ตระกูลจูคนมากกำลังมาก สมาชิกในครอบครัวกระจายอยู่ในแต่ละหน่วยงานในความคิดของภรรยาหูหย่งไฉคือตระกูลจูเป็ครอบครัวที่สุดยอดแล้ว
เมื่อก่อนเซี่ยเสี่ยวหลานมิใช่ไม่เคยคบค้าสมาคมกับเหล่าผู้บริหารเช่นบิดาของจูฟ่างนั่นถือเป็เ้าพนักงานทั่วไปจริงๆ
เ้าพนักงานทั่วไป เมื่อเทียบกับตำแหน่งสถานะในชาติก่อนแล้วนั้นไม่มีอะไรที่แตกต่างกันเลยทว่าสำหรับเซี่ยเสี่ยวหลานในตอนนี้ก็ถือว่ารับมือได้ยากยิ่ง ทั้งเครือญาติตระกูลจูทำงานในหน่วยงานต่างๆอีก หากจะสร้างความเดือดร้อนให้แก่ธุรกิจอิสระสักอย่างยังจะยากเย็นอีกหรือ?
เื่ราวช่างยุ่งยากนัก แต่เธอไม่เสียใจที่ฟาดมารดาจูฟ่างครั้งนั้นเลย
รังแกเธอจนสุดทนแล้วจะไม่ให้ตอบโต้กลับหรือ?
หากตระกูลจูเคียดแค้นเธอเพราะสาเหตุนี้ เซี่ยเสี่ยวหลานคงต้องเลือกใช้วิธีจัดการตามสถานการณ์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เป็ไปไม่ได้ที่การทำธุรกิจจะราบรื่นไปตลอดทางเซี่ยเสี่ยวหลานคิดว่าตระกูลจูเป็เพียงการฝึกฝนตนเองในเส้นทางสู่ความสำเร็จสถานที่สำหรับตั้งแผงลอยคงต้องเปลี่ยนจริงๆ เสียแล้ว หากตั้งแผงอยู่ที่เดิมเสมอ คงจะถูกคนหาเื่ได้ง่าย
เดิมทีเซี่ยเสี่ยวหลานไม่ได้อยากเปิดหน้าร้านถาวรไวขนาดนี้ทว่าตระกูลจูมีภัยร้ายแฝงเร้นมากเกินไป เธอต้องรีบจบากองโจรโดยเร็วสักหน่อย
การเปิดร้านต้องปฏิบัติตามกระบวนการ เมื่อมีใบอนุญาตประกอบกิจการแล้วถ้าคนอื่นอยากก่อความวุ่นวายอีกก็ต้องเปลืองแรงหน่อย ทว่ามีความเป็ไปได้ว่าจะก่อความวุ่นวายแก่เธอได้ง่ายขึ้นร้านถาวรไม่อาจบอกว่าให้เก็บร้านก็เก็บได้เลย พระหนีรอดแต่วัดหนีไม่รอด [1]
แต่หากเปรียบความยุ่งยากกับการเปิดหน้าร้าน อันตรายของการตั้งแผงลอยใหญ่หลวงกว่า
ปัจจุบันยังไม่มี ‘เทศบาลเมือง’ ซึ่งสร้างความหวาดกลัวให้กับเหล่าร้านค้าเร่เหมือนในอนาคตถ้าอย่างนั้นงานของเทศบาลเมืองมีใครมารับผิดชอบกัน? หน่วยงานดูแลทิวทัศน์เมืองหน่วยงานอุตสาหกรรมและพาณิชย์ หน่วยงานสาธารณสุข หน่วยงานการคมนาคมไปจนถึงหน่วยงานรักษาความมั่นคงสาธารณะและรัฐบาลท้องถิ่น แต่ละภาคส่วนล้วนดูแลจัดการต่างดำเนินการตามกฎหมาย และสามารถจัดการเหล่าร้านค้าเร่จนอ่อนน้อมถ่อมตนได้
เซี่ยเสี่ยวหลานดีใจอีกครั้งที่ไม่ได้เปิดร้านอาหารว่าง
