เล่มที่ 10 บทที่ 287 เป็เช่นนี้นี่เอง
หลินเฟยยังไม่ได้บรรลุขั้นจิงตันแต่อย่างใด…
เพราะการบรรลุจากมิ่งหุนเคราะห์สามไปยังขั้นบำเพ็ญจิงตันจะต้องผ่านการบำเพ็ญเพียรร่วมหลายร้อยปี ยังมีอัจฉริยะอีกหลายคนในพิภพหลัวฝูที่ต้องติดอยู่ในขั้นสุดท้าย กระทั่งไม่อาจบรรลุขั้นจิงตันได้ ต่อให้หลินเฟยจะแข็งแกร่งเพียงใด ก็ยังไม่อาจก้าวพ้นขั้นที่สิบไปได้ เช่นนั้นแล้วก็จะสามารถบรรลุขั้นจิงตันได้นั่นเอง…
บัดนี้หลินเฟยกำลังยืนนิ่งอยู่ที่ขั้นบันได เขาไม่ได้ทำเหมือนกับก่อนหน้านี้ ที่มุ่งหน้าก้าวเดินขึ้นไปทันที คราวนี้กลับยืนนิ่งอยู่กับที่เท่านั้น ก่อนจะเผยรอยยิ้มแสนอ่อนแรงออกมา…
‘เหนื่อยมาก…’
‘เหนื่อยมากจริงๆ…’
เป็อย่างที่นักพรตหยางิพูดไว้ไม่มีผิด ในขั้นที่สิบนี้คู่ต่อสู้ของหลินเฟยก็คือจงซาน จงซานที่เป็ผู้บำเพ็ญขั้นจิงตันหกโคจร…
ก่อนหน้านี้ที่ก้าวขึ้นมาได้ถึงเก้าขั้นรวด ก็ล้วนเป็เพราะหลินเฟยพยายามงัดทุกวิธีออกมาใช้จนหมด ทั้งคัมภีร์โครงกระดูก ปราณกระบี่ กล่องกระบี่เจิงหนิง กระบี่ดาวอัปมงคล รวมถึงวิถีกระบี่อักษรภาพ แม้แต่สวี่เซียนเหนียงที่เป็ผู้บำเพ็ญขั้นจิงตันห้าโคจรก็ยังไม่อาจต้านทานพลังของหลินเฟยได้…
ทว่าขณะที่กำลังก้าวขึ้นมายังขั้นที่สิบ เมื่อหลินเฟยเห็นจงซาน เ้าตัวก็รู้ทันทีว่าขั้นนี้คงยากที่จะผ่านไปได้…
เมื่อครั้งอดีตตอนที่ประมือกับอีกฝ่าย ขณะแย่งกลไกหัวันั้น หลินเฟยเองก็รู้ั้แ่ตอนนั้นว่าผู้บำเพ็ญขั้นจิงตันหกโคจรร้ายกาจเพียงใด ศึกที่ผ่านนี้ หลินเฟยจึงงัดทุกวิถีทางออกมาใช้ กระทั่งสุดท้ายเขาได้ใช้กลศึกเมืองร้างพรางตา ทำให้รอดตายมาได้ บัดนี้เขามีพลังเพียงขั้นมิ่งหุนเคราะห์สามเท่านั้น หากพูดตามตรงแล้ว หลินเฟยเองก็ไม่มั่นใจเลยว่าจะเอาชนะอีกฝ่ายได้…
และก็เป็ไปตามคาด…
ศึกครั้งนี้ดุเดือดมาก หลินเฟยพยายามงัดทุกวิธีออกมาใช้แล้ว แต่ก็ยังถูกจงซานกดข่มเอาไว้ จนไม่เหลือหนทางสู้แม้แต่น้อย เพราะผู้บำเพ็ญขั้นจิงตันหกโคจรมีพลังที่แสนร้ายกาจ ไม่ใช่ระดับที่ผู้บำเพ็ญขั้นมิ่งหุนเคราะห์สามสามารถต่อกรได้ แม้จะปลดปล่อยปราณกระบี่ทั้งสี่ร่วมกับกระบี่ดาวอัปมงคลทั้งสี่ออกมา จนเกือบจะทำให้จิติญญาแตกสลาย แต่ก็ได้เพียงสูสีกับอีกฝ่ายเท่านั้น…
และที่น่าแย่ไปกว่านั้นก็คือ…
เวลานี้เอง เคราะห์ที่สี่ของขั้นมิ่งหุนก็มาแล้ว
หลินเฟยถึงกับอยากร้องไห้ขึ้นมาทันที
‘คราวนี้แย่แน่…’
เดิมทีพลังที่สะสมในตัวหลินเฟยก็มีมากกว่าผู้บำเพ็ญมิ่งหุนทั่วไปอยู่แล้ว ก่อนหน้านี้ตอนที่ฝ่าเคราะห์ไฟและเคราะห์น้ำก็ยังต้องกดข่มแล้วกดข่มอีก กระทั่งกดข่มเอาไว้ไม่ไหวจึงต้องจำยอมฝ่าเคราะห์…
