ในตอนนั้น พวกนางสองพี่น้องยังมีฐานะต้อยต่ำ และไม่มีอำนาจใดๆ ทั้งนั้น เฟิ่งสือจิ่นจึงไม่คิดโทษนาง
ความทรงจำของเฟิ่งสือจิ่นวุ่นวายเล็กน้อย นางทำให้เฟิ่งสือเหิงป่วย ทุกคนจึงมองว่านางเป็ต้นเหตุที่ทำให้เฟิ่งสือเหิงต้องตาย แต่ในความทรงจำของนาง เหมือนใครบางคนเคยบอกว่านางรับผิดแทนเฟิ่งสือหนิงเท่านั้น แม้แต่เฟิ่งสือหนิงเองก็พูดแบบเดียวกัน...
ทว่าเื่จริงเป็อย่างไรกันแน่ นางเองก็ไม่รู้เหมือนกัน จำได้แค่ว่าตอนออกจากเมืองหลวง นางตัดขาดกับทุกคนในตระกูลเฟิ่ง ซึ่งหนึ่งในนั้นก็รวมเฟิ่งสือหนิงด้วย
ความทรงจำเหล่านี้ คล้ายยังขาดส่วนที่สำคัญที่สุดไป ซึ่งส่วนที่ว่าอาจเป็เื่ราว หรือใครสักคนก็ได้ เพราะไม่มีคนผู้นี้อยู่ เื่ราวจึงไม่สมบูรณ์ ไม่อาจปะติดปะต่อเข้าด้วยกันได้ เฟิ่งสือจิ่นไม่รู้ว่าเหตุใดถึงรู้สึกเช่นนี้ แต่ยิ่งคิดย้อนกลับไป นางก็ยิ่งรู้สึกขนลุก แถมยังปวดหัวมากขึ้นเรื่อยๆ
เฟิ่งสือจิ่นทุบหัวตัวเองเพื่อบรรเทาความเ็ป นางรู้สึกเหมือนมีแมลงชอนไชไปทั่วสมอง มันเป็ความรู้สึกที่ทรมานเหลือเกิน อีกด้าน สีหน้าของเฟิ่งสือหนิงเปลี่ยนไปอย่างต่อเนื่อง นางปรี่เข้ามาดึงแขนของเฟิ่งสือจิ่นเอาไว้ “เป็อะไรไป ปวดหัวหรือ อาการหวัดรุนแรงขึ้นหรือไม่?”
เฟิ่งสือจิ่นเงยหน้าขึ้น ดวงตาสีแดงก่ำมองจ้องไปที่เฟิ่งสือหนิงตาไม่กะพริบ นางทำเช่นนี้อยู่นานโดยไม่ได้พูดสิ่งใดออกมาแม้แต่ประโยคเดียว เฟิ่งสือหนิงถูกมองจนเริ่มทำตัวไม่ถูก รอยยิ้มบนใบหน้าก็ค่อยๆ เจื่อนลงเรื่อยๆ “มีอะไรติดหน้าข้าหรือเปล่า ทำไมถึงมองข้าเช่นนี้?”