การค้าขายอาหารดูเหมือนจะไม่ได้ใช้ทักษะที่สุด อันที่จริงการค้าขายอาหารมีสิ่งที่ต้องกังวลในแต่ละด้านมากกว่าแค่ฝีมือยอดเยี่ยมก็หาเงินได้อย่างนั้นหรือหากมีลูกค้ารับประทานแล้วท้องไส้ปั่นป่วนเล่าจะทำอย่างไร หรือมีอันธพาลมากรรโชกก่อกวนจะทำอย่างไรค้าขายเสื้อผ้าอาภรณ์ไม่้าสุขอนามัยอันเลิศเลอถ้าเปิดร้านอาหารว่างสักแห่งใครๆ ก็เหยียบย่ำได้ อย่าว่าแต่หน่วยงานอุตสาหกรรมและพาณิชย์มาตรวจสอบเลยหน่วยงานสาธารณสุขยังทำให้คุกเข่าได้ง่ายๆ ด้วยซ้ำ
เมื่อพิจารณาเช่นนี้ การที่ครอบครัวเซี่ยจื่ออวี้สามารถเปิดร้านได้อย่างเจริญรุ่งเรืองจำนวนสองคูหาบริเวณประตูอันชิ่งเซี่ยนอีจงได้ก็ถือว่ามีฝีมืออยู่ไม่น้อยเซี่ยเสี่ยวหลานคาดเดาว่า ‘จางจี้อาหารว่าง’ ต้องมีผู้หนุนหลังแน่นอน ถ้ามีคนชนบทผู้ไร้ซึ่งรากฐานเข้าเมืองมาเพื่อทำธุรกิจคนมากมายที่เฝ้ามองการทำเงินก้อนโตจะไม่อิจฉาตาร้อนได้หรือ การถูกอันธพาลนักเลงหัวไม้กรรโชกและต้มตุ๋นคือเื่ปกติแย่งชิงธุรกิจไปดื้อๆ ก็ไม่อาจมีหนทางใดแก้ไขได้
เซี่ยเสี่ยวหลานก็ใช่ว่าจะรู้ดีเสียทุกเื่ เื้ั ‘จางจี้อาหารว่าง’ มีคนหนุนอยู่จริงและคนผู้นี้คืออาจารย์ใหญ่ซุนแห่งอันชิ่งเซี่ยนอีจงนั่นเอง
อาจารย์ใหญ่ซุนไม่ได้ดูแลร้านอาหารว่างเพื่อเงินทองหรือผลประโยชน์เขาเพียงแค่โปรดปรานนักเรียนดีเด่นอย่างเซี่ยจื่ออวี้
คนที่สามารถสอบติดมหาวิทยาลัยล้วนเป็นักเรียนดีเด่น ครอบครัวยากจนแต่ยังไม่ละทิ้งการเรียนบุคคลเช่นเซี่ยจื่ออวี้นี้ อาจารย์ใหญ่ซุนจะไม่โปรดปรานได้อย่างไร
เขาช่วยจางชุ่ยเดินเื่ติดต่อจนได้มาซึ่งร้านค้าแสนรุ่งโรจน์บริเวณหน้าประตูอันชิ่งเซี่ยนอีจงเนื่องจากมีครั้งหนึ่งเขาเห็นนักเลงสองคนทำลายแผงลอยของจางชุ่ยน้ำแกงร้อนเดือดสาดไปทั่วบริเวณ จางชุ่ยร้องไห้อยู่บนพื้น คร่ำครวญคำพูดว่าแม่ช่างไร้ประโยชน์และเซี่ยจื่ออวี้ผู้เพิ่งได้รับทุนการศึกษาจากมือของอาจารย์ใหญ่ซุนก่อนหน้านี้นั่งยองกับพื้นดินช่วยมารดาที่เป็หญิงชนบทเก็บกวาดถ้วยชามพลางเอ่ยปากจะไม่เรียนหนังสือแล้ว สองแม่ลูกกอดกันร้องห่มร้องไห้
จะไม่ศึกษาเล่าเรียนได้อย่างไร ด้วยคะแนนของเซี่ยจื่ออวี้ความหวังในการสอบติดมหาวิทยาลัยมีมากมายถึงเพียงนั้น!
