“ถวายบังคมฝ่าาพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจางเป่าขอเข้าเฝ้า”
ขันทีหนุ่มคุกเข่าต่อหน้าผู้เป็ใหญ่แห่งวังหลวงทั้งสาม ดวงตาของเขากลอกกลิ้งด้วยท่าทีประหม่า เพราะไม่รู้ว่าตนเองได้ทำสิ่งใดหรือไปล่วงเกินใครเข้าหรือไม่ ถึงได้ถูกเรียกตัวมาเช่นนี้
“จางเป่า ไหนเ้าบอกเรามาซิว่าเ้าเคยพบนางหรือไม่”
ขันทีจางเป่าเงยหน้าขึ้นมองสตรีชุดขาวใบหน้างดงามที่ยืนอยู่ข้างกายฮองเฮา
“กราบทูลฝ่าา เคยพบพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมได้พบนางครั้งแรกเมื่องานเฉลิมฉลองขึ้นครองราชย์ของพระองค์ นางคือสตรีที่ขึ้นร่ายรำเพื่ออวยพรในวันนั้น อีกครั้งหนึ่งคือวันที่กระหม่อมนำพระราชโองการไปประกาศยังจวนแม่ทัพพาน”
“แค่นั้นจริงๆ หรือ”
จางเป่าไม่รู้ถึงจุดประสงค์ของผู้เป็นายเหนือหัวที่เรียกตนมาถามเื่หญิงสาวผู้นั้น เขาคิดตรึกตรองในใจว่าตนเองได้ลืมสิ่งใดไปหรือไม่ แล้วภาพของสตรีร่างบอบบางนั่งคุกเข่าอยู่ท่ามกลางแดดจ้าก็วาบเข้ามาในหัว
“ยังมีอีกพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเคยได้เห็นนางคุกเข่าอยู่หน้าตำหนักกวานจี....”
จางเป่าเหลือบมองเฉิงหรงกุ้ยเฟยด้วยท่าทีประหม่า
“หกครั้งพ่ะย่ะค่ะ เดือนนี้นางเข้าวังมาคุกเข่า...หกครั้ง”
จ่างเป่าลดเสียงลงเพราะรู้สึกถึงสายตาทิ่มแทงที่ส่งมายังตน เขาถึงกับหลั่งเหงื่อเย็นเมื่อคิดได้ว่าตนเองได้เอ่ยสิ่งใดออกไป เื่นี้จะต้องเกี่ยวข้องกับเฉิงหรงกุ้ยเฟยแน่ แค่คิดว่าตนเองต้องถูกนางกระทำสิ่งใดหลังจากนี้ เขาก็รู้สึกหนาวสะท้านขึ้นมาทันที
“ยังมีอะไรจะแก้ตัวหรือไม่”
“หม่อมฉัน...หม่อมฉันแค่ไม่พอใจที่นางดูถูกตระกูลโจว ทั้งยังปล่อยให้อดีตคนรักเข้าไปอาละวาดในงานแต่งงานของน้องชาย ฝ่าาไม่รู้ว่าครั้งนั้นผู้คนในเมืองหลวงเอ่ยถึงเื่นี้ว่าอย่างไรบ้าง มารดาของหม่อมฉันทุกข์ใจจนกระทั่งล้มป่วย”
ท่าทางเสแสร้งของเฉิงหรงกุ้ยเฟยทำเอาซ่างกวนฮองเฮาบิดปากอย่างนึกรังเกียจ ท่าทางเช่นนั้นทำให้ใครดูกัน
“เ้าพูดจริงหรือ”
เซี่ยฮ่องเต้เอ่ยถามเสียงทุ้มด้วยสีหน้าคลางแคลง นางเคยมีอดีตคู่รักอย่างนั้นหรือ เมื่อได้ฟังเฉิงหรงกุ้ยเฟยเอ่ยถึงชายอื่นภายในใจของเซี่ยฮ่องเต้ก็รู้สึกร้อนรุ่มขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
“ฝ่าาควรถามนางด้วยตนเองนะเพคะ”
