สมกับที่สำนักยุทธ์ว่านจ้งเป็สำนักยุทธ์ที่ยิ่งใหญ่ซึ่งสืบทอดมาแต่โบราณ ความลึกล้ำของรากฐานสำนักสามารถมองเห็นได้จากหอตำรา
ซึ่งรวบรวมตำราที่มีเนื้อหาครอบคลุมทุกเื่ ไม่ว่าจะเป็ ทักษะยุทธ์ วิชาเต๋า ใบปรุงยา และยังมีคู่มือของเื่ต่างๆ อีกเป็จำนวนมาก
แต่สิ่งที่ทำให้ฉินอวี่ต้องผิดหวังก็คือ ในชั้นที่ห้านี้ก็ยังไม่มีตำราโบราณที่เกี่ยวกับหวังชิงและยุคสมัยไท่กู่มากนัก ฉินวี่คาดว่า ตำราโบราณเหล่านี้อาจจะอยู่ในชั้นที่หก หรือไม่ก็ชั้นที่เจ็ด ซึ่งเกินกว่าขอบเขตที่เขาจะเข้าไปได้
หลังจากอ่านตำราในห้าชั้นแรกจนหมดแล้ว ฉินอวี่ก็ถอดหน้ากากและชุดคลุมสีดำออก พลางทักทายลี่อวิ๋น ก่อนจะเดินออกไปจากหอตำรา
ทันทีที่ฉินอวี่กลับถึงที่พำนัก จางอี้เหวินก็กำลังนั่งฝึกวิชาอยู่ตรงกระท่อมไม้ที่ดูทรุดโทรมของเขา
ฉินอวี่ไม่ได้ส่งเสียงเรียกจางอี้เหวิน แต่เดินตรงเข้าห้องไปทันที หลังจากสร้างค่ายกลอย่างง่ายเอาไว้ เขาก็หยิบหอกศึกที่ซื้อจากตลาดออกมา
อันที่จริง ในตอนนั้นฉินอวี่ยังดูไม่ออกว่าหอกศึกเล่มนี้มีความพิเศษเช่นไร เหตุผลที่เขาซื้อมันมา เป็เพราะรอยรูปสายฟ้าที่อยู่บนหอกศึก หลังจากนั้น ก็มีคนมายืนเฝ้าอยู่หน้าประตู จึงทำให้ฉินอวี่ยิ่งรู้ได้ทันทีว่าหอกศึกเล่มนี้ไม่ธรรมดาแน่นอน
นี่เป็หอกศึกที่มีความยาวประมาณครึ่งจ้าง ตัวหอกเต็มไปด้วยสนิมสีเขียวมรกต ปลายหอกที่แหลมคมมีสีดำสนิท มีรอยตรารูปสายฟ้าอยู่ระหว่างตัวหอกกับด้ามหอก และเป็เพราะสนิมที่ปกคลุมอยู่โดยทั่ว จึงทำให้มองเห็นรูปของสายฟ้าได้เพียงบางส่วน
หลังจากพิจารณาอยู่นาน ฉินอวี่ก็ถ่ายเทพลังปราณเข้าไปในหอกศึก
“หึ่ง!” หอกศึกส่งเสียงดัง ท่ามกลางเสียงการสั่นสะท้านนี้ แฝงไปด้วยเสียงของสายฟ้าที่ดังขึ้นเบาๆ สิ่งที่ทำให้ฉินอวี่ต้องประหลาดใจคือ จู่ๆ หอกศึกนี้ก็เปล่งประกายแสงสีม่วงอ่อนออกมา รอยสนิมสีเขียวมรกตหลุดร่วงออกจากตัวหอก เผยให้เห็นตัวหอกสีเงินที่ปกคลุมไปด้วยลวดลายของสายฟ้าอย่างหนาแน่น ท่ามกลางลวดลายเหล่านี้มีอสุนีลึกลับกำลังไหลผ่านไปมา และทันใดนั้นสายฟ้าสีม่วงอ่อนก็ปรากฏขึ้นที่ปลายหอกแหลมคมสีดำ!