อาจารย์ใหญ่ซุนตะเพิดนักเลงสองคนให้จากไป ถามไถ่เซี่ยจื่ออวี้ว่ามีอะไรที่เขาพอช่วยเหลือได้บ้าง
เซี่ยจื่ออวี้มีเหตุมีผลเป็อย่างยิ่ง เธอไม่ได้ขอร้องสิ่งใดทว่าสุดท้ายก็ไม่พูดว่าจะไม่เรียนหนังสืออีกเวลาต่อมาอาจารย์ใหญ่ซุนเจอจางชุ่ยอีกหลายครั้งสตรีผู้หนึ่งอาศัยแผงขายอาหารว่างส่งเสียลูกสาวร่ำเรียนด้วยตัวคนเดียวชีวิตช่างไม่ง่ายดายเอาเสียเลย
ตอนนั้นเซี่ยจื่ออวี้เรียนอยู่มัธยมปลายปีหนึ่ง ในตัวเมืองตอนปี 80 มีแผงลอยแค่ไม่กี่ร้าน เงินทองในกระเป๋าจึงไม่มากมายธุรกิจอาหารว่างก็ไม่ถือว่าดีนัก ณ เวลานั้นอาจารย์ใหญ่ซุนยังโมโหทีเดียวตระกูลเซี่ยไม่มีใครอื่นแล้วหรือ?
ต่อมาได้เข้าใจสถานการณ์อีกแง่มุมหนึ่งสมาชิกมากมายของตระกูลเซี่ยล้วนไม่เห็นด้วยกับการให้เซี่ยจื่ออวี้ที่เป็ผู้หญิงคนหนึ่งศึกษาเล่าเรียนต่อไปครอบครัวไม่ได้ให้การสนับสนุนสองแม่ลูกแม้แต่น้อย
“เด็กผู้หญิงสอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่ได้หรือ?”
ครานั้นอาจารย์ใหญ่ซุนกลับบ้านไปกล่าวเช่นนี้ทั้งหมดทั้งมวลเพราะได้บันทึกความยากลำบากของนักเรียนผู้มุ่งมั่นซื่อตรงอย่างเซี่ยจื่ออวี้ไว้ในจิตใจแล้วจนกระทั่งปีกลาย เซี่ยจื่ออวี้เลื่อนขึ้นชั้นมัธยมปลายปีสามคะแนนการสอบจำลองเดี๋ยวสูงเดี๋ยวต่ำสลับเว้นกันไปเพื่อทำให้จิตใจของเซี่ยจื่ออวี้ทุ่มเทแก่การเรียนทั้งหมด อาจารย์ใหญ่ซุนจึงยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือจนได้เยื้องเซี่ยนอีจงมีร้านค้าอยู่สองคูหาอาจารย์ใหญ่ซุนคิดว่าจางชุ่ยสามารถเปลี่ยนแผงอาหารว่างเป็บริหารหน้าร้านได้
ถ้าไม่ใช่เพื่อให้เซี่ยจื่ออวี้จดจ่อกับการศึกษาเล่าเรียนได้อาจารย์ใหญ่ซุนจะไม่ยุ่งเื่นี้แน่นอน
ทว่าโอกาสในการเปิดร้านของจางชุ่ยเห็นได้ชัดว่ามีอยู่อย่างจำกัด ดังนั้นความช่วยเหลือของอาจารย์ใหญ่ซุนจึงมีประสิทธิภาพเป็อย่างมากล้มลุกคลุกคลานได้สองปี จางชุ่ยไม่เพียงฝึกฝนฝีมือการทำอาหารว่างออกมาทั้งยังสะสมเงินก้อนหนึ่งสำหรับเปิดร้านได้แล้ว