เ้าของตำหนักกวานจียกผ้าเช็ดหน้าขึ้นปิดบังรอยยิ้มสะใจของตน ทว่านางไม่รู้ว่าผู้ที่ออกหน้ากลับเป็ฮองเฮา
“เช่นนั้นให้หม่อมฉันตอบแทนพานเยว่หลานเองเพคะ เป็ความจริงที่นางเคยมีคู่รักวัยเยาว์ บุรุษผู้นั้นคือคุณชายสามของตระกูลเย่ ทั้งสองเติบโตมาด้วยกันจนกระทั่งสัญญาว่าจะแต่งงานหลังจากที่นางพ้นวัยปักปิ่น ทว่าตระกูลโจวกลับแย่งชิงวาสนาของทั้งสองไป คุณชายสามเย่ตรอมใจอย่างหนัก จึงได้ไปอาละวาดที่งานแต่งของตระกูลโจวในวันนั้น ทว่าบัดนี้เพราะมิอาจทนแบกรับความข่มขื่นได้อีกต่อไป จึงหันหน้าเข้าหาพุทธศาสนา ชายหนุ่มผู้มีอนาคตไกลได้ปลงผมบวชเป็หลวงจีนไปแล้วเพคะ”
สิ้นเสียงซ่างกวนฮองเฮาภายในห้องทรงงานก็เงียบกริบราวกับว่ามิมีผู้ใดอยู่ในนั้นเลย แม้แต่จางเป่าและจางเข่อสองขันทียังแทบกลั้นหายใจเมื่อได้รับรู้เื่ราวของหญิงสาวตรงหน้า
“เป็ความจริงหรือ ที่คุณชายสามเย่ตอนนี้ปลงผมบวชเป็หลวงจีน”
“เพคะ เมื่อวานหม่อมฉันได้ไปไหว้พระที่วัดหลิงซานนอกเมืองหลวง เพื่อขอพรให้บิดาที่อยู่ชายแดนแคล้วคลาดต่อคมหอกของศัตรู ทว่ากลับได้พบหลวงจีนหนุ่มนามว่าอันคงไต้ซือที่กำลังกวาดใบไม้ในลานวัดโดยบังเอิญ”
เฉิงหรงกุ้ยเฟยมีท่าทีอึกอัก เพราะนางไม่รู้ว่าบุตรชายคนที่สามของโสวฝู่ตระกูลเย่จะทำเช่นนั้น ก็แค่สตรีนางหนึ่งเท่านั้นเหตุใดถึงได้ปักใจเพียงนี้ เมื่อคิดว่าตระกูลโจวต้องเป็ศัตรูกับตระกูลเย่นางก็รู้สึกว่าตนเองกำลังเดินหมากพลาดไป
“เื่นี้มิใช่เพียงเื่ของตระกูลโจวและสะใภ้แล้วนะเพคะ คุณชายสามเย่ถึงขึ้นบวชเป็หลวงจีน หม่อมฉันว่าเื่นี้มันผิดพลาดมาั้แ่ต้น”
ซ่างกวนฮองเฮาเอ่ยขยี้ปมที่เฉิงหรงกุ้ยเฟยผูก
“แม้ท่านโสวฝู่มิได้เอ่ยสิ่งใด ทว่าย่อมต้องรู้สึกไม่พอใจต่อเื่นี้ ถึงท่านเสนาบดีโจวจะมีผลงานที่ช่วยแก้ไขเื่ภัยแล้ง แต่ท่านโสวฝู่เองก็มีผลงานั้แ่รัชสมัยของไท่ซ่างหวงเช่นกัน ตระกูลโจวทำเช่นนี้มิเป็การดูิ่ตระกูลเย่หรือ”
“อีกอย่างเฉิงหรงกุ้ยเฟยยังใช้อำนาจส่วนตัวรังแกบุตรีของแม่ทัพพานผู้ใช้เืเนื้อปกป้องแผ่นดินต้าเหลียง ถ้าหากไม่สามารถให้ความเป็ธรรมแก่นางได้แล้วยังจะมีใครยอมสละชีวิตตนเองปกป้องแผ่นดินอีกเล่า ในเมื่อครอบครัวที่อยู่เื้ักลับถูกผู้มีอำนาจข่มเหงเช่นนี้”
วาจาของซ่างกวนฮองเฮาช่างตรงใจเซี่ยฮ่องเต้นัก ทว่าคนก็แต่งงานไปแล้วตนเองจะทำเช่นไรได้อีก
“ฮองเฮาคิดเห็นอย่างไรเกี่ยวกับเื่นี้”
“หม่อมฉันคิดว่า...”
