บทที่ 51 ขั้นที่หก
ฉินชูพยักหน้า “เ้าเก็บร่างของพญาวานรก่อน แล้วค่อยว่ากัน”
ซั่งซูอวี๋ยื่นขวดหยกให้ฉินชูหนึ่งขวด “ร่างกายของเ้าแข็งแกร่งแบบนี้ น่าจะ้าเืและหัวใจของสัตว์อสูรไปเป็ส่วนผสมโอสถบำรุงร่างกายอะไรสักอย่างกระมัง ข้าเก็บสิ่งนี้ตอนที่พญาวานรยังไม่ตาย ที่เหลือข้ายังไม่ได้เก็บ เ้าเอาไปเถอะ”
ลังเลสักพัก ฉินชูก็รับเืและหัวใจของพญาวานรมา จากนั้นก็เริ่มชำแหละร่าง
ฉินชูชำแหละเอาผลึกพลังของพญาวานรออกมา หลังจากสังเกตดูสักพัก เขาก็พบว่าผลึกพลังของสัตว์อสูรตัวนี้มีตบะขั้นที่ห้า ความจริงนี้ ทำให้ฉินชูนับถือซั่งซูอวี๋ยิ่งกว่าเดิม ตบะของนางเพิ่งทะลุขั้นที่สี่แท้ๆ แต่กลับกล้าต่อสู้กับสัตว์อสูรขั้นที่ห้า พลังต่อสู้แบบนี้ช่างน่ากลัวเกินไปแล้ว
หลังจากชำแหละเครื่องใน เนื้อ หนัง เส้นเอ็นของพญาวานรเสร็จแล้ว ฉินชูก็ยื่นของทั้งหมดมาด้านหน้าซั่งซูอวี๋
“ข้าเอาแค่เครื่องในก็พอ เ้าเอาที่เหลือไปเถอะ รวมถึงผลึกพลังด้วย” ซั่งซูอวี๋พูดขึ้นหลังจากรับเครื่องในของพญาวานรมา
ฉินชูไม่คัดค้านอะไร เขาเก็บทุกอย่างใส่กำไลมิติทันที จากนั้นก็มองไปยังสถานที่ที่ซั่งซูอวี๋ชี้ไปเมื่อครู่ “พวกเราไปกันเถอะ”
“าแข้างหลังเ้าปริแตกแล้ว พวกเราไม่รู้สถานการณ์ที่นั่น ดังนั้นหยุดพักรักษาตัวเองก่อนดีกว่า” ซั่งซูอวี๋ยื่นขวดโอสถให้ฉินชูหนึ่งขวด ส่วนตัวเองก็แยกไปนั่งสมาธิเข้าฌานที่มุมมุมหนึ่ง ตอนที่ฉินชูหันหลังกลับไปเมื่อครู่ นางเห็นทั่วแผ่นหลังของฉินชูชุ่มไปด้วยเืสีแดงฉาน
ได้ยินคำพูดเช่นนี้ของซั่งซูอวี๋ อยู่ๆ แผ่นหลังของฉินชูก็รู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมา จึงรีบปลดเสื้อออกเพื่อทายา แต่ไม่ว่าพยายามอย่างไรก็เอื้อมไม่ถึง
สุดท้าย ฉินชูก็หยุดการกระทำลง หลังจากปิดฝาขวดโอสถก็หยิบเสื้อขึ้นทำท่าจะใส่
“มานี่ ข้าช่วยเ้าเอง” ซั่งซูอวี๋โผล่มายื่นด้านหน้าั้แ่เมื่อไหร่ไม่รู้
ฉินชูคลี่ยิ้มเขินอายให้ซั่งซูอวี๋ ก่อนหันหลังให้นาง
นางรับขวดยามาก็สั่งให้ฉินชูโก่งตัว ก่อนจะค่อยๆ ทาโอสถให้เขาอย่างระมัดระวัง
ตอนที่เนื้อโอสถัักับาแ ทำเอาฉินชูแสบจนซีดปากออกมา
“ตอนได้รับาเ็ไม่ร้องสักแอะ พอแผลเปิดแค่นี้กลับสำออย กำลังเล่นบทคนสำออยเรียกร้องความสนใจอยู่หรือ” ซั่งซูอวี๋เตะขาฉินชูเบาๆ หนึ่งที
“เห็นใจกันหน่อยไม่ได้หรือกระไร” ฉินชูยิ้มเจื่อน แต่เขาก็อยากถูกเห็นใจจริงๆ
หลังจากช่วยฉินชูทายาเสร็จ ฉินชูจึงใส่เสื้อผ้ากลับเหมือนเดิม
“ก่อนหน้านี้ข้าได้ยินเ้าบอกว่าจะอยู่ที่สำนักชิงหยุนแค่สามปี แล้วก็จะจากไป ทำไมหรือ เ้าไม่ชอบสำนักชิงหยุนหรือ” ฉินชูมองซั่งซูอวี๋พลางถาม
