ครั้นสตรีแซ่จ้าวได้ยินอวี๋เจียวเอ่ยเช่นนี้ นางถึงกับก้าวขึ้นมาข้างหน้าจริงๆ “อาสามของเ้าอยากเปิดร้านขายเนื้อเพื่อทำมาค้าขาย จำต้องใช้เงินสิบ...ยี่สิบตำลึงเป็เงินทุน เ้าช่วยออกเงินมาสักหน่อย”
อวี๋เจียวเอนกายพิงกรอบประตู สายตาชำเลืองมองสตรีแซ่จ้าวอย่างเ็า นางหยิบตั๋วเงินห้าสิบตำลึงออกมาจากอกเสื้อก่อนจะโบกไปมาตรงหน้าสตรีแซ่จ้าวกับอวี๋ฮั่นซาน “ยี่สิบตำลึงจะไปพอได้อย่างไร? นี่คือตั๋วเงินห้าสิบตำลึง อยากได้หรือไม่เ้าคะ?”
ตั๋วเงินห้าสิบตำลึงนี้คือเงินที่อวี๋เจียวให้ซ่งชุนนำก้อนเงินไปแลกเปลี่ยนมาจากร้านแลกเงินในตำบลเพื่อสะดวกต่อการพกพา ตอนนี้กลับได้ใช้ประโยชน์เสียแล้ว
อวี๋ฮั่นซานมองตั๋วเงินในมือของอวี๋เจียวตาเป็ประกาย เขาสาวเท้าก้าวไปข้างหน้า แย้มยิ้มเอ่ยว่า “แม่หนูเมิ่งเป็คนใจกว้างนัก เงินยี่สิบตำลึงไม่พอจริงๆ ห้าสิบตำลึงกำลังดี”
สตรีแซ่จ้าวยิ้มจนตาหยี จับจ้องตั๋วเงินในมือของอวี๋เจียวไม่ละสายตา
อวี๋เจียวกระตุกยิ้มอย่างเกียจคร้าน “อยากได้หรือ? เช่นนี้ก็แล้วกัน พวกท่านคุกเข่าลงส่งเสียงเลียนแบบสุนัข หากร้องได้สมจริง ข้าฟังแล้วพอใจก็จะยกให้พวกท่าน”
รอยยิ้มบนใบหน้าของอวี๋ฮั่นซานและสตรีแซ่จ้าวแข็งค้าง พวกเขาชะงักชั่วครู่ก่อนจะเอ่ยว่า “แม่หนูเมิ่ง เ้าอย่าได้ล้อเล่น อากับอาสะใภ้จะเลียนเสียงสุนัขได้อย่างไร?”
“หากทำไม่ได้ เช่นนั้นก็ช่างเถิด มิใช่ว่าข้าไม่ยอมให้เงินเสียหน่อย” อวี๋เจียวยัดตั๋วเงินกลับเข้าไปในชายแขนเสื้อ
อวี๋ฮั่นซานเห็นเช่นนั้น ใบหน้าพลันโกรธขึ้ง เดินเข้าไปหมายจะแย่งชิงตั๋วเงินจากอวี๋เจียว ทว่าอวี๋เจียวถอยหลบอย่างว่องไว กำตั๋วเงินในมือทำท่าจะฉีกทิ้ง “กล้าแย่งหรือ? ถ้าเช่นนั้นข้าก็จะฉีกมันทิ้งเสีย”
ครั้นเห็นอวี๋เจียวฉีกตั๋วเงินจนเกิดเป็รอยขาด ในใจอวี๋ฮั่นซานร้อนรน ไม่กล้าเดินเข้าไปอีก เมื่อมองสีหน้าเ็าของอวี๋เจียว เห็นได้ชัดว่าต่อให้นางต้องฉีกตั๋วเงินทิ้งก็ไม่มีทางยอมยกให้พวกเขาแน่นอน
“นังเด็กรนหาที่ตาย! นั่นคือเงินตั้งห้าสิบตำลึง หากเ้ากล้าฉีกข้าจะตีเ้าให้ตาย!” อวี๋ฮั่นซานร้องด่า
อวี๋เจียวไม่สนใจ ขยับนิ้วอีกเล็กน้อย รอยฉีกบนตั๋วเงินก็กว้างขึ้นกว่าเดิม อวี๋ฮั่นซานทั้งกลัวทั้งร้อนใจ โมโหจนถึงกับกระทืบเท้า แต่กลับยิ่งรู้สึกอัดอั้นใจ
