ต้าอวี้ก่อตั้งประเทศด้วยพลังยุทธ์ และปกครองใต้หล้าด้วยอำนาจของสำนักยุทธ์!
บนท้องฟ้าเหนือนครจื่อหยาง มีเพียงเมฆก้อนเดียว นั่นก็คือ สำนักชิงเยวียน!
บรรดาเด็กหนุ่มจากอำเภอและแขวงต่างๆ ล้วนตื่นเต้น ร้องะโโหวกเหวกกันใหญ่ ผู้คนที่เดินผ่านไปมาก็ไม่ได้แสดงสีหน้าประหลาดใจแต่อย่างใด เห็นได้ชัดว่าพวกเขาคุ้นเคยกับสิ่งเหล่านี้ดีอยู่แล้ว
"ยิ่งใหญ่ไม่ธรรมดาจริงๆ" หลี่โม่ก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา
ชาติที่แล้ว เขาเคยเห็นมหานครนานาชาติมาแล้วมากมาย แต่เมื่อมาถึงที่นี่ กลับอดไม่ได้ที่จะรู้สึกตกตะลึง เมื่อเทียบกับตึกระฟ้าคอนกรีตเสริมเหล็กเ่าั้ มหานครโบราณที่โอ่อ่าและงดงามด้วยงานแกะสลักและภาพวาดเหล่านี้ เห็นได้ชัดว่ายิ่งใหญ่ตระการตากว่ามาก
มหานครที่สามารถรองรับคนห้าล้านคน กับนครโบราณที่สามารถรองรับคนห้าล้านคนนั้น เป็คนละแิกัน ไม่สามารถนำมาเปรียบเทียบกันได้
"ใบผ่านทาง"
ทหารรักษาเมืองสวมชุดเกราะแข็งแกร่งและอาวุธคมกริบ ชุดเกราะเงินระยิบระยับภายใต้แสงแดด ยืนตระหง่านราวกับหอเหล็ก พ่อบ้านรีบยื่นป้ายเหล็กให้ แล้วจ่ายค่าเข้าเมืองหนึ่งตำลึงอี๋ จากนั้นรถม้าก็ได้รับอนุญาตให้เข้าไปในเมือง ราวกับก้าวเข้าสู่โลกอีกใบ
หลี่โม่มองทุกสิ่งอย่างแปลกใหม่ ราวกับคนบ้านนอกเข้าเมือง สองวันนี้กระเป๋าสตางค์ของเขาพองขึ้นมาก อาหารสามมื้อของหญิงสาวผู้เ็าคนนั้น ทำให้เขามีตั๋วเงินเพิ่มขึ้นเป็หมื่นตำลึง หรือกระทั่งทองคำพันตำลึงเลยทีเดียว แต่พอเข้าสู่นครจื่อหยางที่ดินทุกตารางนิ้วมีค่า หลี่โม่ก็รู้สึกว่าตัวเองไม่ได้ร่ำรวยอะไรขนาดนั้นแล้ว
"คุณชายน้อย พวกเรามาถึงนครจื่อหยางแล้วนะขอรับ ไม่เหมือนตอนอยู่ต่างอำเภอ" พ่อบ้านบังคับรถม้า พลางเตือนเสียงเบาๆ
"เดิมทีก็อยู่ได้ไม่นานหรอก" หลี่โม่ยิ้ม
การเดินทางไกลครั้งนี้ บิดาของเขายังต้องให้พ่อบ้านที่ดูแลเขามาั้แ่เด็กมาด้วย จะเห็นได้ว่าแต่ก่อนเขาคงทำให้ผู้คนเป็ห่วงมากขนาดไหน นี่คงกลัวว่าเขาจะมีนิสัยแปลกประหลาดไปสร้างเื่วุ่นวายกระมัง
"คุณชายน้อยพูดถูกขอรับ" พ่อบ้านถอนหายใจโล่งอก พยักหน้าหงึกหงักตอบรับ คุณชายจอมสร้างปัญหาผู้นี้ ่นี้เปลี่ยนไปมากจริงๆ เขาเองก็น่าจะรู้สึกสบายใจขึ้นบ้าง