“ไม่เกี่ยวว่าชอบหรือไม่ชอบ ตามจริงแล้วข้าแค่ไม่ชอบคนบางคนและเื่บางเื่ในตระกูล ข้าเลยมาสำนักชิงหยุนกับท่านาุโประจำตระกูลคนหนึ่ง หลังจากท่านาุโของตระกูลข้าได้พูดคุยกับท่านเ้าสำนัก ข้าจึงได้อยู่ที่นี่ แต่เมื่อครบสามปี ท่านาุโก็จะมารับข้า และตอนนี้ก็ผ่านมาสองปีครึ่งแล้ว” ซั่งซูอวี๋เล่าเื่ของตัวเองให้ฟัง ซึ่งการเล่าเื่ตัวเองแบบนี้ของซั่งซูอวี๋ไม่มีทางเกิดขึ้นง่ายๆ เลย
“มีแต่คนมีประวัติ” ฉินชูอุทานขึ้น
“แล้วเื่ที่เ้าไม่เคยเจอพ่อแม่ของตัวเอง มันหมายความว่าอย่างไร” ซั่งซูอวี๋จำเื่ของฉินชูได้ตอนคุยกับพวกไป๋อวี้
“ข้าโตมากับผู้เฒ่าคนหนึ่ง ในตอนแรก ท่านผู้เฒ่าบอกว่าเป็คนรับเลี้ยงดูข้า แต่เมื่อปีที่แล้ว ท่านผู้เฒ่าบอกความจริงว่าขุดข้าขึ้นมาจากหลุมศพ ในตอนนั้นคนในตระกูลข้าคิดว่าข้าตายแล้ว จึงจับข้าฝัง...คร่าวๆ ก็ประมาณนี้”
“มีแต่คนมีประวัติ” ซั่งซูอวี๋พูดสวนกลับด้วยคำพูดของฉินชู
เนื่องจากยามดึกใกล้เข้ามาเยือน ฉินชูกับซั่งซูอวี๋จึงไม่เคลื่อนไหวและนั่งเข้าฌานกันอยู่ที่เดิม
ฉินชูดื่มโอสถหนิงหยวน ฝึกพลังปราณไปพลาง ฟื้นตัวไปพลาง ่นี้เขาต่อสู้บ่อย พลังปราณจึงเพิ่มขึ้นมาอย่างเร็วรวด เขารู้สึกว่าอีกไม่นานก็สามารถบรรลุขั้นที่สามได้แล้ว
เมื่อวันรุ่งขึ้นอีกวันมาเยือน ฉินชูลืมตาขึ้น เห็นซั่งซูอวี๋ค่อยๆ เดินเข้ามา เห็นได้ชัดว่านางไปอาบน้ำมา
“มีบ่อน้ำพุเล็กๆ ถัดไปทางทิศตะวันออกประมาณสามลี้ เ้าไปอาบน้ำล้างตัวเถอะ แต่พยายามอย่าให้าแโดนน้ำ” หลังจากเตือนฉินชูเสร็จ ซั่งซูอวี๋ก็เข้าฌานต่อ
ฉินชูมาถึงบ่อน้ำพุที่ซั่งซูอวี๋พูดถึง ะโลงไปล้างตัว เช็ดทำความสะอาดแผล เปลี่ยนชุดใหม่เสร็จเรียบร้อยก็กลับมาหาฟืนเพื่อจุดไฟทำอะไรกิน
“ห้ามจุดไฟ พวกเราไม่รู้ว่ามีอันตรายอะไรซ่อนอยู่ในบริเวณนี้บ้าง จึงไม่ควรทำอะไรเอิกเกริก ถ้าตอนนี้เ้ารู้สึกดีขึ้นแล้ว พวกเราออกเดินทางกันต่อเถอะ” ซั่งซูอวี๋ลุกขึ้นห้ามฉินชูจุดไฟ
“น่าจะไม่มีอะไรน่าเป็ห่วงแล้ว พญาวานรเป็สัตว์อสูรระดับห้า จัดว่าเป็แม่ทัพอสูร มีเขตพื้นที่เป็ของตัวเอง ดังนั้นจึงไม่มีสัตว์อสูรตัวอื่นอยู่ แต่ข้าเชื่อเ้า” ฉินชูล้มเลิกความคิดจะจุดไฟ แม้เขาจะมีเหตุผลเป็ของตัวเอง แต่เชื่อซั่งซูอวี๋ดีที่สุด
“ที่เ้าพูดก็มีเหตุผล แต่เ้าเคยคิดหรือไม่ ว่าหากพญาวานรเป็ลูกสมุนของสัตว์อสูรที่ตบะสูงกว่า เ้าจะทำอย่างไร” ซั่งซูอวี๋มองฉินชูก่อนพูดเสริมขึ้น
ฉินชูไม่พูดอะไรอีก เพราะซั่งซูอวี๋พูดถูก แต่ถ้ามีสัตว์อสูรที่ตบะสูงกว่าพญาวานรจริงๆ ถึงตอนนั้น เกรงว่าพวกเขาทั้งสองคงตกเป็อาหารในท้องของสัตว์อสูรตัวนั้นเป็แน่