ธุรกิจ ‘จางจี้อาหารว่าง’ เป็ไปด้วยดี เซี่ยจื่ออวี้ไม่ต้องกังวลเื่ชีวิตความเป็อยู่ผลการเรียนจึงมั่นคงไปโดยปริยาย
ยิ่งปีนี้สอบติดวิทยาลัยฝึกหัดครูปักกิ่งได้ในรอบเดียว เป็นักศึกษาปริญญาตรีอย่างแท้จริงทำให้อาจารย์ใหญ่ซุนโล่งใจที่ความช่วยเหลือของตนไม่เสียเปล่า อาจารย์ใหญ่ประจำโรงเรียนมัธยมหลักของเขตตำแหน่งนี้มิได้สลักสำคัญอะไรในวงการข้าราชการนักแต่ผู้บริหารของสำนักการศึกษาก็อาจไม่ได้รับความเคารพเท่าอาจารย์ใหญ่ซุนไม่ต้องพูดถึงนักเรียนรุ่นก่อนของอาจารย์ใหญ่ซุนตอนนี้ครอบครัวใครไม่มีบุตรหลานที่จะสอบเข้ามหาวิทยาลัยบ้าง?
ลูกชายลูกสาวไม่สอบ ก็มีหลานชายหลานสาวอยู่ดี ‘จางจี้อาหารว่าง’ คือร้านที่อาจารย์ใหญ่ซุนเกื้อกูลด้วยตนเองหลังเปิดกิจการถึงไม่มีคนมาก่อความวุ่นวายอาจารย์ใหญ่ซุนกระทำสิ่งเหล่านี้โดยไม่หวังผลตอบแทนเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่เพื่อช่วยนักเรียนดีเด่นผู้ที่สถานะครอบครัวยากจนขัดสนเท่านั้น
แน่นอนว่าเกี่ยวข้องกับความรู้จักกาลเทศะของครอบครัวเซี่ยจื่ออวี้ด้วยเช่นกันพวกเขาไม่ใช้กิตติศัพท์ของอาจารย์ใหญ่ซุนในการกระทำเื่ที่ไม่สมควร
ตอนนี้เซี่ยฉางเจิงได้นำของมาเยี่ยมเยียนอีกแล้วอาจารย์ใหญ่ซุนจึงคิดว่าพวกเขามีเื่ลำบากที่พูดไม่ได้ วันแรกมอบขาหมู วันที่สองเป็ซี่โครงแพะวันที่สามคือห่านหนึ่งตัว... ของฝากซึ่งอุดมไปด้วยกลิ่นอายพื้นบ้านแบบนี้อาจารย์ใหญ่ซุนนั้นรับไม่ไหวแล้ว
อีกอย่างมาเยือนถี่ยิบถึงเพียงนี้เกรงว่าเื่ที่สร้างความยุ่งยากแก่เซี่ยจื่ออวี้จะไม่เล็กน้อยเลย
อาจารย์ใหญ่ซุนจึงต้องเร่งเร้าภรรยาของตนให้รีบเป็คนกลางไปถามไถ่อย่างช่วยไม่ได้คุณนายอาจารย์ใหญ่ไปรับประทานของว่างที่จางจี้หนึ่งหนจางชุ่ยจะขอร้องสิ่งใดยังคงไม่เอ่ยปาก ทว่าได้ฟังเื่ราวมากมายกลับบ้านด้วย
“เหล่าซุน ที่แท้ตระกูลเซี่ยก็มีคนสอบเข้าเซี่ยนอีจงอีกแล้วเป็ลูกพี่ลูกน้องหญิงของเซี่ยจื่ออวี้”
อาจารย์ใหญ่ซุนไม่เข้าใจถ้าอย่างนั้นที่เซี่ยฉางเจิงมอบของฝากบ่อยครั้งเพื่อขอให้เขาดูแลหลานสาวคนนี้?
