สี่ปีผ่านไป ไวราวกับโกหก
บัดนี้เ่ิูอายุสิบสี่ปีแล้ว
เขาเป็เด็กหนุ่มที่มีชีวิตยากจนข้นแค้น อาศัยอยู่ในแหล่งทรุดโทรมทางเขตเหนือของเมืองเล็กๆ นามว่าลู่ิ ชายแดนของอาณาจักรเสวี่ย
สี่ปีก่อน อาณาจักรเสวี่ยคืออาณาจักรอันเกรียงไกรในใต้หล้า แต่ยามนี้ทุกสิ่งกลับตาลปัตร
เมื่อครั้งบิดามารดาของเ่ิูถูกปิดล้อมด้วยกองทัพปีศาจอสูร เพราะสถานการณ์ผิดไปจากที่คาดการณ์ไว้ จึงสิ้นชีพในา เขากลายเป็เด็กกำพร้า บ้านตระกูลเย่เสียหลักชนิดกู่ไม่กลับ สูงสุดคืนสู่สามัญ
วันนี้เอง คือวันที่ระยะเวลาสี่ปีจะสิ้นสุดลง
“ท่านพ่อ ท่านแม่ ครบสี่ปีแล้วนะขอรับ!”
ทันทีที่เข็มของนาฬิกาแดดบอกเวลาตามที่กำหนดไว้ สีหน้าของเ่ิูเปลี่ยนจากด้านชาเป็มีชีวิตขึ้นมา เขาลืมตา ดวงตาทอประกายเหมือนมีดวงไฟร่ายรำอยู่ข้างใน
ในตอนนั้นเอง ราวกับว่า เปลี่ยนไปเป็คนละคน
เ่ิูคุกเข่าหน้าหลุมศพ คำนับสามครั้งด้วยความเคารพยิ่ง หลังจากนั้นจึงเริ่มลงมือขุดป้ายหน้าหลุมศพ
เขาพลิกหน้าดินใหม่ขึ้นมา หลังขุดลงไปได้สามนิ้ว กล่องสีดำที่ถูกฝังไว้อย่างดีก็ปรากฏขึ้นมา
มันเป็แค่กล่องเหล็กธรรมดาๆ
กล่องนี้ถูกทำขึ้นมาอย่างลวกๆ ไม่มีแม่กุญแจ มีร่องรอยการกัดกร่อนตามกาลเวลาทำให้มันขึ้นสนิมเขรอะ ดูแล้วมันผ่านร้อนผ่านหนาวมามากทีเดียว
เ่ิูค่อยๆ หยิบมันขึ้นมาอย่างระมัดระวัง เขาเปิดมันออกอย่างแ่เบา เผยให้เห็นตราประทับทองแดงวางแน่นิ่งอยู่ภายใน
ยามแสงอาทิตย์สาดแสงกระทบลงมา ดาบที่ต่างกับของเก่าคร่ำครึก็เปล่งประกายแวววับ
นี่คือสมบัติล้ำค่าที่สุดที่พ่อแม่เหลือไว้ให้เขา
“ท่านพ่อ ท่านแม่ ตามสัญญาที่ข้าให้ไว้กับพวกท่าน บัดนี้ข้าสามารถทำอะไรก็ได้ดั่งใจ้า ข้ากลับไปเป็ปกติได้แล้วสินะ? ฮะๆ พวกเหลือขอที่หัวเราะเยาะข้าตลอดสี่ปีมานี้ ต้องตะลึงจนอ้าปากค้างแน่ๆ ใช่ไหมขอรับ?”