จากนั้น ฉินชูกับซั่งซูอวี๋ก็ออกเดินทางไปทิศตะวันออก ซึ่งเป็พื้นที่ที่ซั่งซูอวี๋พบกับพญาวานรในตอนแรก
ฉินชูเดินนำหน้า เพราะเขาไม่อาจปล่อยให้ผู้หญิงเสี่ยงอันตรายแทนเขาได้ หันหน้ามองรอบๆ เพื่อสังเกตลาดเลา แต่นอกจากกลิ่นอายและร่องรอยเก่าๆ ของพญาวานร ฉินชูก็ไม่เห็นอะไรอีก
เมื่อเดินเข้ามาในลานของหอแห่งหนึ่ง ดวงตาของฉินชูพลันเบิกกว้าง ภาพหญิงสาวในชุดกระโปรงสีม่วงสะท้อนลงบนม่านตา นางนอนตะแคงข้างอยู่ที่พื้นอยู่แน่นิ่งคล้ายไม่หายใจ
ฉินชูหันไปมองซั่งซูอวี๋ ในขณะเดียวกันซั่งซูอวี๋ก็พยายามมองท่าทีของหญิงสาวด้านหน้า แต่ก็มองไม่ออก
ฉินชูหันกลับไปมองหญิงสาวบนพื้นอีกครั้ง สังเกตเห็นเนินอกกระเพื่อมขึ้นลงเล็กน้อย จึงเดินเข้าไปใกล้ๆ และเอื้อมมือออกไปใกล้ปลายจมูกนาง
ฉินชูััได้ถึงลมหายใจของนาง
ฉินชูนั่งยองๆ ลง ประคองนางขึ้นมาและเอาโอสถออกมาป้อนนาง แม้ไม่รู้ว่านางเป็มิตรหรือศัตรู แต่ถ้ายังมีร่องรอยชีวิตเหลืออยู่ คนอย่างฉินชูจำเป็ต้องช่วยเหลือ
หลังจากป้อนโอสถไปสักพักใหญ่ หญิงสาวก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้น แต่ทันทันทีที่เห็นฉินชูก็รีบผลักตัวออกทันที ก่อนนั่งตัวตรงมองฉินชู
“เ้าเป็ใคร ไม่เป็ไรแล้วใช่หรือไม่” ฉินชูเอ่ยปากถาม
“ขอบพระคุณเป็อย่างยิ่ง ข้าไม่เป็อะไรแล้ว” หญิงสาวก้มหน้าขอบคุณฉินชู จากนั้นก็หันไปมองซั่งซูอวี๋ ทว่าแววตาของเธอกลับเย็นลง
ฉินชูคิดว่าหญิงสาวคนนี้จัดว่าเป็คนสวยคนหนึ่งเลยก็ว่าได้ มีความยั่วยวนเล็กน้อย แต่สายตาที่มองซั่งซูอวี๋กลับดูแปลกๆ
“เ้าถูกพญาวานรทำร้ายกระนั้นหรือ แต่ศิษย์พี่ของข้าคนนี้ฆ่ามันไปแล้ว ดังนั้นตอนนี้เ้าปลอดภัยแล้ว” ฉินชูพูดขึ้น
หญิงสาวชุดสีม่วงหันไปมองซั่งซูอวี๋อีกครั้ง จากนั้นก็กลับมามองฉินชูเหมือนเดิม “เ้าเป็คนดี คนดีย่อมได้รับการตอบแทน”
ตอนนี้ซั่งซูอวี๋พยายามส่งสายตาให้ฉินชูเพื่อให้ฉินชูถอยออกมา
ฉินชูพยักหน้า แต่ก็วางโอสถสมานแผลให้หญิงสาวข้างหน้าอีกขวด ก่อนลุกขึ้น ในจังหวะเดียวกัน หญิงสาวคนนี้ก็จับแขนฉินชูและพยุงตัวเองลุกขึ้นเช่นกัน
“เ้าชื่ออะไร” หลังจากยืนขึ้นแล้ว นางก็ถามชื่อฉินชู
“ข้าชื่อฉินชู” ฉินชูแนะนำตัว
นางตบไหล่ฉินชูเบาๆ ทว่าเพียงเสี้ยวพริบตาก็บินจากไป
ฉินชูตกตะลึง ‘เหาะเหินเดินอากาศ’ มีเพียงผู้ฝึกตนขั้นที่หกเท่านั้นที่ทำได้ และตอนนี้หญิงสาวคนนี้ก็กำลังทำเช่นนั้นอยู่
สีหน้าของซั่งซูอวี๋เปลี่ยนไปเช่นกัน “ฉินชู พญาวานรตัวนั้นเป็ลูกสมุนของนาง”