เฟิ่งสือจิ่นส่ายหน้า “ไม่มีอะไร ถ้าข้าจำไม่ผิด พวกเราไม่ได้สนิทกันถึงขั้นที่เ้าต้องดั้นด้นมาพบข้าถึงในวังเช่นนี้นี่”
เฟิ่งสือหนิงชะงักอึ้ง “เ้ายังโกรธข้าเพราะเื่ในอดีตอีกหรือ ไม่ว่าจะเคยเกิดอะไรขึ้น เ้าก็เป็พี่น้องร่วมสายเือย่างแท้จริงเพียงหนึ่งเดียวที่ข้ามี เราเหลือกันแค่สองคนแล้ว มีแค่เราที่จะช่วยเหลือและห่วงใยกันจริงๆ”
เฟิ่งสือจิ่นหัวเราะด้วยสีหน้าราบเรียบ ไม่มีความเศร้าโศก หรือซาบซึ้งใดๆ ทั้งสิ้น “เ้าเป็คุณหนูของตระกูลเฟิ่ง ส่วนข้าเป็แค่ลูกสาวที่ถูกเฉดหัวทิ้ง ฐานะของเราต่างกันราวฟ้ากับเหว เ้าพูดเช่นนี้ ถ้าท่านโหวหรงกั๋วมาได้ยินเข้า เขาต้องโกรธมากแน่ อีกอย่างตอนนี้เ้าก็เป็ถึงพระชายาขององค์ชายสี่ ต่อให้ท่านโหวหรงกั๋วจะไม่พอใจเ้าอย่างไร เขาก็ไม่กล้าหักหน้าเ้าอยู่ดี เมื่อมาคิดแบบนี้ เ้าก็สร้างเกียรติให้วงศ์ตระกูลได้ไม่น้อย เ้าไม่เห็นจำเป็ต้องมาหาข้าเลย เ้าทำไปเพื่ออะไรกัน เพื่อพูดคุย รื้อฟื้นความสัมพันธ์เก่าๆ ระหว่างพี่น้องหรือ แต่ข้าจำได้ว่าเราไม่เหลืออะไรให้รื้อฟื้นแล้วนี่”
เฟิ่งสือหนิงนิ่งเงียบลง สักพักจึงหัวเราะขมขื่น “สือจิ่น ข้ารู้ว่าเ้าหยิ่งในศักดิ์ศรี แต่ถึงอย่างนั้น ก็ไม่เห็นต้องพูดจารุนแรงแบบนี้เลยนี่ เป็ความผิดของข้าเองที่ไม่ได้ดูแลเ้าให้ดี ทำให้เ้าต้องออกไปลำบากอยู่ข้างนอก ทั้งหมดนี้เป็ความผิดของพี่คนนี้เอง ที่ข้ามาเยี่ยมเ้าก็เพราะเป็ห่วงเ้ามากจริงๆ เมื่อคืน กู้เหยียนบอกข้าว่า...”
เฟิ่งสือจิ่นขมวดคิ้วมุ่น “เขาบอกเ้าว่าอย่างไร?”
เฟิ่งสือหนิงขอบตาแดงก่ำคล้ายกำลังจะร้องไห้ นางพูดด้วยท่าทางน่าสงสาร “วางใจเถอะ ข้าไม่แพร่งพรายเื่นี้ออกไปแน่ เพราะนี่ไม่ใช่แค่เื่หน้าตาของราชวงศ์เท่านั้น แต่ยังเกี่ยวข้องไปถึงเื่ความบริสุทธิ์และชื่อเสียงของเ้าด้วย แม้แต่เสด็จแม่ก็ยังไม่รู้เื่นี้เลย... กู้เหยียนเล่าเื่ทั้งหมดให้ข้าฟังแค่คนเดียว” พูดจบก็เช็ดน้ำตาแล้วฉีกยิ้มขึ้นอีกครั้ง “จริงสิ เ้าเองก็เคยเจอกู้เหยียนแล้ว เื่นี้เป็ความผิดของข้าเอง ข้าคิดไม่รอบคอบ เลยไม่ได้เชิญเ้ามางานแต่งของข้ากับกู้เหยียน แต่ตอนนั้นเ้ากับราชครูฝึกวิชาอยู่บนเขา ข้าเกรงว่าจะรบกวน เลยไม่ได้แจ้งให้เ้ารู้ แต่ไม่ว่าเ้าจะคิดยังไง อย่างไรเสียเขาก็เป็พี่เขยของเ้า ไม่ว่าจะเป็ในหรือนอกวัง เขาก็ควรจะช่วยเหลือเ้าอยู่แล้ว... ไม่ใช่แค่เขา ข้าเองก็เหมือนกัน ต่อไป หากมีปัญหาอะไรก็มาหาข้าได้ทุกเวลา หากช่วยได้ ข้าจะช่วยเ้าแน่นอน...”
คำพูดของเฟิ่งสือหนิงช่างระคายหูเสียจริง เฟิ่งสือจิ่นไม่ชอบเอาเสียเลย ซึ่งนางก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็เพราะอะไร “ความจริง ข้ามีเื่ให้เ้าช่วยจริงๆ นั่นแหละ” เฟิ่งสือจิ่นพูดขึ้น
เฟิ่งสือหนิงถาม “เื่อะไร?”