รถม้าเคลื่อนผ่านสะพานไม้สีแดงสดที่ทอดข้ามลำเรือบรรทุกสินค้าซึ่งรวมกันอยู่เบื้องล่าง ไม่เพียงแต่ตัวเมืองจะใหญ่โตขึ้นเท่านั้น ผู้คนในย่านนี้ยังมีท่วงท่าที่แตกต่างไปอย่างมาก ผู้ที่สวมอาภรณ์แพรไหมมีให้เห็นมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และยังสามารถมองเห็นรถม้าอันหรูหราแปลกตาหลากหลายรูปแบบ
ยกตัวอย่างเช่น รถคันที่สวนมานั้นถูกลากโดยม้าพันธุ์พิเศษสี่ตัว ซึ่งมีขนสีแดงฉานทั้งร่างและมีเกล็ดขึ้นอยู่ด้วย ตัวรถม้านั้นใหญ่กว่ารถที่หลี่โม่โดยสารอยู่หลายเท่าตัว ตกแต่งด้วยทองคำและหยกงดงาม ให้ความรู้สึกเก่าแก่ทว่าสง่างาม
"พี่ใหญ่!" ทันใดนั้นก็มีคนะโเรียกจากด้านหลัง เป็หวังหู่ เขาะโลงจากหลังม้าด้วยใบหน้าเปี่ยมสุข แล้วรีบวิ่งมาที่หน้ารถม้าที่สง่างามนั่น
ชายหนุ่มคนหนึ่งก้าวลงมาจากรถม้า รูปร่างสูงใหญ่ สวมชุดผ้าไหมสีขาว แขนทั้งสองข้างเรียวยาว ่ล่างมั่นคงแข็งแรง ยามเดินดูราวกับัผงาดเสือเหยียบย่าง ที่เอวยังแขวนป้ายประจำตัว ซึ่งสลักด้วยอักษรพู่กันอันทรงพลังสองตัวว่า 'ศิษย์ชั้นใน'
ศิษย์ชั้นในของสำนักชิงเยวียน!
สายตาของทุกคนที่มองหวังหู่พลันเพิ่มความระมัดระวังขึ้นมาทันที แม้จะมีคนร่วมเดินทางมามากมาย แต่มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถเข้าเป็ศิษย์ชั้นนอกได้ ไม่ต้องพูดถึงศิษย์ชั้นในเลย ศิษย์ชั้นในกับศิษย์ชั้นนอก แม้ต่างกันเพียงคำเดียว ทว่ากลับราวกับฟ้ากับเหว ศิษย์ชั้นในเมื่อไปยังอำเภอใดๆ แม้แต่เ้าเมืองก็ยังต้องให้ความเคารพนับถือเชิญไป
"เสี่ยวหู่ ข้าเดาถูกว่าเ้าคงใกล้จะถึงแล้ว" ชายหนุ่มยิ้มพลางกวาดสายตามองไปทั่วกลุ่มคน สายตาของเขาหยุดอยู่ที่หลี่โม่ครู่หนึ่ง
"พวกเ้าเพิ่งมาถึง คงไม่รู้ว่าจะไปพักที่ไหน"
"ข้ามีสหายที่เป็เ้าของโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง ไปที่นั่นกันเถอะ" ชายหนุ่มยิ้มอย่างสงบแล้วขึ้นรถม้าไป
"พี่ชายของข้าชื่อหวังฮ่าว อายุสามสิบต้นๆ และเป็ศิษย์ชั้นในแล้ว ตามเขาไปไม่มีทางเสียเปรียบแน่นอน" หวังหู่เชิดหน้าขึ้น ใบหน้าของเขาเผยความโอหังออกมา ราวกับว่าคนที่เข้าเป็ศิษย์ชั้นในคือตัวเขาเองอย่างนั้น
แน่นอนว่าทุกคนต่างพากันประจบสอพลอ ในเมื่อมาในที่ที่ไม่คุ้นเคย การได้ตามศิษย์ชั้นในจากหุบเขาฝูหลงไปด้วย ก็จะช่วยประหยัดปัญหาไปได้มากมาย