“เอ่อ... นี่เป็อาวุธที่มีลวดลายสายฟ้า?” ฉินอวี่รู้สึกเบิกบานใจยิ่งนัก ในห้วงความคิดของเขานั้นทำงานอย่างรวดเร็ว จากนั้นเขาจึงได้แต่ถ่ายเทอสุนีลึกลับอันบริสุทธิ์เข้าไปยังหอกศึก
“ตูม ตูม!” เสียงของสายฟ้าดังกึกก้อง ลวดลายของสายฟ้าบนหอกศึกในมือของเขาเปล่งแสงสว่างขึ้นมา จนหอกศึกทั้งหมดกลายเป็สายฟ้าสีม่วงอ่อนสายหนึ่งทันที!
“พบของล้ำค่าแล้วล่ะ” ฉินอวี่สูดลมหายใจ เขานึกไม่ถึงว่าจะมีลวดลายสายฟ้าปรากฏอยู่บนหอก และถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเขาโดยเฉพาะ
ฉินอวี่ลุกขึ้นอย่างรวดเร็วด้วยความตื่นเต้น เปิดประตูออกไป ก่อนจะขว้างหอกออกไปทางต้นไม้ใหญ่ที่สูงตระหง่านซึ่งอยู่ในระยะไกล
“เปรี้ยง!”
จากนั้นเสียงของสายฟ้าก็ดังขึ้นทันที แสงสายฟ้าที่เกิดจากหอกศึกก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
“ตูม ตูม ตูม!”
เสียงะเิดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง สิ่งที่ทำให้ฉินอวี่ถึงกับต้องเบิกตากว้างคือ ต้นไม้ใหญ่ขนาดสามคนโอบถูกพลังสายฟ้าจนะเิออกเป็เถ้าถ่าน
แต่มันยังไม่หยุดลงเพียงเท่านั้น นับจากต้นไม้ที่สูงตระหง่านต้นแรกไป พลังได้พุ่งตรงออกไปไกล จนต้นไม้ใหญ่กว่าสิบต้นได้เกิดะเิขึ้นแทบจะพร้อมกัน ขณะที่ฉินอวี่กำลังใอยู่นั้น ต้นไม่จำนวนหลายสิบต้นที่ห่างกันหลายสิบจ้างก็ทยอยล้มลงมาทีละต้น
“เป็พลังที่น่ากลัวยิ่งนัก! เป็หอกศึกที่แข็งแกร่งมาก” ฉินอวี่ปีติยินดีเป็อย่างมาก และรีบพุ่งตรงไปในทิศทางของหอกศึก
หลังจากนั้นไม่นาน ฉินอวี่ก็ดึงหอกศึกออกจากลำต้นของต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง สายฟ้าที่ส่องสว่างและลวดลายสายฟ้าที่อยู่บนหอกศึกได้หายไปจนหมดแล้ว เหลือเพียงรอยตรารูปสายฟ้าที่อยู่ระหว่างตัวหอกกับด้ามหอก ซึ่งดูธรรมดาไม่น่าสนใจ
“หอกศึกเล่มนี้จำเป็ต้องถ่ายเทพลังสายฟ้าเข้าไป จึงสามารถปลดปล่อยพลังออกมาได้ ไม่น่าแปลกที่ศิษย์คนนั้นได้มันไปก็ไร้ประโยชน์!” ฉินอวี่พึมพำอย่างตื่นเต้น นึกไม่ถึงว่าการไปเดินตลาดครั้งนี้จะได้รับอาวุธที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้
“ในตอนนี้คงยังไม่อาจบอกระดับของหอกศึกเล่มนี้ได้ อีกทั้ง ตอนนี้ข้าเองก็ยังไม่ได้ทำให้หอกศึกเล่มนี้ได้รู้จักกับผู้เป็นาย ก็อาจพูดได้ว่า สิ่งที่ข้าได้ััมาเมื่อครู่นี้ เป็เพียงเศษเสี้ยวของพลังงานที่หอกศึกมี!”