อาจารย์ใหญ่ซุนไม่พอใจไปชั่วครู่ ไม่เคยพบเห็นตระกูลเซี่ยใส่ใจเซี่ยจื่ออวี้ในตอนนั้นแบบนี้เลย
ภรรยาเขาอยากกล่าวบางอย่างทว่ายั้งไว้ “บ้านเซี่ยกระวนกระวายลูกพี่ลูกน้องของเซี่ยจื่ออวี้สอบเข้าเซี่ยนอีจง เด็กคนนี้น่ะมีปัญหาเล็กน้อย...”
มีปัญหาเล็กน้อยอะไรน่ะหรือ ก็คือชื่นชอบการประชันกับเซี่ยจื่ออวี้โดยเฉพาะ
จางชุ่ยท่าทางเจียมเนื้อเจียมตัว ขอร้องอาจารย์ใหญ่ซุนช่วยดูแลเป็พิเศษเมื่อก่อนหลานสาวคนนี้เดินในเส้นทางที่คดเคี้ยวมามาก กว่าจะเรียนดีได้ช่างยากเย็นจะเดินเส้นทางขัดต่อศีลธรรมไม่ได้อีกแล้ว ภรรยาของอาจารย์ใหญ่ฟังแล้วไม่สบายใจนักหมายความว่าได้รับรองเท้าผุพังคนหนึ่งเข้าเรียนแล้ว?
“คงจะไม่ทำบรรยากาศการเรียนของนักเรียนชั้นเตรียมสอบย่ำแย่ไปด้วยสินะ?”
นักเรียนที่เซี่ยนอีจงล้วนเป็เด็กหนุ่มอ่อนเยาว์เปี่ยมด้วยกำลังวังชาจะทนความเย้ายวนของเพื่อนร่วมชั้นหญิงได้ที่ไหน จางชุ่ยกลุ้มอกกลุ้มใจจนใบหน้าง้ำงอเป็ก้อนเดียวเล่าว่าเห็นหลานสาวของเธอคลุกคลีตีโมงกับนักเรียนชายคนหนึ่งวาจาดั้งเดิมของจางชุ่ยคือ ‘จะทำร้ายลูกของคนอื่นไม่ได้อีกเด็ดขาด’ ภรรยาอาจารย์ใหญ่ได้ยินถึงกับอกสั่นขวัญแขวน
ฟังน้ำเสียงเช่นนี้ แสดงว่าไม่ได้เคยทำร้ายแค่คนเดียว?
อีกทั้งมีเด็กสาวบ้านเซี่ยที่ช่วยงานร้านจางจี้อาหารว่างคอยบรรยายอย่างชัดเจนแจ่มแจ้งเล่าถึงการกระทำอันน่ารังเกียจทุกรูปแบบของเซี่ยเสี่ยวหลาน
ภรรยาอาจารย์ใหญ่อคติเป็หลักจึงเชื่อพวกจางชุ่ยมากได้ยินว่าเซี่ยเสี่ยวหลานพฤติกรรมไม่เหมาะไม่ควรตามทำนองคลองธรรมอยู่บ้านไม่เคารพผู้ใหญ่ ทั้งยุแยงบิดามารดาหย่าร้างจากกันหันกลับมาอีกทีไม่รู้ว่าสอบเข้าเซี่ยนอีจงได้อย่างไร... คุณนายอาจารย์ใหญ่จะชื่นชอบเซี่ยเสี่ยวหลานก็แปลกแล้ว
หลังจากอาจารย์ใหญ่ซุนฟังจนจบก็ไม่เบิกบานนัก แต่เขาเป็คนมีเหตุผลทีเดียว
“ไว้ฉันจะสอบถามความเป็ไปของนักเรียนคนนี้ให้ดีเสียหน่อย”
เชิงอรรถ
[1]跑得了和尚跑不了庙 พระหนีรอดแต่วัดหนีไม่รอด หมายถึงหนีรอดจากอันตรายไปได้ระยะหนึ่ง แต่เพราะมีห่วงบางอย่างสุดท้ายก็หลบหนีไปไม่รอดอยู่ดี
