เสวียนเทียนเขียนอย่างรวดเร็ว ไม่ถึงสิบนาที ‘กระบี่เพลิงโลกันตร์ผลาญฟ้า’ เพลงกระบี่ชั้นนิลขั้นต้นที่มีเกือบหมื่นตัวอักษรก็ถูกคัดลอกจนเสร็จ
เสวียนเทียนวาง ‘กระบี่เพลิงโลกันตร์ผลาญฟ้า’ ฉบับคัดลอกกลับไปที่เดิมแล้วสายตาของเสวียนเทียนก็หันไปทางวิทยายุทธ์สายอัคคีชนิดอื่น
‘ปราณเก้าอัคนีอนธการ’ เข้าคู่กับเพลงกระบี่ ‘กระบี่เพลิงโลกันตร์ผลาญฟ้า’ เท่านั้น ไม่มีเพลงหมัด เพลงเตะ วิชาฝ่ามือวิทยายุทธ์ชนิดอื่นที่เข้าคู่กันเสวียนเทียนเลือกดูอยู่หลายชนิดแล้วก็เลือกวิทยายุทธ์สายอัคคีที่ระดับความเข้ากันกับ ‘ปราณเก้าอัคนีอนธการ’ สูงที่สุดออกมาชนิดหนึ่ง ‘ดาบไฟบรรลัยกัลป์’
‘ดาบไฟบรรลัยกัลป์’ ในชื่อมีคำว่าดาบ แต่ว่าไม่ใช่เพลงดาบ แต่เป็วิชาฝ่ามือ
เทียบกับ ‘กระบี่เพลิงโลกันตร์ผลาญฟ้า’ แล้ว คัมภีร์ของ ‘ดาบไฟบรรลัยกัลป์’ บางกว่ากันอยู่ไม่น้อย มีเพียงประมาณห้าพันอักษรเท่านั้น เสวียนเทียนคัดลอกออกมาเช่นกัน
‘กระบี่เพลิงโลกันตร์ผลาญฟ้า’‘ดาบไฟบรรลัยกัลป์’ ‘ปราณเก้าอัคนีอนธการ’‘ก้าวย่างัพยัคฆ์’ ‘เงาภูตเทวยาตรา’ วิทยายุทธ์ชั้นนิล วิชาหมัดฝ่ามือ วิชาปราณฝึกฝนพลังวิชาตัวเบาท่าร่างล้วนมีหมดแล้ว ก่อนหน้าชั้นเบิกนภาขั้นสามไม่ต้องหนักใจเื่วิชาปราณวิทยายุทธ์อีกแล้ว
“หวงเทียน!”
เสวียนเทียนกำลังจะวาง ‘ดาบไฟบรรลัยกัลป์’ เล่มสำเนาลง ทันใดนั้นก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นเบาๆ ทางด้านหลังเขาใกล้เพียงนิดเดียว
ในใจเสวียนเทียนสะดุ้งมีคนมาอยู่ข้างหลังใกล้ถึงเพียงนี้ เขากลับไม่รู้ หมุนตัวไปดูเป็ชายชราอายุราวห้าสิบปีคนหนึ่ง
“ผู้าุโเรียกหาข้าหรือ?”เสวียนเทียนถามขึ้น เข้ามาใกล้ข้างหลังของเขาได้โดยไร้ร่องรอยพลังวัตรอย่างน้อยก็ต้องชั้นเบิกนภาขั้นหกขึ้นไป เสวียนเทียนประเมินย่อมเป็ผู้าุโสำนักในของสำนักกระบี่์แน่นอน
ชายชราอายุห้าสิบปีผู้นั้นพยักหน้า เอ่ยว่า “เ้ามากับข้า”
พูดจบชายชราอายุห้าสิบปีก็หมุนกายแล้วเดินไปทางห้องที่เชื่อมกับเขตสองเสวียนเทียนเดินตามไป
“ผู้าุโผู้รักษาหอเขตสองรู้จักเ้าหนูหวงเทียนด้วยหรือ?”
“ไม่รู้ว่าผู้าุโเจี่ยเรียกเขาไปทำอะไร?”
“ฮึ ต่อให้มีคนหนุนหลังก็ไม่มีประโยชน์บิดาของศิษย์พี่ฉู่เฟิงเป็ถึงหัวหน้าผู้าุโของตำหนักลงทัณฑ์ผิดใจกับศิษย์พี่ฉู่ ในสำนักนี้เดินนิ้วเดียวก็ลำบากแล้ว”
“อืมผู้าุโเจี่ยยุ่งเกี่ยวกับการต่อสู้ระหว่างศิษย์ในไม่ได้ รอออกจากหอวิชายุทธ์ก็ท้าสู้เขาอย่างที่ว่า เล่นเขาให้หมอบเสีย”
......