สตรีแซ่อวี๋โจวเอาแต่หลบอยู่ในห้อง นางไม่อยากออกหน้า ทว่าสตรีแซ่จ้าวสองสามีภรรยากลับใช้การไม่ได้เสียจริงๆ เงินอยู่ตรงหน้าแล้วแท้ๆ นึกไม่ถึงว่าจะคว้ามาไว้ในมือไม่ได้
บนใบหน้าของนางประดับด้วยรอยยิ้มเสแสร้ง หลังเดินออกมาจากห้องจึงรีบเอ่ยกับอวี๋เจียวว่า “แม่หนูเมิ่งทำอะไรกัน? ต่อให้โกรธก็ไม่ควรระบายโทสะกับเงินใช่หรือไม่? ท่านอาสามกับอาสะใภ้สามของเ้าอยากทำการค้าก็เพื่อหาเงินเข้าจวนให้มากสักหน่อย ในจวนมีเกอเอ๋อร์สามคนจะต้องสอบขุนนาง ภายหน้ายังต้องใช้เงินอีกมาก! รอกระทั่งกิจการร้านขายเนื้อประสบความสำเร็จ หลังจากได้เงินมาย่อมต้องเอาเงินทุนคืนให้เ้า ตอนนี้เงินที่เ้าหามาก็ไม่ได้ใช้ประโยชน์อันใด เหตุใดถึงไม่เอาเงินออกมาสร้างเงินเล่า? เ้าเป็คนในครอบครัวของพวกเรา เมื่อสกุลอวี๋รุ่งเรืองย่อมต้องมีผลประโยชน์ส่วนของเ้าอย่างแน่นอน”
อวี๋เจียวชะงักมือที่กำลังฉีกตั๋วเงิน เอ่ยพลางคลี่ยิ้มบาง “ท่านย่าพูดได้ไพเราะกว่าร้องเพลงเสียอีกเ้าค่ะ แต่ข้าไม่ใช่คนหูตามืดบอด เมื่อเงินอยู่ในมือของท่านอาสามกับท่านอาสะใภ้สาม ข้ายังจะได้คืนอีกหรือเ้าคะ? ท่านถามพวกเขาสิว่าพวกเขาเชื่อคำกล่าวเหล่านี้หรือไม่? ตัวท่านเองเชื่อหรือไม่? ข้าเป็คนสายตาไม่กว้างไกล มองไม่เห็นผลประโยชน์ในวันข้างหน้า หากท่านอาสามกับอาสะใภ้สาม้าเงิน ข้าบอกว่าให้ก็ย่อมให้ หากพวกเขาคุกเข่าลงส่งเสียงเลียนแบบสุนัข!”
“เมิ่งอวี๋เจียว เ้าอย่าได้รังแกผู้อื่นจนเกินไป!” อวี๋ฮั่นซานโมโหจนดวงตาแดงก่ำ จ้องมองอวี๋เจียวอย่างเอาเป็เอาตาย “ไม่มีธรรมเนียมใดให้ผู้าุโต้องคุกเข่าให้เ้า! เลียนเสียงสุนัขหรือ แค่คิดก็อย่าได้คิด ข้าไม่มีทางยอมทำเื่อับอายเช่นนั้นแน่!”
“ข้ารังแกผู้อื่นเกินไป?” อวี๋เจียวโมโหจนหลุดหัวเราะออกมา ดวงตาผลซิ่งใสกระจ่างไม่ต่างจากน้ำในสระมรกต สายตาจับจ้องไปยังอวี๋ฮั่นซาน “ครอบครัวสามของพวกท่านมีความคิดโสมมเช่นไร มีผู้ใดไม่รู้บ้าง? ท่านบอกว่าตนคือผู้าุโ แต่มีส่วนใดบ้างที่แสดงถึงความเป็ผู้าุโ? อ้าปากก็จะฆ่าจะตี ท่านคิดว่าข้ากลัวท่านจริงๆ หรือ? ที่ท่านทุบตีข้าอย่างโเี้ในครั้งนั้น ข้าจดจำฝังใจแล้ว! ท่านไม่ต้องคอยย้ำเตือนข้าทุกวัน เพราะไม่ช้าก็เร็วข้าต้องคิดบัญชีนี้กับท่านแน่นอน!”