เฟิ่งสือจิ่นพูด “ช่วยหุบปากเสียทีได้ไหม?”
เฟิ่งสือหนิงชะงักอึ้ง ก่อนจะหลั่งน้ำตาออกมาอย่างโศกเศร้า ใบหน้าที่เปียกปอนไปด้วยน้ำตา ดูงดงามไม่ต่างไปจากดอกไม้ที่ชุ่มไปด้วยน้ำค้างในยามเช้า
เฟิ่งสือจิ่นพูดต่อ “เ้าพล่ามมาตั้งนาน แต่กลับไม่มีคำไหนที่เป็ประโยชน์ต่อข้า ข้าไม่อยากรู้ และไม่ใส่ใจสักนิดว่าพี่เขยของข้าเป็ใคร อีกอย่าง ต่อให้ข้ามีปัญหาอะไร ข้าก็ไม่มีทางไปขอความช่วยเหลือจากเ้าอยู่ดี เ้าแค่ทำหน้าที่พระชายาของตัวเองให้ดีก็พอแล้ว ข้าเป็แค่ประชาชนระดับล่าง เ้าลดตัวมาเสวนากับข้าเช่นนี้ ไม่ใช่เพราะอยากจะเยาะเย้ยข้าหรือไง?”
เฟิ่งสือหนิงกระตุกยิ้มเบาๆ ท่าทีสนิทสนมจอมปลอมลดน้อยลงบ้างแล้ว นางหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดน้ำตาจนสะอาด จากนั้นจึงพูดขึ้น “อย่างที่เ้าบอก เ้าเองก็เป็แค่ลูกสาวที่ถูกเฉดหัวออกไปจากตระกูล ตอนนี้เ้ากลับมาแล้ว แถมยังไม่มีที่พึ่งที่ไหน เมื่อเป็เช่นนี้ ผิดหรือที่ข้าอยากช่วยเหลือเ้า? เมื่อคืน หากไม่ใช่เพราะพี่เขยของเ้า เ้าจะได้มายืนอยู่ตรงนี้อย่างปลอดภัยหรือ? เป็ถึงขนาดนี้แล้ว เ้ายังจะปากแข็งว่าตัวเองไม่้าความช่วยเหลือจากข้าอีกหรือ?” นางมองเฟิ่งสือจิ่นด้วยสายตาบีบเค้น “ถ้าไม่ใช่เพราะอยากช่วยเ้า ทำไมเขาถึงรับปากว่าจะปกป้องเ้าโดยแลกกับกริชเล่มนั้นล่ะ?”
เฟิ่งสือจิ่นมองดูคนตรงหน้าพลางพูดด้วยท่าทางขบขัน “ดูเหมือนข่าวลือจะเป็เื่จริง เ้ากับองค์ชายสี่รักกันอย่างลึกซึ้งเสียจริง เขาถึงบอกเ้าทุกอย่างเช่นนี้ แต่เื่นี้ ข้าแค่ทำให้สิ่งที่้าเป็จริงด้วยวิธีของตนเองเท่านั้น เ้ามาเกี่ยวอะไรด้วย?” เฟิ่งสือหนิงอ้าปากคล้ายอยากพูดอะไร แต่เฟิ่งสือจิ่นก็ชิงพูดขึ้นเสียก่อน “เมื่อครู่ เ้าเพิ่งพูดว่าอยากจะช่วยเหลือข้า แต่กับเื่แค่นี้เ้าก็ยังตามกัดไม่เลิก นี่น่ะหรือ คนที่อยากจะช่วยเหลือข้าอย่างจริงใจ?”