เห็นแผ่นหลังที่ลับหายไปกับผู้าุโเจี่ยศิษย์หลายคนที่มองเสวียนเทียนด้วยสีหน้าไม่ประสงค์ดีก่อนหน้านี้ก็ลดเสียงปรึกษากัน
เสวียนเทียนตามผู้าุโเจี่ยเข้ามาในห้องนอกจากประตูทางเข้าแล้ว ห้องยังมีอีกสองประตูบานหนึ่งอยู่ตรงข้ามเป็ทางเชื่อมไปเขตสอง อีกหนึ่งบานอยู่บนกำแพงด้านขวาเชื่อมต่อไปที่อีกห้องหนึ่ง
ผู้าุโเจี่ยนำเสวียนเทียนผ่านประตูทางด้านขวาเข้ามาในห้องอีกห้องหนึ่ง
ห้องนี้ค่อนข้างใหญ่ ด้านในมีคนอยู่สองคนคนหนึ่งนั่ง คนหนึ่งยืน
คนที่นั่งอยู่มีเคราขาวผมขาว รูปร่างสูงใหญ่ถึงแม้จะนั่งอยู่ก็เห็นได้ชัดว่าตัวใหญ่มากราวกับูเาสูงขุนเขาใหญ่ ให้คนต้องเงยหน้ามองสิ่งที่น่าประหลาดใจเพียงอย่างเดียวของคนผู้นี้คือแขนเสื้อข้างซ้ายของคนผู้นี้วางเปล่าราวกับว่าเหลือเพียงแขนขวาเพียงข้างเดียวเท่านั้น
คนที่ยืนอยู่อายุราวห้าสิบปี ทั้งร่างราวกับห้วงน้ำลึกขุนเขาตระหง่านยืนยืดตรงสง่า มีท่วงท่าบรรยากาศที่ให้ความรู้สึกกดดันผู้คนเช่นกัน
คนที่ยืนอยู่ เสวียนเทียนเคยพบครั้งหนึ่งเขาคือหัวหน้าผู้าุโแห่งหอวิชายุทธ์...อู่เจิ้นคุนตอนที่เสวียนเทียนยังเป็ศิษย์สำนักนอกครั้งที่สองที่เข้ามาในหอวิชายุทธ์ทะเลาะกับฉู่เฟิง เป็อู่เจิ้นคุนนี่เองที่ปรากฏตัวออกมาหยุดไว้
อู่เจิ้นคุนเป็ยอดฝีมือตัวฉกาจชั้นเบิกนภาขั้นเก้าเป็หัวหน้าผู้าุโของหอวิชายุทธ์ ทั้งสำนักกระบี่์เป็รองแค่คนอย่างเ้าสำนักและผู้าุโรุ่นใหญ่เท่านั้นแต่ถึงกับต้องยืน ต่อหน้าชายชราเคราขาวผมขาวผู้นี้ ราวกับต่ำกว่ารุ่นหนึ่งฐานะของชายชราผมขาวผู้นี้คืออะไรกันแน่?
ในใจเสวียนเทียนชั่วขณะก็สว่างขึ้นมาคาดเดาไว้อย่างหนึ่ง
ผู้าุโเจี่ยเข้ามาในห้องก็รีบเดินไปตรงหน้าชายชราผมขาวพูดด้วยเสียงนอบน้อมว่า “อาจารย์หลิงข้าพาหวงเทียนมาแล้ว”
คำว่า ‘อาจารย์หลิง’ ยืนยันสิ่งที่เสวียนเทียนคาดเดาไว้ในใจในใจอดตะลึงไม่ได้ บุคคลในตำนานของสำนักกระบี่์ถึงกับจงใจมาพบเขาทำให้เสวียนเทียนตกตะลึงไม่น้อยจริงๆ
คนผู้นี้ไม่ใช่ใครอื่นก็คือท่านปู่ของหลิงซิงเยว่นั่นเองหลิงอี้เฉินจอมยุทธ์ผู้พิทักษ์สำนักของสำนักกระบี่์ที่ชั้นสามของหอกระบี่มีชื่อของเขาทิ้งอยู่ลำดับก่อนหน้าฉู่เฟิง
หลิงอี้เฉินพยักหน้าผู้าุโเจี่ยก็โค้งคำนับถอยมายืนอยู่ด้านข้าง
เห็นหลิงอี้เฉินมองมา เสวียนเทียนก็กำหมัดคารวะ “ศิษย์หวงเทียนคารวะปรมาจารย์หลิง ผู้าุโอู่”
ใบหน้าของอู่เจิ้นคุนเผยยิ้มเล็กน้อยพยักหน้าให้เสวียนเทียน
ส่วนหลิงอี้เฉินโบกมือ กล่าวว่า “ดีมาก ดีมาก หวงเทียนเ้าไม่ทำให้ข้าผิดหวังเลย”
เสวียนเทียนฉับพลันก็นิ่งงันไป ในใจคิดหรือว่าปรมาจารย์หลิงติดตามดูข้ามานานแล้ว? ไม่เช่นนั้นเหตุใดจึงพูดเช่นนี้?