น้อยครั้งนักที่นางจะมีโทสะ ั้แ่เล็กจนโตท่านปู่พร่ำสอนให้นางบำเพ็ญตนอยู่เสมอ สิ่งที่ต้องระวังมากที่สุดในการเป็หมอก็คือนิสัยมุทะลุบุ่มบ่าม ในฐานะหมอ นิสัยใจคอสุขุมมั่นคงจึงจะทำให้คนไข้พลอยรู้สึกได้รับการปลอบประโลมไปด้วย
แต่เวลาเพียงไม่กี่วันที่มาอยู่ในรัชสมัยไท่เยี่ยนช่างทำให้จิตใจว้าวุ่นเหลือเกิน ไม่ว่าผู้ใดล้วนสามารถก้าวขึ้นมาเหยียบหัวนางได้ทั้งสิ้น ยามนี้นางอารมณ์ไม่สู้ดีนัก คนในสกุลอวี๋ไม่กี่คนนี้คิดอะไร นางล้วนรู้อยู่แก่ใจ ดังนั้นวันนี้จึงคิดจะกำราบให้คนเหล่านี้ทำตัวดีๆ เสียบ้าง
“ท่านกล่าวว่าผู้าุโไม่อาจคุกเข่าเลียนเสียงสุนัข ย่อมได้ อวี๋จิ่นเหยียน อวี๋จิ่นซูไม่นับว่าเป็ผู้าุโกระมัง? หากพวกเขาคุกเข่าลงเลียนเสียงสุนัขได้สมจริง ข้าก็จะให้เงิน!” มุมปากของอวี๋เจียวกระตุกยิ้มเย้ยหยัน
บุตรชายทั้งสองเป็ดังแก้วตาดวงใจของสตรีแซ่จ้าว มีหรือจะยอมให้อวี๋เจียวเหยียบย่ำเช่นนี้ ไฟโทสะลุกโชนจนแทบจะะเิอยู่ในอก
อวี๋ฮั่นซานมีหรือจะทนฟังนางกล่าววาจาบ้าบิ่นเช่นนี้ได้ ถึงกับเต้นผางด้วยความโมโห เงื้อมือขึ้นหมายจะทุบตีอวี๋เจียว ทว่ามีมือหนึ่งเอื้อมมาจากด้านหลัง คว้าข้อมือของอวี๋ฮั่นซานเอาไว้อย่างแม่นยำ
อวี๋ฮั่นซานหันไปจ้องคนผู้นั้น นึกไม่ถึงว่าคนที่ขวางเขาไว้จะเป็อวี๋ฉี่เจ๋อ เขาขมวดคิ้วหมายสลัดมือของอวี๋ฉี่เจ๋อออก แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไรกลับสลัดไม่หลุด คาดไม่ถึงว่าอวี๋ฉี่เจ๋อที่ยามปกติป่วยเรื้อรังจนทำอะไรไม่ได้ ยามนี้กลับกำข้อมือของเขาเอาไว้แน่น ทั้งยังออกแรงบีบจนทำเอาอวี๋ฮั่นซานรู้สึกเจ็บจนถึงกระดูก
“เ้าห้า เ้าปล่อยมือ! นังเด็กชั้นต่ำคนนี้นับวันยิ่งใช้ไม่ได้ หากไม่จัดการให้หนัก นางคงไม่ยอมทำตัวดีๆ!” อวี๋ฮั่นซานเอ่ยพลางมองอวี๋ฉี่เจ๋อด้วยความโมโห
อวี๋ฉี่เจ๋อเดินเข้ามาหนึ่งก้าวบดบังอวี๋เจียวไว้ด้านหลัง แล้วจึงเอ่ยอย่างเ็า “มือของท่านอาสามเอื้อมมาไกลเกินไปแล้วขอรับ”
“เ้า...เ้าอวี๋ฉี่เจ๋อ! ข้าอาสามเป็ผู้าุโ หากจะสั่งสอนนางย่อมเป็สิ่งสมควร เ้าจะให้ท้ายนังมารผู้นี้จนลอยขึ้นฟ้าไปหรืออย่างไร?” อวี๋ฮั่นซานหอบหายใจ
อวี๋ฉี่เจ๋อเกร็งแขนขึ้นเล็กน้อย นิ้วมือทั้งห้าที่เห็นข้อต่อกระดูกชัดเจนลอบออกแรงผลักแขนของอวี๋ฮั่นซาน ร่างโปร่งบางปักหลักอยู่ด้านหน้าของอวี๋เจียว “นางคือภรรยาของข้า ท่านอาสามทำเกินควรแล้ว ไม่เอ่ยถึงเื่ที่นางไม่มีความผิด เพราะต่อให้มีความผิดก็ไม่จำเป็ต้องให้ท่านอาสามตำหนิหรือสอนสั่ง ท่านอาสามโปรดระวังคำพูดและการกระทำของตนด้วยขอรับ”
อวี๋ฮั่นซานถูกผลักจนถอยหลังเซไปครึ่งก้าว ภายในใจของเขานึกสงสัยว่าเหตุใดอวี๋ฉี่เจ๋อถึงมีเรี่ยวแรงมากเพียงนี้ เขานวดข้อมือที่ถูกบีบจนรู้สึกเจ็บ ทว่ายังคงไม่ยอมอ่อนข้อ “ภรรยาอะไร? ตอนนี้นางไม่ใช่ภรรยาของเ้า เ้าหายดีแล้วหรือไรจึงได้ยุ่งไม่เข้าเื่!”