ยังไม่ทันที่ซ่างกวนฮองเฮาจะได้เอ่ยออกมา ด้านนอกก็มีเสียงของใครคนหนึ่งเอ่ยขัดขึ้น
“กระหม่อมโจวอวี้หรานเสนาบดีกรมพระคลัง ขอเข้าเฝ้าฝ่าาพ่ะย่ะค่ะ”
คิ้วคมขมวดเข้าหากันมุ่น ั์ตาเหยี่ยวเหลือบมองเฉิงหรงกุ้ยเฟยด้วยท่าทีเคลือบแคลง
“ให้เข้ามา”
เมื่อเสียงทุ้มเอ่ยอนุญาต ชายวัยกลางคนเดินเข้ามาภายในห้องทรงงานอย่างเร่งรีบ ในมือยังถือม้วนกระดาษและกล่องไม้สลักลวดลายัที่เคลือบด้วยสีทอง้า
“กระหม่อมโจวอี้หราน ถวายบังคมฝ่าาขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นๆ ปี”
ชายวัยกลางคนคุกเข่าลงตรงหน้าพระที่นั่งของเซี่ยฮ่องเต้
“ใต้เท้าโจว้ามาพบเราเร่งด่วนเพียงนี้มีเื่ใดหรือ”
“กราบทูลฝ่าา กระหม่อมมีเื่้ากราบทูลพระองค์ให้ทราบ เกี่ยวกับการทรยศของตระกูลขุนนางในเมืองหลวงพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อเอ่ยถึงเื่นี้ ใบหน้าคมก็มีแววจริงจังขึ้นหลายส่วน ต้องบอกว่าตัวเขาที่ได้ขึ้นเป็ฮ่องเต้นั้นมีขุนนางผู้สนับสนุนเพียงไม่กี่ตระกูลเท่านั้น ถ้ามิใช่อดีตฮ่องเต้เป็ผู้ออกราชโองการแต่งตั้งเอาไว้ล่วงหน้า เหล่าพี่น้องอีกหลายคนคงได้ลงมือแย่งชิงตำแหน่งนี้ไปจากตนแน่
ฉะนั้น เซี่ยฮ่องเต้จึงอ่อนไหวเกี่ยวกับเื่การซ่องสุมกำลังคนและการวางแผนก่อฏยิ่งนัก
“ใต้เท้าโจวพูดจริงหรือ ท่านรู้ใช่หรือไม่ว่าเอ่ยสิ่งใดต้องมีหลักฐานมิใช่เพียงลมปากเท่านั้น”
ร่างสูงเอ่ยออกมาด้วยสีหน้าจริงจัง
“ทุกวาจาที่กระหม่อมเอ่ยออกมานั้นล้วนแล้วแต่เป็ความจริงหลายเดือนมานี้กระหม่อมได้ให้คนรวบรวมหลักฐานจนกระทั่งได้ทุกอย่างมาครบแล้ว ได้โปรดฝ่าาทรงพิจารณา”
“ส่งมาให้เราดู”
โจวอี้หรานยกกล่องไม้และม้วนกระดาษชูขึ้น ขันทีจางเข่อรู้งานรีบเดินเข้าไปรับมาจากมือของชายวัยกลางคนทันที
“เื่นี้มีใครบ้างที่รู้ ท่านแน่ใจหรือว่าสิ่งเหล่านี่เป็ของจริง”
เมื่อได้อ่านข้อความที่อยู่ด้านใน ดวงตาคมจึงเผลอเหลือบมองหญิงสาวร่างบางในชุดขาวที่กำลังยืนก้มหน้าอยู่ด้านข้าง
“นอกจากกระหม่อมแล้วยังมีขุนนางอีกหลายท่านที่พร้อมมาเป็พยานว่าหลักฐานเหล่านี้เป็ของจริง”
“เช่นนั้นก็ให้ผู้ตรวจการเหลยจัดการก็แล้วกัน”
เซี่ยฮ่องเต้สะบัดมือส่งสัญญาณให้ใต้เท้าโจวออกไป ชายวัยกลางคนเหลือบตามองบุตรสาวเล็กน้อย ก่อนจะค้อมกายคารวะผู้เป็ใหญ่ในวังหลวงทั้งสองแล้วเดินออกจากห้องไป
“เช่นนั้น..”