เห็นสีหน้าของเสวียนเทียนหลิงอี้เฉินก็ยิ้มขึ้นมาบางๆ เอ่ยว่า “ซิงเยว่กลับมาจากเทือกเขาเร้นลมก็พูดถึงเ้าให้ข้าฟังข้าเห็นการแข่งขันของเ้าในการแข่งขันจัดอันดับ ไม่เลวทีเดียวเ้าเป็ต้นอ่อนที่ดีมากต้นหนึ่ง เพียงสามเดือนกว่า เ้าก็กลายเป็ศิษย์สำนักในได้อีกทั้งยังผ่านชั้นที่สามของหอกระบี่แล้ว การเติบโตของเ้าเกินความคาดหมายของข้านักดูฝีมือของเ้าแล้ว เ้าคงไม่ได้เพิ่งก้าวขึ้นชั้นเบิกนภาแต่อย่างน้อยก็เดือนหนึ่งได้แล้วสินะ?”
เสวียนเทียนตอบตามตรง “ปรมาจารย์หลิงตาแหลมคมดุจคบเพลิง”
ในสายตาของหลิงอี้เฉิน มีแววประหลาดใจผ่านไปชั่วครู่เอ่ยว่า “ถ้าพูดเช่นนี้หมายความว่าเวลาแค่สองเดือน เ้าก็ก้าวจากชั้นวิถียุทธ์ขั้นเก้าขึ้นสู่พลังวัตรชั้นเบิกนภาแล้ว!”
อู่เจิ้นคุนและผู้าุโเจี่ยที่อยู่ด้านข้างดวงตาฉายแววตื่นตะลึง
เสวียนเทียนพยักหน้า
ดวงตาของหลิงอี้เฉินเผยแววพึงพอใจ เอ่ยว่า “ศักยภาพของเ้าชนะฉู่เฟิงอยู่จริงๆก่อนหน้านี้เ้าฝีมือธรรมดา จนกระทั่งสิบห้าค่ำเดือนแปดปีที่แล้วหลังหมดสติอยู่ที่บึงซ่อนกระบี่ครั้งหนึ่ง พลังวัตรก็เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วพอเริ่มแล้วไม่อาจฉุดรั้ง ทะยานสู่ฟากฟ้า ดูแล้วในบึงซ่อนกระบี่เ้าคงได้พบโชคเข้า ค่ำคืนของสิบห้าค่ำเดือนแปดของทุกปี ที่บึงซ่อนกระบี่จะปรากฏเงากระบี่เล่มหนึ่งดูแล้วคงมีความลับลึกล้ำอะไรอยู่จริงๆ”
เสวียนเทียนในใจหวาดหวั่นไม่อาจมั่นใจได้ว่าหลิงอี้เฉิงพูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร เขาจึงนิ่งเงียบไม่พูดจา
เห็นสีหน้าของเสวียนเทียนเคร่งเครียดหลิงอี้เฉิงก็ยิ้มเล็กน้อย เอ่ยว่า “เ้าไม่จำเป็ต้องกังวลข้าจะไม่ถามเ้าเกี่ยวกับบึงซ่อนกระบี่ สามสิบกว่าปีก่อนบึงซ่อนกระบี่ปรากฏเงากระบี่ขึ้นครั้งแรก คนมากมายก็ลงไปค้นหามาแล้วข้าเองก็ไม่เว้น แต่ไม่ได้อะไรกลับมาแม้แต่น้อย เ้าได้ลาภกลับมาจากบึงซ่อนกระบี่บอกได้เลยว่านั่นเป็โชคชะตาของเ้า เป็ลิขิตฟ้า คนอื่นคิดแย่งก็แย่งไม่ได้”