“แม้ว่าตอนนี้จะยังไม่มีวิธีทำให้หอกศึกรู้จักผู้เป็นาย แต่ยิ่งข้าถ่ายเทพลังของสายฟ้าเข้าไปมากเท่าไร พลังของมันก็ยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น อสุนีลึกลับที่บริสุทธิ์ทำให้หอกศึกมีความทรงพลังเช่นนี้ เช่นนั้นแล้ว... หากใช้อสุนีคำราม หอกศึกจะไม่ยิ่งแข็งแกร่งกว่านี้หรือ? ต้องเป็เช่นนี้แน่!”
ความตื่นเต้นในใจของฉินอวี่ยากที่จะสงบลง ได้ยอดอาวุธมาอย่างกะทันหันเช่นนี้ ทำให้เขายิ่งมีความมั่นใจมากขึ้นกับเื่แดนขัดเกลาและการคัดเลือกศิษย์
“ตอนนี้เหลือเวลาอีกหนึ่งเดือนกว่าๆ ก็จะถึงเวลาเปิดแดนขัดเกลา! ข้ายังต้องใช้อสุนีคำรามสร้างอสุนีคำรามขึ้นอีกสองสาย! ถึงตอนนั้นอสุนีคำรามทั้งสามสายก็จะกลายเป็ไม้ตายทั้งสามของข้า” ฉินอวี่คิดในใจ และเรียกเก็บหอกศึก ก่อนจะหันหลังกลับที่พำนัก
แม้ว่าฉินอวี่จะไม่สามารถรับได้ต่อวิธีการใช้อสุนีลึกลับเข้าโจมตีอสุนีลึกลับตามที่บอกไว้ในคู่มือแก่นพลัง แต่ต้องบอกว่า วิธีการที่บอกไว้กลับได้ผลที่น่าใ แม้ว่ามันอาจจะทำให้หูของเขาไม่อาจทนไหวก็ตาม
เมื่อฉินอวี่กลับมาถึงที่พำนัก จางอี้เหวินก็ได้ตามขึ้นมา เมื่อเขาเห็นว่าฉินอวี่ได้ก้าวขึ้นสู่ขั้นเทียนชุ่ยแล้ว จางอี้เหวินก็ตาลุกวาวทันที และพูดออกไปอย่างตกตะลึง “เ้าเข้าถึงขั้นเทียนชุ่ยแล้วจริงหรือ?”
ฉินอวี่หรี่ตามองจางอี้เหวิน และพูดอย่างเฉยเมย “ข้าต้องเตรียมตัวอีกสักพัก ก่อนจะเริ่มเปิดแดนขัดเกลาช่วยเรียกข้าล่วงหน้าด้วย อ้อจริงสิ กลับไปที่ตลาด ไปช่วยดูหน่อยว่ามีแผนที่ของแดนขัดเกลาขายหรือไม่” พูดจบ ฉินอวี่ก็เดินเข้าที่พักไป ปิดประตูห้อง และสร้างค่ายกลขึ้นมา เพื่อเริ่มการปรับแต่งอสุนีคำราม
จ้างอี้เหวินที่อยู่นอกห้องเต็มไปด้วยความงุนงง และยังคงจมอยู่กับความเหลือเชื่อ เขาเกือบจะเห็นทุก่เวลาที่ฉินอวี่ก้าวจากขั้นปราณเสถียรระดับต้นเข้าสู่ขั้นเทียนชุ่ย แต่ความเร็วของความก้าวหน้ากลับรวดเร็วมากจนเขาไม่อยากเชื่อ
เวลาเพียงหนึ่งปี ไม่... ไม่ใช่สิ ต้องบอกว่าเวลาเพียงสิบเอ็ดเดือนก็ข้ามพันขอบเขตขั้นพลังใหญ่ไปได้ถึงหนึ่งขั้น?