คิดไม่ถึงเลยว่าจะได้มีโอกาสประมือกับผู้บำเพ็ญขั้นจิงตันที่บันไดหินแห่งนี้ และนี่ก็ถือว่าเป็โชควาสนาที่ยอดเยี่ยมของผู้บำเพ็ญขั้นมิ่งหุนก็ว่าได้ เพราะทุกการต่อสู้ที่ผ่านมา ทำให้หลินเฟยได้รับผลประโยชน์ไปไม่น้อยเลย…
เพราะหลังจากจบการประลองเก้าครั้งแล้ว หลินเฟยก็รู้สึกได้ทันทีว่าตนเองแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิม…
์คงจะอิจฉาตนเองกระมัง เลยส่งเคราะห์ลมมาแบบนี้
เคราะห์ลมของขั้นมิ่งหุนคือกระแสลมหยิน โดยกระแสลมหยินนี้ก็พัดมาจากจิ่วโยวใต้พิภพ เป็กระแสลมที่มีความหนาวเย็นรุนแรงมาก ไม่ใช่เคล็ดวิชาทั่วๆไปที่ใครก็สามารถต้านทานได้ หากพลาดพลั้งไปเพียงเล็กน้อย ก็อาจจะแตกสลายกลายเป็ผุยผงได้เลยทีเดียว…
ต่อจากนี้นับว่าปางตายสำหรับหลินเฟยเลยก็ว่าได้ ทางหนึ่งก็ต้องรับมือกับจงซาน ส่วนอีกทางก็ต้องรับมือกับเคราะห์ลม เรียกได้ว่าถูกข้าศึกขนาบทั้งหน้าและหลังเลยทีเดียว หลินเฟยวนเวียนระหว่างห้วงและความเป็และตายอยู่หลายครั้ง แถมยังมีหลายครั้งที่คิดว่าตนเองกำลังจะตายแล้วแน่ๆ แต่ก็ยังโชคดีที่รอดพ้นมาได้…
สุดท้ายก็เป็เพราะโชคช่วย จึงทำให้เขาอดทนจนผ่านพ้นเคราะห์ลมมาได้…
แต่เวลานี้เอง หลินเฟยรู้สึกเหนื่อยจนแทบหมดแรงเสียแล้ว พลังปราณในตัวก็แห้งเหือด นอกจากปราณกระบี่ทั้งห้าที่เกิดจากรากฐานบำเพ็ญแล้ว แม้แต่คัมภีร์โครงกระดูกก็ไม่สามารถบงการได้อีกต่อไป สถานการณ์เช่นนี้ จะเอาอะไรไปสู้กับจงซานที่เป็ผู้บำเพ็ญขั้นจิงตันหกโคจร?
ทว่า…
เสี้ยวเวลาแห่งความเป็ตายนี้เอง จู่ๆหลินเฟยก็พบว่าเคราะห์แห่งความตายของตนเองเริ่มสั่นคลอน เมื่อเห็นดังนั้นหลินเฟยก็ใขึ้นทันที เพราะเมื่อใดที่ฝ่าเคราะห์แห่งความเป็ตายได้ เช่นนั้นก็จะมีชีวิตอันยืนยาว พลังปราณก็จะหลั่งไหลเข้ามาไม่ขาด เพียงพริบตาเดียวก็จะมีพลังร้ายกาจราวคลื่นนทีเติมเต็มมหาสมุทร…
และที่สำคัญก็คือ…
เมื่อใดที่ฝ่าเคราะห์แห่งความตายได้แล้ว เช่นนั้นก็จะมีห้วงมิติแห่งความเป็ตายเกิดขึ้น!
นั่นเป็สิ่งที่ผู้บำเพ็ญขั้นจิงตันสามโคจรเท่านั้นที่ทำได้!
เวลานี้ หลินเฟยไม่มีเวลาวิเคราะห์แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะเหตุใดผู้บำเพ็ญมิ่งหุนเคราะห์สามจึงสามารถทำในสิ่งที่ผู้บำเพ็ญขั้นจิงตันสามโคจรเท่านั้นที่ทำได้ และหลังจากนั้นหลินเฟยก็ตัดสินใจทำเื่บ้าบิ่นขึ้นมา…
หลินเฟยใช้พลังแปดในสิบส่วนในตัว พุ่งทำลายเคราะห์แห่งความตาย และหลงเหลือพลังไว้เพียงสองส่วนเพื่อใช้ต่อกรกับจงซานเท่านั้น ไม่ต่างอะไรกับรนหาที่ตายชัดๆ…
หลินเฟยจำไม่ได้ด้วยซ้ำ ว่าตนเองวนเวียนอยู่ระหว่างความเป็ตายมากี่ครั้งแล้ว…
ในที่สุดหลังจากเสียงะเิดังสนั่นขึ้น เคราะห์แห่งความตายก็ทลายลงมา พริบตาถัดมาก็มีพลังปราณมากมายหลั่งไหลเข้าร่าง จากนั้นก็เกิดเป็ห้วงมิติแห่งความเป็ตายขึ้น!