"เขามองอะไร?" หลี่โม่นิ่งงันไปครู่หนึ่ง ก่อนจะนึกขึ้นได้ทันที อีกฝ่ายไม่ได้มองเขา แต่กลับมองหญิงสาวผู้เ็าที่อยู่ข้างกาย
ก็จริงนั่นแหละ แม้จะมาถึงนครจื่อหยางแล้ว ความงามอันน่าทึ่งของอิ๋งปิงก็ยังไม่ลดลงแม้แต่น้อย เครื่องแต่งกายที่เรียบง่ายของนางกลับทำให้หญิงสาวชาวเมืองที่สวมอาภรณ์แพรไหมเลอค่าซีดจางไปถนัดตา
การดูแลเอาใจใส่เื่อาหารการกินใน่สองสามวันนี้ ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็... ควรจะมีความคืบหน้าอยู่บ้างแล้วใช่ไหม? อย่างน้อยที่สุด ก็ไม่ถึงกับเป็คนแปลกหน้าแล้วล่ะ
ในขณะที่ความคิดมากมายวนเวียนอยู่ในหัว ก็ปรากฏร้านอาหารหรูซึ่งตั้งอยู่ริมคลองเบื้องหน้า ตัวตึกสูงเจ็ดชั้น บรรยากาศหรูหราโอ่อ่าแผ่ซ่านออกมา สถานที่แห่งนี้สะท้อนความรุ่งเรืองของนครโบราณได้อย่างสมบูรณ์แบบที่สุด
เสี่ยวเอ้อร์สายตาเฉียบคม เมื่อเห็นหวังฮ่าวก็รีบไปตามผู้จัดการร้านทันที ผู้จัดการร้านรินชาให้หวังฮ่าวด้วยความเคารพ และเริ่มเจรจากัน ส่วนคนอื่นๆ ต่างรู้สึกอึดอัดใจเล็กน้อย
เมื่อครู่พวกเขาก็เห็นแล้ว ห้องพักธรรมดาที่สุดที่นี่ก็ราคาถึงยี่สิบตำลึงเงิน ห้องพักพิเศษยิ่งแพงกว่า และเนื่องจากสำนักชิงเยวียนกำลังจะเปิดรับศิษย์ในไม่ช้า แขกจึงมีมาก ราคาจึงยิ่งสูงขึ้นไปอีก
"ห้องพิเศษหนึ่งร้อยตำลึงงั้นหรือ?" หลี่โม่ชำเลืองมอง แล้วเดินตรงไปที่เคาน์เตอร์ เงินจำนวนแค่นี้ ไม่จำเป็ต้องประหยัด
"รบกวนขอห้องพิเศษสองห้อง" ห้องหนึ่งของเขา และอีกห้องของอิ๋งปิง
พ่อบ้านและคนติดตามที่เพิ่งวางสัมภาระไว้ ก็ได้กลับไปกับสำนักคุ้มภัยแล้ว
"ขออภัยท่านแขก ห้องพักของเราเหลือน้อยแล้ว จึงเหลือเพียงห้องเดียวสำหรับผู้ที่มาพักรวมกันขอรับ" ชายหนุ่มหน้าเคาน์เตอร์กล่าวขออภัยพร้อมรอยยิ้ม
"นั่นก็ได้" หลี่โม่ครุ่นคิดเล็กน้อย แล้วพยักหน้า
"ห้องเหมยเขียวที่ชั้นสอง ขอเชิญรับกุญแจไปได้เลยขอรับ"
พอจ่ายเงินเสร็จ ชายหนุ่มหน้าเคาน์เตอร์เพิ่งจะหยิบป้ายห้องไม้จันทน์ออกมา ก็ได้ยินเสียงเย้ยหยันของหวังหู่ดังขึ้น
"มีคนจัดการให้แล้วก็ดีใจไปเถอะน่า เงินแค่ร้อยตำลึงในนครจื่อหยางน่ะ ไม่ได้ทำให้ดูร่ำรวยอะไรหรอกนะ ที่นี่มีเงินก็ใช่ว่าจะใช้การได้ดีเสมอไป"
"?"