“จะต้องเป็เพราะกลวิชานั้นแน่นอน!” จางอี้เหวินเชื่อว่าการฝึกฝนอันรวดเร็วของฉินอวี่เกิดขึ้นเพราะกลวิชาอย่างแน่นอน และสิ่งนี้ยิ่งทำให้จางอี้เหวินกระสับกระส่ายมากยิ่งขึ้น จนอยากจะได้กลวิชานั้นจากฉินอวี่เสียั้แ่ตอนนี้
“จะรีบร้อนเกินไปไม่ได้ ทุกอย่างต้องค่อยเป็ค่อยไป อย่างไรเขาก็อาจต้องตายในแดนขัดเกลา” จางอี้เหวินปลอบใจตนเอง จากนั้น เขาก็ออกไปจากที่พัก และตรงไปหาซื้อแผนที่ของแดนขัดเกลา
ในชั่วพริบตา ก็เหลือเวลาเพียงสองวันในการเปิดพื้นที่แดนขัดเกลา
จางอี้เหวินและฉินอวี่ได้ไปรับป้ายคำสั่งที่ใช้เข้าพื้นที่แดนขัดเกลามาก่อนกำหนด และเริ่มเข้าสู่เส้นทางไปยังแดนขัดเกลา
เมื่อฉินอวี่และจางอี้เหวินมาถึงปากทางเข้าของแดนขัดเกลาทางตอนเหนือของสายชีพจรดิน สถานที่แห่งนี้ก็เต็มไปด้วยผู้คนจำนวนมาก ศิษย์รุ่นเยาว์วัยหนุ่มสาวกว่าพันคนต่างมารวมตัวกันอยู่ที่นี่ ด้วยเหตุผลของการคัดเลือกศิษย์ ในแต่ละครั้งจะมีคนมารอเข้าแดนขัดเกลามากว่าปกติถึงหลายเท่า แต่ในครั้งนี้มีจำนวนคนมากกว่าเดิมถึงสิบเท่า
“คนมากมายเช่นนี้เชียวหรือ?” เมื่อจางอี้เหวินมองเห็นศิษย์หนุ่มสาวจำนวนมากที่แน่นขนัด เขาก็อดจะอุทานขึ้นมาไม่ได้ แต่ในใจกลับรู้สึกมีความสุข ยิ่งมีคนมาก ฉินอวี่ก็จะยิ่งตายเร็วขึ้น หากพูดถึงในสำนัก มีน้อยครั้งที่จะเกิดเื่วิวาทกันระหว่างศิษย์ แต่เมื่อเข้าสู่แดนขัดเกลา ทุกอย่างย่อมแตกต่างออกไป
“จ้าวจิงหลงศิษย์อันดับที่สองในรายชื่อศิษย์อัจฉริยะ! นึกไม่ถึงว่าเขาจะมาที่นี่ด้วย” จางอี้เหวินมองไปรอบๆ ทันใดนั้นก็จ้องตรงไปยังชายหนุ่มที่ยืนสูงเด่นอยู่ท่ามกลางฝูงชน และพูดขึ้นด้วยความใ
ฉินอวี่หันหน้ากลับไปมอง สิ่งที่ทำให้เขาต้องแปลกใจคือจ้าวจิงหลงที่จางอี้เหวินพูดถึง คือชายหนุ่มคนนั้นที่ตนเองพบเจอที่บันได ตอนเดินออกมาจากห้องเทียนหมายเลขเก้า เพียงแต่ เมื่อครึ่งเดือนก่อนจ้าวจิงหลงเป็เหมือนทหาร์ผู้น่าเกรงขาม แต่ในตอนนี้พลังปราณทั่วทั้งร่างได้ถูกระงับไว้ทั้งหมดแล้ว!