“พักเื่นี้เอาไว้ก่อน แต่มิใช่ว่าเราจะไม่ให้ความเป็ธรรมกับนาง แต่เื่ของบ้านเมืองย่อมต้องมาก่อน วันนี้ทุกคนแยกย้ายกันไปเถิด”
แม่จะมิได้รับคำตอบจากฮ่องเต้ แต่ภายในใจของพานเยว่หลานก็รู้สึกร้อนรุ่มกับการมาของพ่อสามี นางนั่งรถม้ากลับไปยังเรือนตระกูลโจวอย่างเงียบๆ เก็บตัวอยู่ภายในห้องรอคอยให้ฮองเฮาเรียกตัวเข้าวังอีกครั้ง
ทว่าวันต่อมาข่าวลือเื่ที่ตระกูลพานเป็ฏแอบไปเข้ากับฝ่ายของศัตรูก็ถูกกล่าวถึงไปทั่วเมืองหลวง สาวใช้ฮวาเอ๋อที่ออกไปนอกจวนรีบวิ่งกระหืดกระหอบมาแจ้งแก่นายของตน
“ไม่จริง!! ข่าวลือพวกนั้นมิใช่เื่จริง ท่านพ่อของข้าไม่มีวันทรยศต่อประเทศชาติแน่นอน”
หญิงสาวตวาดแหวออกไปเมื่อได้ฟังเื่ที่ฮวาเอ๋อเล่า
“ตอนนี้ภายในเมืองหลวงต่างก็พูดถึงเื่นี้กันอย่างหนาหู บ่าวเองก็ไม่รู้ว่าพวกเขาไปได้ยินข่าวนี้มาจากที่ใด”
“ฮวาเอ๋อข้าต้องกลับบ้านตอนนี้ เ้าให้คนเตรียมรถม้าให้ข้าที”
พานเยว่หลานเอ่ยกับฮวาเอ๋ออย่างร้อนรน ทว่ากลับมีเสียงของใครบางคนดังขึ้นที่หน้าประตู
“ไม่จำเป็หรอก ตอนนี้ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถเข้าไปในตระกูลพานได้”
หญิงสาวตวัดสายตาไปยังผู้ที่มาใหม่ทันที เมื่อเห็นว่าเป็โจวหานอี้ สำนึกบางอย่างก็ทำให้นางนึกถึงการพบกันกับพ่อสามีในวังหลวงเมื่อวาน
“เป็ท่านใช่หรือไม่ที่ปล่อยข่าวลือพวกนี้ออกมา เป็ตระกูลโจวของท่านที่ใส่ร้ายท่านพ่อของข้า”
หญิงสาวพุ่งตัวเข้าไปกระชากสาบเสื้อของชายหนุ่มตรงหน้าด้วยความโกรธแค้น
“แล้วแต่เ้าจะคิด แต่ถึงอย่างไรเ้าก็เป็คนตระกูลโจวของข้า ถ้าไม่อยากถูกคุมตัวไปยังคุกหลวงอีกคน ก็จงอยู่เงียบๆ ไปซะ”
เมื่อเอ่ยจบร่างสูงก็เดินจากไปด้วยสีหน้าพอใจ
พานเยว่หลานอาละวาดอยู่ภายในห้องด้วยความโมโห ด้านนอกเรือนของนางมีบ่าวรับใช้ชายสี่คนเฝ้าเอาไว้ตามคำสั่งของโจวหานอี้
ครึ่งเดือนต่อมา
“ฮวาเอ๋อเ้าช่วยออกไปสืบข่าวให้ข้าได้หรือไม่ ข้าอยากรู้ว่าคนตระกูลพานเป็อย่างไรบ้าง”
หลายวันมานี้นางฝันไม่ดีเอาเสียเลย จึงอยากรู้ว่าครอบครัวเป็อย่างไร
“เ้าไม่ต้องสั่งสาวใช้ให้ออกไปสืบหรอก วันนี้เ้าจะได้เห็นด้วยตาตนเองว่าตระกูลพานเป็อย่างไรบ้าง ตามข้ามาสิ”
ร่างสูงก้าวเข้ามาภายในห้องโถงของเรือน โจวหานอี้ดึงร่างบางให้ตามตนเองออกจากเรือนตระกูลโจว รถม้าวิ่งตามถนนเส้นหลักไปเรื่อยๆ ผ่านไปราวครึ่งชั่วยาม ม้าก็วิ่งมาหยุดอยู่ที่ลานกลางเมือง สถานที่สำหรับปะาผู้กระทำความผิดต่อหน้าสาธารณชน
“ท่านพาข้ามาที่นี่ทำไม”