เมื่อเอ่ยถึงตอนนี้ เ่ิูก็พลันนึกอะไรบางอย่างออก มุมปากยกขึ้นเป็รอยยิ้มประหลาด
สี่ปีแห่งความเดียวดาย ความลำบากยากแค้น ไม่ได้ทำให้นิสัยของเขาบิดเบือนไปเป็คนชอบเหยียดหยาม ถากถาง หรืออิจฉาแต่อย่างใด
เขายังคงร่าเริงและมองโลกในแง่ดี ยังคงเต็มไปด้วยเชื่อมั่นในตัวเองเหมือนเมื่อก่อน
ความสูญเสียไม่ได้มีความสลักสำคัญอะไร เป็เพียงสิ่งที่ไร้ค่า สิ่งที่เขาได้กลับมาต่างหากที่เป็ดั่งสมบัติสูงค่า นั่นก็คือ ความสงบ และหัวใจบริสุทธิ์ที่เต็มไปด้วยความแน่วแน่ ประกอบกับดวงตาที่เปี่ยมไปด้วยความชาญฉลาดซึ่งสามารถมองความหลอกลวงได้ทะลุปรุโปร่งคู่นี้
มีเพียงความลำบากเท่านั้น ถึงจะหล่อหลอมคนให้กลายเป็ยอดคนได้
สี่ปีที่ผ่านมานี้ สำหรับเ่ิูแล้ว เขารู้สึกเหมือนได้เกิดใหม่
“เฮอะๆ พวกคนที่เยาะเย้ยและกดขี่ตระกูลเย่ตลอดสี่ปีมานี้ พวกเ้าโชคร้ายแล้วล่ะ ข้าเป็คนความจำดีเื่ความแค้นเสียด้วยสิ ท่านพ่อ ท่านแม่ ตอนนี้ข้าจะเริ่มลงมือแล้วนะ พวกท่านคงไม่โทษข้า...ใช่ไหมขอรับ?”
สีหน้าของเขายามเอื้อนเอ่ยนั้นทั้งเรียบเฉยและสงบนิ่ง ราวกับว่าบิดามารดามานั่งฟังอยู่ตรงหน้าเขา
เ่ิูเก็บตราประทับทองแดงไว้
ดูเหมือนเขาจะคิดอะไรออกอีกแล้ว
“แล้วก็ ทุกสิ่งที่ตระกูลเราสูญเสียไป ข้าจะเป็คนทวงคืนมันมาด้วยมือของข้าเอง ท่านพ่อ ท่านพูดถูกแล้ว ไม่มีอานุภาพของโทสะใดไร้ความหมาย ด้วยเหตุนั้น ข้าจึงตัดสินใจจะไปเล่าเรียนในสำนักกวางขาว พวกท่านคงไม่คัดค้านข้าใช่หรือไม่? รอข้าฝึกวิชาจนแก่กล้า กระบี่ กิจการ และยังคฤหาสน์เก่าของตระกูลเย่ ข้าจะเป็คนทวงคืนมาทั้งหมด!”
เด็กหนุ่มเหมือนกำลังให้สัตย์สาบานกับหลุมศพ
“อ่า.. ใช่แล้ว แม้ยามใกล้สิ้นใจพวกท่านจะไม่อยากให้ข้าเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเื่นี้ แต่อย่างไรข้าก็ต้องสืบให้จงได้ ว่าาปกป้องเมืองในปีนั้นแท้จริงแล้วมันเกิดอะไรขึ้น ถึงทำให้พวกท่านต้องตาย...ไม่ว่าใครจะขวางทางข้าอยู่ ข้าก็จะต่อสู้ ละเลงเพลงหมัดเบิกฟ้า ให้อาทิตย์สาดลงมา ไอ้พวกเหลือขอต้องชดใช้!”
เ่ิูมองป้ายหลุมศพอย่างเงียบงัน ราวกับมองเห็นใบหน้าอันคุ้นเคยของพ่อแม่ก็ไม่ปาน
รอยยิ้มของเขาเต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ
ไกลออกไป แสงตะวันสีทองอร่ามตัดผ่านม่านหมอกยามรุ่งดั่งกระบี่ พริบตาเดียวแสงระยิบระยับนับไม่ถ้วนก็ปรากฎออกมา
ร่างของเ่ิูอาบไปด้วยแสงสีทอง เขาหันกายรับแสงอรุณแล้วเดินจากไป
ตำนานบทที่หนึ่ง แม้ว่าจะช้ากว่าเวลาที่คาดคะเนไว้อยู่สี่ปี แต่ก็ยากที่จะหยุดยั้ง ได้บังเกิด ณ สุสานแห่งหนึ่งในแหล่งทรุดโทรมอย่างเงียบๆ แล้ว
......
......