เห็นหลิงอี้เฉินมีเมตตา ไม่ได้มีประสงค์ร้ายอะไรเสวียนเทียนก็ผ่อนคลายลงมาก เอ่ยว่า “ไม่ปิดบังปรมาจารย์หลิงที่จริงข้าเองก็ไม่เข้าใจเื่มหัศจรรย์นี้ ไม่เข้าใจว่าเหตุใด”
หลิงอี้เฉินพูดขึ้น “สิ่งเหล่านี้ล้วนไม่สำคัญสิ่งที่สำคัญคือเ้าเป็ศิษย์สำนักกระบี่์ของข้า เ้ามีพร์ดุจปีศาจสติปัญญาชวนให้คนตะลึง ทั้งยังได้พบโชคลาภประเสริฐ ดวงชะตาไม่มีใครเหมือนความสำเร็จในวันหน้า ไร้ขอบเขตจำกัด นี่เป็โชคดียิ่งใหญ่ของสำนักเราเป็เื่น่ายินดีอย่างยิ่ง”
หลิงอี้เฉินชื่นชมถึงเพียงนี้ ทำให้เสวียนเทียนที่ถูกชมรู้สึกจนหวั่นใจอยู่บ้างถึงจะฟังแล้วเป็เื่ดีอย่างยิ่ง แต่เสวียนเทียนอย่างไรก็เป็คนไม่ชอบอวดตัวฟังแล้วก็รู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวอยู่บ้าง เอ่ยขึ้นว่า “ปรมาจารย์หลิงชมเกินไปแล้ว”
“ฮ่าๆๆๆ...!” หลิงอี้เฉินหัวเราะเสียงดง อู่เจิ้นคุนกับผู้าุโเจี่ยก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ทั้งสามมองเสวียนเทียน หลิงอี้เฉินบอกว่า “เ้ารู้สึกกระดากอายยังเด็กนัก คนไม่ควรยโสแต่หน้าก็ยังต้องหนาอยู่บ้าง ไม่จำเป็ต้องถ่อมตัวจนเกินไป”
“ปรมาจารย์หลิงกล่าวถูกต้องแล้ว”
เสวียนเทียนพยักหน้ารับถึงแม้เขาจะเป็คนสองชาติภพ แต่ชาติก่อนก็มีชีวิตอยู่เพียงยี่สิบปีสองชาติรวมกันก็เพียงสามสิบกว่าปี อยู่ต่อหน้าสามคนนี้ เขายังเด็กอยู่มากจริงๆ
“ไม่ทราบว่าปรมาจารย์หลิงเรียกพบข้ามีเื่อันใดหรือ?”พูดกันมานานขนาดนี้ก็ยังไม่เข้าประเด็นหลัก เสวียนเทียนจึงถามขึ้นมาก่อนเอง
หลิงอี้เฉินเอ่ยว่า “ที่เรียกเ้ามาพบข้าเพราะอยากบอกเ้าว่า เ้าเป็ความหวังที่ใหญ่ที่สุดของสำนักเรา ข้าชื่นชมเ้ามากคาดหวังกับเ้าไว้มาก แต่ก็อยากบอกกับเ้าว่า สำนักจะไม่วางทางสะดวกไว้ให้เ้า ทุกเส้นทางเ้าต้องเดินไปด้วยตัวเองข้าจะไม่เอาเ้ามาเลี้ยงเป็ดอกไม้ในห้องอุ่นเพราะพร์ปีศาจและสติปัญญาชวนตะลึงของเ้า”
เสวียนเทียนประหลาดใจ พูดขึ้น “ไม่ใช่ว่ายังมีศิษย์พี่ฉู่เฟิงอยู่อีกหรือ?”