“ศิษย์น้องฉิน? เ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?” ขณะที่ฉินอวี่กำลังมองไปทางจ้าวจิงหลง ก็มีเสียงที่ไพเราะดังขึ้น ฉินอวี่จึงหันหน้ากลับไป เขาก็พบกับฉู่เยว่ฉานและศิษย์ชายหญิงกลุ่มหนึ่งกำลังเดินเข้ามา สิ่งที่ทำให้ฉินอวี่ประหลาดใจคือ นึกไม่ถึงว่าฉู่สยงก็จะมาที่นี่ด้วย เขาเพิ่งจะเข้ามาในแดนขัดเกลาเมื่อครั้งก่อนมิใช่หรือ?
“คารวะศิษย์พี่หญิงฉู่ ศิษย์พี่ฉู่” ฉินอวี่กำหมัดแสดงความเคารพ
“เ้าก้าวสู่ขั้นเทียนชุ่ยแล้วจริงหรือนี่?” ดวงตาอันงดงามของฉู่เยว่ฉานเบิกกว้าง มองฉินอวี่ด้วยความประหลาดใจ แม้แต่ฉู่สยงเองก็ประหลาดใจอย่างมาก
“ใช่แล้วล่ะ อาศัยการช่วยเหลือจากโอสถหลอมปราณ และยังได้เข้าไปฝึกอยู่ในหอคอยว่านจ้งอยู่ระยะหนึ่ง ดังนั้นจึงพัฒนาขึ้นมาได้” ฉินอวี่อธิบาย
ฉู่เยว่ฉานพยักหน้าเล็กน้อย หากฉินอวี่ใช้โอสถหลอมปราณและยังเข้าไปฝึกฝนในหอคอยว่านจ้ง ย่อมเป็เื่ปกติที่ฉินอวี่จะพัฒนาระดับฝึกฝนได้ และในตอนนี้ความประหลาดใจในดวงตาของฉู่สยงก็หายไป แต่กลุ่มชายหนุ่มหญิงสาวที่อยู่ข้างกายต่างเหลือบมองฉินอวี่ด้วยสายตาเหยียดหยาม จากขั้นปราณเสถียรระดับปลาย ก้าวขึ้นมายังขั้นเทียนชุ่ย ไม่เพียงแต่จะเข้าไปฝึกในหอคอยว่านจ้ง แต่ยังอาศัยโอสถหลอมปราณ? รากกระดูกของเขาตอนนี้จะแย่ขนาดไหนแล้ว?
จากนั้นฉู่เยว่ฉานก็ชำเลืองมองจางอี้เหวินและเลิกคิ้วขึ้นทันที
“จางอี้เหวินคารวะศิษย์พี่หญิงฉู่” ขณะที่ฉู่เยว่ฉานกำลังจะพูดอะไรออกมา จางอี้เหวินก็รีบพูดขึ้นทันที พลันก้มหน้าก้มตาด้วยใบหน้าแดงก่ำ
ฉู่เยว่ฉานพยักหน้าเล็กน้อย ละสายตากลับมาและจ้องไปทางฉินอวี่อย่างดุดัน ราวกับกำลังโกรธที่ฉินอวี่ไม่เชื่อฟังนาง
ฉินอวี่ยิ้มอย่างขมขื่น จางอี้เหวินเป็คนเสนอตัวเข้ามาเป็บริวารของเขาเอง จะให้เขาทำอย่างไรได้?