มีเื่ที่เล่าขานมานานนับพันปี ความปั่นป่วนที่ห้วงแห่งกาลเวลานั้นได้แอบซ่อนโลกลี้ลับไว้มากมาย แบ่งแยกออกเป็ดินแดนนับไม่ถ้วน
ความมากมายนั้นเทียบเท่ากับดวงดาราซึ่งไม่มีที่สิ้นสุด
เมื่อครั้งกำเนิดปฐี ในความปั่นป่วนซึ่งกินเวลาหลายล้านปี จำนวนดินแดนที่ถูกผู้แข็งแกร่งของแต่ละเผ่าพันธุ์เข้าจับจองนั้นอยู่มากมายครบถ้วนทั้งแปดสิบเอ็ดภพด้วยกัน อาทิ ภพเมฆาเขียว ภพเดือนอัสดง และภพใต้ไกลซึ่งเป็ภพลำดับที่สิบเก้าที่มีความรุ่งเรืองสูงสุด
ทุกๆ ภพล้วนมีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาล และได้ทำการก่อตั้งโลกใบย่อยขึ้นมา กำเนิดเผ่าพันธุ์และชีวิตมากมายนับไม่ถ้วน
ภพไทวะ คือหนึ่งในดินแดนที่อายุน้อยที่สุด เพิ่งบุกเบิกได้เมื่อไม่กี่ร้อยปีมานี้ ชื่อเสียงจึงมีไม่มากนัก
และเมืองลู่ิ ก็คือเมืองเล็กๆ ทีอยู่ห่างไกลในภพไทวะ
.......
ในวันหนึ่งกลางฤดูร้อน
กลางเมืองลู่ิ มีเหล่าผู้สมัครเข้าสำนักกำลังเดินเข้าแถวไปเป็ลำดับ ดังเช่นที่เป็มาทุกปี
ที่นี่เป็แหล่งร่ำเรียนวิชายุทธ์ขั้นเริ่มต้นที่เลื่องชื่อที่สุดในระยะหลายพันลี้นี้ ั้แ่สำนักกวางขาวเริ่มก่อตั้งเมื่อหกสิบปีก่อน ที่นี่ถือว่าเป็สำนักอันศักดิ์สิทธิ์ของการฝึกยุทธ์ในฝันของเหล่าเด็กหนุ่มสาวมากมาย
แม้อาทิตย์จะเพิ่งโผล่พ้นขอบฟ้า แต่ก็มีกลุ่มคนบ้าระห่ำนับหมื่นยืนเบียดเสียดกันจนถึงประตูใหญ่ของสำนักกวางขาว
เมื่อได้ยินเสียงระฆังของสำนักดังก้อง การรับสมัครก็ได้เริ่มขึ้นท่ามกลางเสียงโห่ร้องยินดี
ดวงอาทิตย์ค่อยๆ แผดแสงแรงกล้าขึ้นจนผิวเนื้อแสบร้อน แต่ก็ไม่ได้ขัดขวางความกระตือรือร้นของพวกเขาแต่อย่างใด
นอกจากบุรุษและสตรีจากเมืองลู่ิแล้ว ยังมีคนจากแคว้นที่อยู่ห่างออกไปไม่ต่ำกว่าพันลี้มาสมัครกันอย่างคับคั่ง พวกเขาได้ออกเดินทางมาจากทุกเผ่าหรือแดนทุรกันดาร ข้ามน้ำข้ามทะเล บุกป่าฝ่าดงมาเพื่อการนี้ แถมยังมีครอบครัวติดตามมาคอยปกป้อง เพื่อให้ได้มาทำการทดสอบในครานี้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับเหล่าผู้ยากจนข้นแค้นทั้งหลาย นี่คือโอกาสเดียวที่จะเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตได้
เมื่อผ่านการทดสอบและกลายเป็ลูกศิษย์ของสำนักกวางขาว เท่ากับได้เปิดโอกาสสู่ชีวิตใหม่ ภายหลังหากพากเพียรฝึกวิชาจนกลายเป็ชาวยุทธ์ผู้มีพลังแข็งกล้าได้เมื่อใด ก็สามารถเปลี่ยนแปลงชะตาอันน่าอดสูของครอบครัวที่รออยู่เื้ัได้
ขณะนี้เอง ที่เมืองลู่ิคึกคักราวกับกำลังฉลองเทศกาล
“เฮ้ย ได้ยินหรือยัง? เื่ที่ซ่งชิงหลัวจากหอการค้าชิงหลัว เพิ่งจะอายุสิบสองปี แต่ลงทดสอบครั้งแรกก็สอบผ่านได้แบบหวานหมู ทำคะแนนทั้งหกส่วนได้ยอดเยี่ยม ได้ฉายาว่าฟ้าประทานวรยุทธ์เชียวนะ! เห็นทีหอการค้าชิงหลัวคงจะให้กำเนิดเซียนตัวน้อยเข้าแล้วสิ!”