“ถึงไม่ใช่ภรรยา แต่นางก็เป็น้องสาวของข้า” ดวงตาดอกท้อเรียวยาวของเขาคมกริบดุจมีด แววตาฉาบไปด้วยความเ็า “ท่านอาสาม หากยังทำตัวเป็ผู้าุโไม่ควรค่าแก่การเคารพเช่นนี้ก็อย่าได้โทษที่วาจาและการกระทำของหลานไม่เหมาะสมเลยขอรับ”
อวี๋ฮั่นซานโมโหจนเส้นเืบนหัวเต้นตุบๆ สตรีแซ่จ้าวตั้งท่าเตรียมโวยวาย ครั้นอวี๋หรูไห่เห็นว่าเื่ราวชักไม่เข้าท่า เขาจึงเดินออกมาจากห้องโถงด้วยใบหน้านิ่งขรึม “แต่ละคนกินอิ่มแล้วมีแรงงั้นรึ? ก่อเื่วุ่นวายอันใดกันอีก? จะทะเลาะกันให้บ้านแตกจนได้หรืออย่างไร? เ้าสามอยากได้เงินทุนก็พูดคุยกับแม่หนูเมิ่งดีๆ โหวกเหวกโวยวายอะไรกัน? ล้วนแต่เป็คนในครอบครัวเดียวกัน แม่หนูเมิ่งมีหรือจะไม่ให้?”
ครั้นได้ฟังวาจาเช่นนี้ อวี๋เจียวพลันหัวเราะเย้ยหยันแล้วก้าวออกมาจากด้านหลังของอวี๋ฉี่เจ๋อ ดวงตาผลซิ่งฉ่ำน้ำเพ่งมองไปทางผู้เฒ่าอวี๋ “วาจาเช่นนี้ของท่านกล่าวผิดเสียแล้ว เกิดเป็คนไม่อาจทำตัวไร้เกียรติได้คืบจะเอาศอกเช่นนี้ ในมือของท่านกำเงินค่ารักษาห้าส่วนเอาไว้แต่ก็ยังหมายปองเงินส่วนตัวของข้า คิดว่าข้าเป็คนโง่หรือ?”
นางกวาดตามองสตรีแซ่อวี๋โจวและครอบครัวสาม ดวงตาผลซิ่งเยียบเย็นลง นางดึงตั๋วเงินที่ถูกฉีกออกมาจากชายแขนเสื้อก่อนจะขยำอย่างแรง เอ่ยโดยไม่ลังเลแม้แต่นิดว่า “วันนี้ข้าจะลั่นวาจาไว้ตรงนี้ เงินในมือของข้า ไม่ว่าจะฉีกจะทิ้งล้วนตามแต่ใจของข้า หากพวกท่านยังคิดหาทางเอาไป เช่นนั้นก็อย่าหวังจะได้แม้แต่ส่วนแบ่งค่ารักษาห้าส่วนนั้น ภายหน้ายามมีคนป่วยมาเยือนจวน ข้าจะรักษาโดยไม่คิดเงิน! ข้าพูดได้ทำได้ ถ้าพวกท่านยังกล้าก่อเื่อีกก็ลองดู!”