“ศิษย์น้องฉิน แดนขัดเกลาแตกต่างจากในสำนัก เ้า... ไม่ต้องไปดีที่สุด” ฉู่เยว่ฉานลังเลอยู่ครู่หนึ่ง และพูดโน้มน้าวอย่างจริงใจ ในมุมมองของนาง ฉินอวี่ไม่ได้จุดตะเกียงกรรม มีชีวิตอยู่ได้ไม่เกินสามปี หากในสามปีนี้อยู่ในสำนักอย่างปกติ ฉินอวี่ก็อาจมีโอกาสรอด แต่หากเข้าไปในแดนฝึกตน เกรงว่าอาจต้องตายอย่างน่าเวทนาจริงๆ
“ขอบพระคุณศิษย์พี่หญิงฉู่ ข้า้าจะเข้าไปยังแดนขัดเกลาสักหน่อย” ฉินอวี่พูดอย่างหนักแน่น ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าฉู่เยว่ฉานกำลังหมายถึงอะไร? แต่ถึงอย่างไรเขาก็จำเป็ต้องเข้าไปในแดนขัดเกลา
“เอาเถอะ เช่นนั้นเมื่อเข้าไปแล้วเ้าก็คอยติดตามพวกเราก็แล้วกัน” เมื่อฉู่เยว่ฉานเห็นความหนักแน่นของฉินอวี่ จึงไม่พูดอะไรต่อไป
หลังจากจางอี้เหวินได้ยินดังนั้น เขาก็แอบกังวลอยู่ในใจ หากเขาติดตามฉู่เยว่ฉาน แล้วเขาจะแสดงความจริงใจที่ภักดีกับฉินอวี่ได้อย่างไร? แล้วจะหาวิธีลวงเอากลวิชาจากฉินอวี่ได้อย่างไร? แต่หากเขาปฏิเสธออกไปในตอนนี้ มันก็อาจจะดึงดูดความสนใจฉู่เยว่ฉานมากเกินไป สิ่งนี้ทำให้จางอี้เหวินคิดวนเวียนอยู่ในใจมากมาย และยังคงจ้องมองไปทางฉินอวี่
ฉินอวี่ขมวดคิ้ว การเข้าไปในแดนขัดเกลาของเขาครั้งนี้ก็เพื่อพัฒนาการฝึกฝนของตนเองสู่ขั้นเทียนชุ่ยชั้นที่สอง หากติดตามพวกฉู่เยว่ฉานไป ก็เกรงว่าจะไม่มีโอกาสได้ฝึกฝน แต่นี่ก็เป็ความหวังดีของฉู่เยว่ฉาน ฉินอวี่จึงไม่อยากปฏิเสธ
ขณะที่ฉินอวี่กำลังครุ่นคิดว่าจะตอบนางอย่างไรนั้น เขากลับได้ยินเสียงของศิษย์ขั้นเทียนชุ่ยชั้นที่สามคนหนึ่งพูดขึ้นมา “ศิษย์พี่หญิงฉู่ ครั้งนี้พวกเราจะต้องเข้าไปในเขตต้องห้าม... หากพาพวกเขาไปด้วย... พวกข้าเกรงว่า...” อย่างไรก็ตาม สมาชิกในกลุ่มคนทั้งเก้าที่ติดตามฉู่เยว่ฉานต่างเป็คนขั้นเทียนชุ่ยชั้นที่สามทั้งสิ้น
ฉินอวี่เหลือบมองไปทางศิษย์คนนี้ และหันไปพูดกับฉู่เยว่ฉาน “ศิษย์พี่หญิงฉู่ ข้ามาด้วยกันกับจางอี้เหวิน คงไม่มีอันตรายอันใดหรอก ข้าขออยู่รอศิษย์พี่หญิงกลับมาเล่าให้ข้าฟังถึงบรรยากาศในหอบรรพชน”
ฉู่เยว่ฉานเหลือบมองไปทางศิษย์คนที่เอ่ยปากขึ้นมาเมื่อครู่นี้ และลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดพลางพยักหน้า “เช่นนั้นก็ได้ เช่นนั้นเ้าต้องระวังเอาไว้ให้ดี อย่าบุกรุกเข้าเขตต้องห้ามเป็อันขาด เข้าใจหรือไม่? นี่เป็แผนที่ของแดนขัดเกลา เ้าเก็บเอาไว้เถอะ” พูดจบ ฉู่เยว่ฉาน ก็หยิบผืนหนังสัตว์แผ่นหนึ่งออกมายื่นให้กับฉินอวี่