เฟิ่งสือหนิงหน้าถอดสี เฟิ่งสือจิ่นเตรียมจะดึงมือกลับมา แต่เฟิ่งสือหนิงก็กระโจนเข้ามาหา แล้วจับแขนของเฟิ่งสือจิ่นแน่น เล็บแหลมๆ ทิ่มลึกลงไปในข้อมือของเฟิ่งสือจิ่น พลันเสียงเย็นเยียบของเฟิ่งสือหนิงก็ดังขึ้น “เ้ายังจำเื่เมื่อหกปีก่อนได้มากน้อยแค่ไหน ข้าเคยหลอกอะไรเ้าบ้าง?”
เฟิ่งสือจิ่นเตรียมจะตอกกลับ แต่ก็คิดไม่ออกว่าเฟิ่งสือหนิงเคยโกหกหลอกลวงอะไรตนบ้าง นางรู้แค่ว่าสิ่งที่ออกมาจากปากของเฟิ่งสือหนิงมีแต่คำหลอกลวง ไม่จริงใจ รู้แค่ว่าเฟิ่งสือหนิงเคยหลอกนางครั้งแล้วครั้งเล่า และนางในอดีตก็หลงเชื่ออย่างสนิทใจ
เฟิ่งสือจิ่นไม่ตอบ นางพยายามสลัดแขนกลับออกมา แต่เสียงทุ้มต่ำของเฟิ่งสือหนิงก็ดังขึ้นไม่หยุด “เ้ายังจำกู้เหยียนได้หรือไม่?”
เฟิ่งสือจิ่นเงยหน้าขึ้น และมองเข้าไปในดวงตาที่อัดแน่นไปด้วยความร้อนรนกระวนกระวายของเฟิ่งสือหนิง “กู้เหยียนบอกว่าเ้าจำอะไรไม่ได้เลย บอกว่าเ้าลืมเขาไปจนหมดแล้วไม่ใช่หรือ?” เฟิ่งสือหนิงเค้นถามไม่เลิก
เฟิ่งสือจิ่นโมโหจนไฟลุก นางสะบัดมือของเฟิ่งสือหนิงออกไปอย่างรังเกียจ “ข้าไม่รู้ว่าเ้ากำลังพูดบ้าอะไรอยู่ ข้าควรจะจำเขาได้หรือไง? หากเลือกได้ ข้าอยากลืมเ้ามากกว่า อยากให้ตัวเองไม่เคยรู้จักกับเ้ามาก่อน”
ทั้งที่เมื่อครู่ เฟิ่งสือจิ่นถูกบีบข้อมืออย่างแรง แถมยังถูกเล็บจิกลึกเข้าไปในิั คล้ายอีกฝ่าย้าจะจิกให้ลึกไปถึงกระดูกแท้ๆ แต่เมื่อนางสะบัดมือ เฟิ่งสือหนิงกลับทำตัวอ่อนแอราวกับใบไม้ในลมหนาว ที่แค่ััเบาๆ ก็ลอยกระเด็นออกไปไกลแสนไกล เฟิ่งสือจิ่นมองดูอีกฝ่ายลอยถลาออกไปต่อหน้าต่อตา เสื้อผ้าบนร่างปลิวไสวราวกับปีกผีเสื้อ นางล้มหงายหลัง และนอนตะแคงอยู่บนพื้นอย่างไร้แรง ดอกท้อร่วงลงบนกระโปรงอย่างแ่เบา ทำให้นางแลดูงดงามและน่าสงสารจับใจ
เฟิ่งสือหนิงเริ่มหลั่งน้ำตาออกมาอีกครั้ง “สือจิ่น เ้าโกรธเกลียดข้าถึงเพียงนี้เชียวหรือ?”
เฟิ่งสือจิ่นยังไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมจู่ๆ เฟิ่งสือหนิงถึงเป็เช่นนี้ เสียงเย็นะเืของใครบางคนก็ลอยมากับสายลมหนาว ร่างในชุดสีขาวลอยผ่านหน้าไปอย่างกะทันหัน เฟิ่งสือจิ่นรับรู้ได้ถึงแรงหนึ่ง ซึ่งผลักให้นางถอยเซไปด้านหลังหลายก้าว เพราะตั้งตัวไม่ทัน เฟิ่งสือจิ่นจึงเสียหลัก ล้มหนักๆ ไปนั่งอยู่บนพื้น