ถึงแม้ฉู่เฟิงจะเป็ศัตรูของเขาแต่เสวียนเทียนจำต้องยอมรับว่า ฉู่เฟิงเป็อัจฉริยะคนแรกในรอบหกสิบปีของสำนักกระบี่์หลังจากหลิงอี้เฉิน
หลิงอี้เฉินส่ายศีรษะพลางถอนหายใจ “เขาสู้เ้าไม่ได้ข้าไม่อยากเลี้ยงเขาเป็ดอกไม้ในห้องอุ่น แต่บิดาของเขาความเห็นไม่เหมือนกับข้าทั้งหมดล้วนตามใจเขา เขา้าอะไรก็ให้สิ่งนั้นกับเขาสิ่งที่เขาได้มาทั้งหมดง่ายดายเกินไป ไม่รู้จักความลำบากบนเส้นทางยุทธภพ ทำให้ในสายตาเขาไม่เห็นหัวใครนิสัยเย่อหยิ่งทะนงตน มองว่าตนเองเกิดมาสูงกว่าผู้อื่นขั้นหนึ่งไม่รู้ฟ้าสูงดินต่ำ หากพบสถานการณ์ที่ยากลำบาก นิสัยเช่นนี้เสียเปรียบยิ่งนัก”
พูดไป หลิงอี้เฉินก็ชี้ไปที่แขนขวาว่างเปล่าของเขาเอ่ยว่า “ตอนข้ายังเยาว์สำนักก็สั่งสอนข้าอย่างประคบประหงม ทั้งหมดข้าก้าวหน้าได้อย่างราบรื่น มีความทะนงผยองอยู่บ้างจนกระทั่งออกจากอาณาจักรเสินเตา ท่องเที่ยวอยู่ในโลกภายนอก เสียแขนไปข้างหนึ่งถึงได้รู้ว่าโลกใบนี้มียอดจอมยุทธ์ราวหมู่เมฆ ยอดจอมยุทธ์ที่ถูกเลี้ยงมาอย่างไข่ในหิน มากที่สุดก็เป็ได้แค่ยอดฝีมือเส้นทางของฉู่เฟิงกับเ้าไม่เหมือนกัน ภายหน้าเขาอาจจะทะลุชั้นปฐี มาแทนที่ข้ากลายเป็จอมยุทธ์ผู้พิทักษ์สำนัก แต่เทียบกับโลกภายนอกแล้วก็เป็เพียงยอดฝีมือส่วนเ้าจะกลายเป็ยอดจอมยุทธ์ที่แท้จริง ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็เป็ผู้แข็งแกร่ง”
เสวียนเทียนถามขึ้น “ปรมาจารย์หลิงบอกเื่เหล่านี้แก่ข้าหมายความว่า?”
หลิงอี้เฉินเอ่ยว่า “ถึงแม้เ้ามีพร์ล้ำเลิศแต่สำนักจะไม่ดูแลเ้าเป็พิเศษเ้า้าอะไรต้องใช้ความพยายามของตนเองต่อสู้ให้ได้มา ไม่ใช่พึ่งพารอสำนักมอบให้มีปัญหาอะไรจงพยายามจัดการด้วยตัวเอง อาศัยพร์ของเ้าย่อมต้องมีผู้าุโสำนักในโขยงใหญ่อยากรับเ้าเป็ศิษย์ส่วนตัว แต่ข้าจะปรามจากเื้ัเ้ารู้ว่าเพราะอะไรใช่หรือไม่?”
เสวียนเทียนพูด “ปรมาจารย์หลิงอยากให้ข้าเพียรพยายามทำทุกสิ่งด้วยตนเองไม่ให้ข้าหวังพึ่งพิงผู้อื่น”
หลิงอี้เฉินพยักหน้า เอ่ยว่า “นี่เป็ประการแรก ประการที่สอง ข้ามองว่าสำนักเราไม่มีผู้ใดมีคุณสมบัติเป็อาจารย์ของเ้าตัวข้าเองก็ไม่มี เ้าเป็ัที่แท้จริงตนหนึ่ง ตอนนี้ถูกขังไว้ในที่เล็กๆ เช่นอาณาจักรเสินเตานี้สุดท้ายวันหนึ่งัที่ถูกขังก็ต้องหลุดจากพันธนาการ เหาะเหินสู่ฟากฟ้าเ้าจะก้าวข้ามคนในสำนักเราทุกคน รวมถึงบรรพบุรุษในประวัติศาสตร์อนาคตของเ้าคือแดนเหนือทั้งหมด หรืออาจถึงขั้นแผ่นดินเสินโจวทั้งหมดปีนี้ข้าอายุเจ็ดสิบห้าปี ั้แ่วัยเยาว์ก็หยิ่งผยอง จนกลางคนได้รับผลกรรมถูกคนตัดแขนไปข้างหนึ่ง เคยผ่านการจมจ่อกับความแค้น จนยามชราจิตใจจึงสงบนิ่งลงประสบการณ์ทั้งชีวิตทำให้ข้ามองความพลิกผันของโลกทะลุปรุโปร่งข้าย่อมมองเ้าไม่ผิด”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้