ฉินอวี่แอบถอนหายใจ หลังจากได้เข้าไปในแดนขัดเกลา สิ่งที่อันตรายที่สุดคงจะไม่ใช่อสูรร้ายเหล่านี้ แต่เป็มนุษย์! เป็เพราะกฎที่ต้องถือปฏิบัติในสำนัก ศิษย์ส่วนใหญ่จึงอยู่อย่างสงบ แต่หากเข้าไปยังแดนขัดเกลา ก็จะกลายเป็ฉากการกินเืกินเนื้อกันทันที
ฉินอวี่เหลือบมองแผนที่ในมือของฉู่เยว่ฉาน และสังเกตเห็นว่าแผนที่นี้มีความละเอียดมากกว่าที่ตนเองซื้อมาอยู่มาก เขาจึงรับเอาไว้ทันที
“หลังจากเ้าเข้าไปแล้ว ต้องระวังจ้าวเจิ้นหย่วนเอาไว้ ครั้งนี้เขาและศิษย์พี่ของเขาก็อาจเข้ามาในแดนขัดเกลาเช่นกัน” ฉู่เยว่ฉานดูเหมือนจะยังไม่วางใจนัก จึงกำชับฉินอวี่อีกครั้ง
ฉินอวี่พยักหน้าเป็การตอบรับ
จากนั้นฉู่เยว่ฉานและพวกฉู่สยงต่างก็พูดคุยกันเื่การเข้าไปยังเขตต้องห้ามของแดนขัดเกลา ในขณะที่ฉินอวี่ซึ่งยืนอยู่ด้านข้างก็กวาดสายตาดูเหล่าศิษย์ที่อยู่รอบด้าน ท่ามกลางผู้คน ฉินอวี่ก็พบกับคนคุ้นเคยไม่ใช่น้อย หลิวอวิ๋นและหลี่เซิ่งของหอคอยว่านจ้ง และยังมีคนที่เข้ามาในสำนักยุทธ์ว่านจ้งพร้อมกับเขาอย่างเด็กหนุ่มที่เป็ร่างกระบี่โดยกำเนิด และชายหนุ่มร่างยุทธ์หยางวิสุทธิ์
เมื่อเทียบกับตอนนั้น เด็กหนุ่มคนนั้นดูเหมือนจะสูญเสียความเรียบง่ายบริสุทธิ์ไปแล้ว กลายเป็คนก้าวร้าว ร่างกระบี่แต่กำเนิดได้เผยด้านอันแหลมคมออกมาแล้ว ระดับการฝึกฝนของเขาก้าวสู่ขั้นเทียนชุ่ยชั้นที่หนึ่งแล้ว ส่วนชายหนุ่มอีกคนหนึ่งที่เป็ร่างยุทธ์หยางวิสุทธิ์ ก็อยู่ในขั้นเทียนชุ่ยแล้วเช่นกัน
สิ่งที่ทำให้ฉินอวี่ต้องแปลกใจคือ นึกไม่ถึงเลยว่าองค์ชายหลงเฟยก็เข้าถึงขั้นเทียนชุ่ยแล้วเช่นกัน! สิ่งนี้เป็ที่เหลือเชื่อของฉินอวี่เป็อย่างยิ่ง เมื่อนึกถึงการที่หลงเฟยสามารถเข้าถึงชั้นที่สี่ได้ในตอนนั้น ฉินอวี่จึงคาดว่าหลงเฟยผู้นี้จะต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน เพียงแต่ ตัวเองยังไม่ค้นพบก็เท่านั้น
วันรุ่งขึ้น เบื้องหน้าของทุกคน มีวังวนพลังลอยขึ้นมาจำนวนสี่แห่ง
“ทั้งสี่ด้านของแดนขัดเกลาจะมีประตูทางออก ห้ามเข้าไปในเขตต้องห้าม เอาล่ะ เข้าไปได้!” เมื่อสิ้นเสียงที่ดูผ่านความผันผวนมานาน ทุกคนต่างหยิบป้ายคำสั่งและแยกกันวิ่งตรงเข้าไปในวังวนทั้งสี่แห่ง