นึกขึ้นได้แล้ว เ้านี่คือบุตรชายของหัวหน้าแก๊งหมัดหกประสานในอำเภอ บิดาของหลี่โม่เป็ผู้คุมอำเภอซึ่งดูแลความสงบเรียบร้อยของทั้งอำเภอ เปรียบได้กับผู้ที่อยู่ในตำแหน่งตรงข้ามกับบิดาของเขา ดังนั้นลูกหลานทั้งสองจึงไม่ถูกชะตากันเป็เื่ธรรมชาติ
ในขณะเดียวกัน ไม่ไกลออกไป หวังฮ่าวก็เดินกลับมาหาเหล่าเด็กหนุ่มเด็กสาวที่กำลังประหม่า แกล้งทำเป็กล่าวขอโทษว่า
"เหลือห้องพิเศษเพียงสิบสามห้องเท่านั้น ในเมื่อพวกเ้าเป็คนบ้านเดียวกันกับน้องชายของข้า ก็คงต้องพักรวมๆ กันไปก่อนนะ"
"ไม่เป็ไรๆ พวกเราเบียดเสียดกันได้อยู่แล้ว"
"ขอบคุณมาก ท่านพี่หวัง ท่านช่างเป็คนดีจริงๆ"
ผู้ร่วมเดินทางต่างดีใจจนเนื้อเต้น พากันกล่าวขอบคุณไม่ขาดปาก
หลี่โม่ อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาอย่างเงียบๆ ใครกันเล่าที่แสดงความขอโทษด้วยการยืนกอดอกเชิดหน้าอย่างนั้น?
สิ่งที่ผู้ชายในชีวิตนี้คิดมากที่สุดก็มีอยู่สามอย่าง คือ (1) หาทางอวดดี (2) แม่นางผู้นี้ช่างงามยิ่งนัก (3) ต้องหาทางอวดดีต่อหน้านาง
เป็ไปตามคาด หวังฮ่าวหันไปมองอิ๋งปิงต่อ แล้วกล่าวว่า
"แม่นางผู้นี้ ห้องพักอาจจะไม่เพียงพอ แต่โชคดีที่ข้ามีห้องรับรองส่วนตัวที่นี่ ปกติก็ไม่มีคนอยู่ ทำความสะอาดไว้อย่างสะอาดสะอ้าน หากไม่รังเกียจ แม่นางจะพักที่นั่นหรือไม่?"
น้ำเสียงของเขามั่นใจมาก วิธีนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาใช้ และได้ผลดีเสมอสำหรับเด็กสาวจากเมืองเล็กๆ เห็นได้จากหญิงสาวชาวบ้านที่อยู่ข้างๆ หลายคน ต่างมองด้วยความอิจฉา
การที่ผู้มีฐานะสูงกว่าและยังสามารถยื่นมือแสดงความปรารถนาดีมาให้ มีน้อยคนนักที่จะต้านทานได้
"ไม่มีห้องแล้วหรือ?" อิ๋งปิงชำเลืองมองผู้จัดการร้าน
"ถูกต้อง... เอ่อ, ถูกต้องขอรับ" ผู้จัดการร้านรู้สึกเสียวสันหลังวาบ พลางเช็ดเหงื่อพยักหน้าหงึกหงัก
หวังฮ่าวยิ้มและกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ในชั่วพริบตาต่อมา รอยยิ้มของเขาก็แข็งค้างบนใบหน้า หญิงสาวหยิบป้ายห้องไม้จันทน์ที่อยู่ตรงหน้าหลี่โม่ แล้วเดินตรงขึ้นไปชั้นสอง ยังห้องเหมยเขียว
ปัง!
ประตูไม้ปิดลง
"เฮ้อ" มองใบหน้าของหวังฮ่าวที่ถอดสีสลับกับแดงก่ำ หลี่โม่รู้สึกสนุกโดยไม่รู้ตัว
แต่ก็หัวเราะไม่ออก หัวเราะเยาะคนอื่นงั้นหรือ? ก็เหมือนส่องกระจกดูตัวเองนั่นแหละ! เขาส่ายศีรษะ แล้วเดินขึ้นไปชั้นสองเช่นกัน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้