หรือบางทีอาจจะต้องเรียกว่าห้วงมิติแห่งกระบี่ถึงจะถูก…
เพราะหลินเฟยค้นพบว่าห้วงมิติแห่งความเป็ตายของตนเองนั้น มีลำแสงกระบี่มากมายสาดส่องไปทั่ว ดูเจิดจรัสทอแสงราวกับทางช้างเผือกที่ทอดยาวเลยทีเดียว บริเวณใจกลางก็มีลำแสงหนึ่งส่องสว่างอย่างชัดเจน และนั่นก็คือปราณกระบี่ไท่อี๋ ส่วนรอบด้านทั้งสี่ทิศก็มีลำแสงสีดำ ขาว แดง และสีฟ้ารายล้อมเอาไว้ โดยลำแสงทั้งสี่นี้ก็คือปราณกระบี่อิ๋นเหวิน ทงโยว ซีรื่อและเหล่ยยวี่นั่นเอง หลินเฟยรู้ดีว่า เพราะเขาได้ฝึกเคล็ดวิชาหมื่นกระบี่จูเทียนมา ตบะพลังทั้งหมดจึงรวมกันอยู่ที่ปราณกระบี่ทั้งห้านี้ เมื่อเกิดห้วงมิติแห่งความเป็ตายขึ้นมา ปราณกระบี่ทั้งห้าจึงมาปรากฏอยู่ในห้วงมิติ
หลินเฟยรู้สึกยินดีเป็อย่างมาก จากนั้นก็รีบโคจรห้วงมิติกระบี่ตนเองต้านรับตราหมื่นนทีธารทันที…
ทว่าเพียงหลินเฟยเริ่มบงการห้วงมิติกระบี่ เขาก็พบว่าปราณกระบี่อิ๋นเหวิน ทงโยว ซีรื่อและเหล่ยยวี่ในห้วงมิติได้ชักนำเคราะห์สายฟ้า ไฟ น้ำและสายลมเข้ามาทันที
ทันใดนั้นสายฟ้า เปลวไฟ น้ำ และกระแสลมหยินก็ปรากฏขึ้นมาโดยพร้อมเพรียงกัน…
ภายใต้การรวมพลังของเคราะห์ทั้งสี่นี้เอง จึงเกิดเป็พลังที่รุนแรงระดับฟ้าดิน!
จากนั้นจงซานก็หายไป…
ใช่แล้ว…
จงซานที่สามารถไล่ต้อนหลินเฟยกระทั่งอับจนหนทางและเกือบจะตายอยู่หลายครั้ง บัดนี้กลับหายไปกับพลังรุนแรงนี้แล้ว…
ั้แ่ที่ก้าวขึ้นบันไดหินมา หลินเฟยไม่เคยเอาชนะอย่างแปลกประหลาดเช่นนี้มาก่อน…
แม้จะฝ่าเคราะห์ลมได้ แถมยังเกิดห้วงมิติกระบี่จนแทบจะเรียกได้ว่ามีพลังกล้าแกร่งขึ้นกว่าเดิมมาก แต่ถึงจะกล้าแกร่งขึ้นเพียงใดเท่าไหร่ ก็ไม่น่าเอาชนะได้อย่างง่ายดายเช่นนี้ เพราะคนที่อยู่ขั้นที่สิบคือจงซาน ซึ่งเป็ถึงผู้บำเพ็ญขั้นจิงตันหกโคจรที่ได้ชื่อว่าหากไม่มีพลังระดับขั้นเทียนกังละก็ ย่อมไม่อาจทำอะไรเขาได้เลยแม้แต่น้อย แล้วมีหรือ? ที่คนระดับนี้จะพ่ายแพ้ทั้งที่หลินเฟยยังไม่สำแดงพลังออกมาเต็มที่ด้วยซ้ำ
หลินเฟยยืนนิ่งอยู่ขั้นที่สิบเป็นาน โดยที่ร่างกายไม่ขยับเขยื้อนเลยสักนิด…
กระทั่งผ่านไปหนึ่งก้านธูป หลินเฟลจึงคลี่ยิ้มออกมา…
“เข้าใจแล้วล่ะ ของปลอมอย่างไรก็คือของปลอมอยู่ดี เป็เช่นนี้นี่เองสินะ ฮ่าๆ…”
จากนั้นหลินเฟยก็มุ่งหน้าก้าวขึ้นไปยังขั้นที่สิบเอ็ดทันที
หลินเฟยไม่รู้ว่าจิงต้าไห่กับนักพรตหยางิที่อยู่บริเวณเชิงบันไดจะเข้าใจสถานการณ์หรือไม่ แต่บัดนี้หลินเฟยเข้าใจอย่างถ่องแท้แล้วว่านี่ต่างหากล่ะ ที่เป็โฉมหน้าแท้จริงของบันไดทั้งสิบแปดขั้นนี้…
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------