“นับประสาอะไรได้ บุตรชายแม่ทัพหลี่เขตใต้ของเมืองเราหลี่เฉิงจิ้น ข้าได้ยินมาว่าเป็อัจฉริยะวรยุทธ์ชั้นหนึ่งเลยนา เห็นว่าเป็ที่ชื่นชอบของผู้าุโในสำนักหลายคนเลยนี่”
“นี่มันก็ไม่แปลกหรอก ตระกูลชั้นสูงอู้ฟู่อย่างนั้นจะปูพื้นฐานวรยุทธ์ให้ลูกสาวลูกชายั้แ่เล็กก็ไม่ผิด วิชายุทธ์ หยูกยา ทรัพย์สมบัติมีพร้อมทุกอย่าง พวกคาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิดทั้งนั้น ยอมเสียเวลาลงแรงนิดหน่อย การสอบเข้าสำนักกวางขาวผ่านยังไม่ใช่เื่ง่ายอีกเรอะ?”
“ใช่แล้ว ผิดกับพวกคนจน ลูกหลานผู้ดีพวกนี้ชนะั้แ่เริ่มแล้วล่ะ!”
“คนจนก็อยู่ยากเข้าไปใหญ่น่ะซี่!”
หน้าประตูใหญ่สำนักกวางขาว กลุ่มคนคุยกันอย่างออกรสชาติ
แต่บางคนก็เศร้าโศกยิ่งนัก
เพราะั้แ่เริ่มสอบจนถึงตอนนี้ เด็กหนุ่มเด็กสาวซึ่งสอบผ่านล้วนแล้วแต่เป็ลูกคนใหญ่คนโตทั้งสิ้น อีกทั้งคนชั้นล่างที่มาสมัครเข้าสอบก็น้อยชนิดหนึ่งที่ว่าในหนึ่งร้อยมีแค่หนึ่งถึงสอง และคนที่จะผ่านไปได้ก็คงน้อยจนน่าใ
คนที่สอบผ่านะโโลดเต้นด้วยความดีใจ ส่วนคนที่ไม่ผ่านก็ร้องไห้สะอึกสะอื้น สีหน้าเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง หลายคนสุขหลายคนเศร้า
ความหยิ่งยโสของเหล่าลูกผู้ดีและความกดดันของลูกหลานคนยากจน ช่างตรงข้ามกันอย่างสิ้นเชิง
เส้นทางสายยุทธ์ที่แท้จริงแล้วโเี้ยิ่งนัก
สนามสอบเข้าสำนักก็อยู่ตรงประตูใหญ่ของสำนักนี่เอง
ตลอดเวลาในการสอบอยู่ภายใต้สายตาของทุกคน นับว่าเป็เื่ที่ยุติธรรม สำหรับลูกหลานคนยากจนแล้วนั่น นับว่าเป็โอกาสเพียงครั้งเดียวในการเปลี่ยนชะตาชีวิตทั้งชีวิตเลยทีเดียว
ผู้คนแออัดยัดเยียดแทบล้นลานสอบ
ตามคำประกาศผลที่ดังอย่างต่อเนื่องของเ้าหน้าที่ ทำเอาผู้คนทั้งหลายต่างก็อุทานออกมากันอย่างไม่ขาด ผู้ที่ไม่ผ่านการคัดเลือกบางคนก็เป็ลม บางคนก็ส่งเสียงอ้อนวอน บางคนก็น้ำตาพรั่งพรูออกมาเป็สาย
ในตอนนี้เอง ที่ฝูงชนแยกออกจากกัน
บุรุษผู้มีสง่าราศีผู้หนึ่งยิ้มแย้มพึงพอใจ เขาเบียดจากท้ายสุดขึ้นมา หันหน้าเดินตรงไปหาจุดสอบ
เพียงแค่เขาปรากฏกายออกมา ก็ดึงความสนใจจากผู้คนมากมายได้อยู่หมัด
เขาเป็เด็กหนุ่มอายุราวสิบสี่สิบห้า สวมเสื้อผ้าเรียบๆ และหยาบกร้าน ใช้เชือกหญ้ามัดผมดำขลับหนาไว้ลวกๆ ผมยาวถึงสะโพกพลิ้วไหวราวกับน้ำตก ร่างกายสูงใหญ่ กล้ามเนื้อแข็งแรง คิ้วคมดั่งคมดาบ ตามีประกายดั่งดวงดาว ใบหน้าเต็มเปี่ยมไปด้วยความมาดมั่น
ใครก็ตามที่ได้เห็นใบหน้าของเขา ล้วนแล้วแต่รู้สึกถึงความองอาจ
แม้เด็กผู้นี้จะสวมเสื้อผ้าสั้นๆ ที่เต็มไปด้วยรอยปะชุน แต่ก็สะอาดมาก รองเท้าหญ้าที่เขาสวมอยู่นั้นพื้นก็ใกล้ชำรุดเต็มที โทรมจนน่าอนาถ แต่ท่าทางที่เขาเยื้องย่างกลับเหมือนดั่งแม่ทัพผู้กำชัยในสมรภูมิและหวนคืนถิ่น
“เอ๊ะ? ดูสิ นี่ไม่ใช่เ่ิูหรอกใช่ไหม? ทำไมไอ้เด็กเหลือขอนี่...ดูเปลี่ยนไป?”