หัวใจของหญิงสาวสั่นสะท้าน ตลอดครึ่งเดือนนางที่อยู่เพียงในเรือนไม่สามารถรับรู้ข่าวสารเกี่ยวกับครอบครัวของตนเลย นางหวาดกลัวเหลือเกินว่าจะเกิดเื่ไม่ดีขึ้น
“ก็เ้าบอกว่า้ารู้ข่าวของคนตระกูลพานมิใช่หรือ ข้าก็พาเ้ามาแล้วอย่างไร
“โจวหานอี้ ท่านหมายความว่าอย่างไร”
ดวงตางามจ้องเขม็งไปยังผู้พูด
“ก็หมายความว่า ที่ข้าพาเ้ามาที่นี่เพื่อให้เ้าได้พบกับครอบครัวเป็ครั้งสุดท้าย ดูเอาเองสิว่าพวกเขาเป็อย่างไรบ้าง”
ชายหนุ่มเปิดม่านหน้าต่างรถม้า กลิ่นคาวโลหิตก็พุ่งปะทะเข้ามาในจมูกทันที เมื่อดวงตากลมโตมองออกไป หญิงสาวก็ได้เห็นกลุ่มคนมากมายกำลังรวมตัวกันอยู่ไม่ไกล
ทว่าท่ามกลางคนเ่าั้พานเยว่หลานได้เห็นบิดามารดาและพี่ชายทั้งสอง พวกเขากำลังคุกเข่าอยู่ตรงกลางลานโล่ง รอบด้านล้วนเจิ่งนองไปด้วยโลหิตและศพของคนตระกูลพานนับร้อยชีวิต ทว่าบัดนี้เหลือเพียงคนทั้งสีที่คุกเข่าด้วยใบหน้าสงบนิ่ง
เมื่อพวกเขาได้ยินเสียงเรียกของพานเยว่หลาน ดวงตาทั้งสี่คู่จึงเหลือบมองมา
“ไม่จริง!! ท่านพ่อ! ท่านแม่! พี่ใหญ่! พี่รอง!”
ร่างบางพยายามตะเกียกตะกายลงจากรถม้า ทว่ากลับถูก โจวหานอี้จับตัวเอาไว้ น้ำตาแห่งความเ็ปและหวาดกลัว ไหลทะลักออกมาเหมือนทำนบแตก
“ปล่อยข้าโจวหานอี้!! ข้าจะไปหาพวกเขา”
“ข้าไม่มีทางปล่อยเ้าลงไปแน่ ถ้ามีคนเห็นหน้าเ้าที่นี่ชื่อเสียงของตระกูลโจวคงด่างพร้อย ที่ข้ายอมพาเ้ามาก็เพื่อให้เ้าได้เห็นจุดจบของบิดามารดาและพี่ชายทั้งสองของเ้าเท่านั้น”
นางยกมือปิดหน้าครวญครางด้วยความเ็ป นางไม่้าได้ยินเสียงของเขาที่กำลังเอ่ยเชือดเฉือนหัวใจ เสียงสะอื้นไห้ของหญิงสาวแต่ละครั้งประดุจดังลมหายใจของครอบครัวที่กำลังปิดปลิว
หญิงสาวยื่นมือออกไปนอกหน้าต่างรถม้า หวังว่าจะสามารถคว้าจับพวกเขาเอาไว้ ดวงตาอ่อนโยนของบิดามารดาและพี่ชายทั้งสองได้ถ่ายทอดความรักความห่วงใยทุกสิ่งมาที่นาง
เมื่อถึงเวลาเพชฌฆาตสี่คนได้ก้าวมาหยุดอยู่ด้านหลังของพวกเขา ทันทีที่เสียงสั่งลงมือปะาดังขึ้น พานเยว่หลานก็กรีดร้องออกมาจนสุดเสียง
“กรี๊ด!!! ไม่!! ฮื่อออ!! ท่านพ่อ ท่านแม่ พาข้าไปกับพวกท่านด้วย อย่าทิ้งข้าเอาไว้เพียงลำพังเช่นนี้”
ร่างบางสะอื้นไห้ราวกับจะขาดใจ เมื่อได้เห็นบิดามารดาและพี่ชายทั้งสองถูกสังหารต่อหน้าต่อตา นางมิอาจฝืนทนแบกรับความเ็ปนี้ได้ หญิงสาวหมดสติภายใต้อ้อมแขนของโจวหานอี้
“กลับ”
เมื่อเห็นว่าคนตระกูลพานทั้งหมดถูกสังหารด้วยตาตนเอง คุณชายใหญ่ตระกูลโจวจึงสั่งให้คนขับรถม้ากลับไปยังเรือนตามเดิม
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้