“จริงด้วย ไอ้หนุ่มนี่ยังจะมาเข้าร่วมการสอบอีกเรอะ?”
“ฮ่าๆ มาจริงๆ ซะด้วยสิ ข้าจำได้ ไอ้โง่นี่เคยสอบเข้าสำนักมาหลายครั้งแล้วนี่หว่า?”
“ใครบอกว่าไม่ใช่กันเล่า? ไอ้หนุ่มนี่มันบ้าบอสิ้นดี สงสัยเป็ผลพวงจากที่พ่อแม่มันตาย มันเข้าร่วมต่อเนื่องมาสี่ปีแล้ว ไม่มีสักปีที่สอบผ่าน กลายเป็ตัวตลกน่าขำที่สุดในเมืองลู่ิแล้ว เศษเสี้ยวมันสมองในหัวก็ไม่มี ยังจะมาให้ขายหน้าอีกนะ!”
“ฮ่าๆๆ ใครให้เ้าสำนักที่ทรงคุณธรรมและเปี่ยมบารมียังเคยชื่นชมมัน คิดว่ามันจะเป็ยอดอัจฉริยะของสำนักกวางขาว เผลอๆ ถึงกับเป็อัจฉริยะขั้นัเร้นได้เลยนา!”
“ข้าว่าตอนนั้นเ้าสำนักน่าจะแก่จนเลอะเลือนมากกว่า...”
“ข้าก็คิดว่าอย่างนั้น แต่เ้ายาจกเ่ิูก็มาแล้ว แถมยังดูโง่จริงๆ เสียด้วย วิ่งแจ้นมาสอบไม่รู้กี่ครั้ง ฮ่าๆ น่าขำ น่าสมเพชจริงๆ!”
เสียงครหาของผู้คนไม่มีการปิดบังใดๆ จึงได้ยินถึงหูเ่ิูอย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง
ริมฝีปากของเขาประดับยิ้มไม่รู้ร้อนรู้หนาว หาได้เก็บมาใส่ใจไม่
“พวกโง่เง่า ไม่รู้เื่อะไรเลย ถ้าไม่ใช่เพราะว่า...ข้าก็คงเข้าสำนักกวางขาวมาตั้งนานแล้ว”
เ่ิูมาถึงรอบนอกสุดของจุดรายงานตัวสอบ รับป้ายชื่อเพื่อเข้าสอบ
ตามธรรมเนียมแล้ว มีแต่จะต้องได้เลขหมายป้ายชื่อแล้วเท่านั้น จึงจะมีคุณสมบัติในการเข้าร่วมการสอบเข้าทั้งหกอย่าง เขาเคยเข้าร่วมมาแล้วสี่ครั้ง เพราะอย่างนั้นจึงคุ้นเคยกับกฎเกณฑ์ทั้งหมดเป็อย่างดี
“โอ้ นี่ไม่ใช่าาผู้พิชิตมงกุฎสี่ปีซ้อนหรือนี่ ปีนี้ก็มาอีกแล้วหรือ?” จู่ๆ เด็กหนุ่มสวมอาภรณ์ไหมสีม่วงก็โผล่มาขวางตรงหน้าเ่ิู แล้วเอ่ยอย่างมีลับลมคมใน
“ฮ่าๆๆ...”
“หลังจากครั้งนี้ไป ก็คงเป็มงกุฎที่ห้าแล้วสิเนี่ย? ข้าล่ะกลัวจนตัวสั่นเลย...”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้