ตั้งใจขังตัวเองไว้ข้างนอกหรือ? ไม่มีหวังซะหรอก!
จังหวะที่เขาปิดประตูขังตัวเองไว้ด้านนอกนั้น หลิงเซียวก็หิ้วตัวเขาเข้ามาก่อน แล้วหันหลังใช้ขาถีบประตูปิดดังปัง เสียงดังเหมือนใจโหยวเสี่ยวโม่ตอนนี้ สะดุ้งทันใด
“จะหนีไปไหน ศิษย์น้องเล็ก หรือเ้าไม่อยากเจอข้างั้นหรือ?” หลิงเซียวยิ้มแย้มมองหน้าเขา รอยยิ้มสว่างจ้าราวกับตะวันที่พึ่งขึ้นยามเช้า
โหยวเสี่ยวโม่รู้สึกว่าสามวันนั้นที่หลิงเซียวปกป้องเขาราวไข่ในหินนั้นเป็เื่ฝันไป หลิงเซียวที่ชอบวางมาดสิคือตัวจริง รอยยิ้มที่น่าหมั่นไส้นี้ช่างคุ้นตา ทุกครั้งที่เห็นก็พลอยทำให้ใจสั่นผวา จากนั้นต้องคอยกังวลว่าเขาจะคิดเื่อะไรมารังแกเขาอีก ทว่าคำพูดนี้จะให้เขาได้ยินไม่ได้เด็ดขาด
เมื่อได้ยินเช่นนี้ โหยวเสี่ยวโม่ไตร่ตรองครู่หนึ่งแล้วเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม “จะเป็ไปได้ไง ข้าไม่ได้ไม่อยากเจอท่าน เพียงแต่จู่ๆ ก็นึกขึ้นได้ว่าลืมยืมตำราอีกเล่มนึงมา”
หลิงเซียวจ้องหน้าเขาพินิจอยู่ชั่วครู่ ว่าเขากำลังโกหกอยู่หรือเปล่า
โหยวเสี่ยวโม่ยิ้มค้าง
“ข้าเชื่อเ้า” หลิงเซียวฉีกยิ้ม ในที่สุดก็เลิกจ้องหน้าเขา
โหยวเสี่ยวโม่ถอนหายใจเฮือก ถูกเขาจ้องตาไม่กะพริบเช่นนี้ช่างกดดันเอาเื่ ดีที่เขาถอนสายตาออกก่อน “ศิษย์พี่หลิงมาหาข้า มีธุระอะไรหรือเปล่า?”
“ไม่มีธุระก็มาหาเ้าไม่ได้หรือไง?” หลิงเซียวมองค้อนหนึ่งวง เห็นสีหน้าเขาห่อเหี่ยวทันใด ราวกับพึ่งถูกทำร้ายจิตใจจนน้ำตาแทบซึมออกมา จึงเผยยิ้มอบอุ่นแล้วเอ่ย “ไม่แกล้งเ้าก็ได้ ข้ามาหาเ้าเพราะมีเื่น่ะ อีกเดี๋ยวข้าจะไปเขานทีเมฆา เ้าสนใจอยากไปด้วยกันกับข้าหรือเปล่า?”
“ไปทำอะไรที่เขานทีเมฆาหรือ?” โหยวเสี่ยวโม่ถามอย่างฉงน
“ก็ไปเอาหญ้าเซียนขั้นหกสามต้นน่ะสิ เ้าไม่ได้ลืมไปใช่มั้ย?” หลิงเซียวหรี่ตามอง ใบหน้าหล่อเหลาถูกเขาแปรเปลี่ยนเป็สีหน้าขู่เอาเื่ ท่าทางไม่ยอม แต่ก็แฝงด้วยอารมณ์โอนอ่อนจางๆ ราวกับว่ามันก็ต้องเป็แบบนี้เท่านั้น
พูดถึงเขานทีเมฆา แม้ว่าโหยวเสี่ยวโม่จะไม่ค่อยได้ออกจากห้องพัก แต่ก็เคยได้ยินเื่เขานทีเมฆาอันเลื่องชื่อมาบ้าง
เขานทีเมฆาตั้งอยู่ด้านหลังยอดเขาทั้งสามทัพ ซึ่งก็คือทัพพิภพ ทัพ์ ทัพวิหค เป็สถานที่ต้องห้ามยิ่งกว่าหอคัมภีร์เสียอีก เพราะว่าที่นั่นคือสถานที่ที่สำนักเทียนซินใช้เพาะปลูกหญ้าเซียนระดับกลางจนถึงระดับสูงโดยเฉพาะ ด้านนอกร่ายคาถาป้องกันแข็งแกร่งไว้หนึ่งชั้น มีผู้าุโเก่งกาจสิบท่านเฝ้าดูแลรักษาอยู่ ว่ากันว่าแข็งแกร่งแ่ายากที่จะจู่โจมได้
อาจารย์อาเยี่ยที่ทังฝานพูดถึง คือหนึ่งในผู้าุโที่เฝ้าดูแลเขานทีเมฆาอยู่ ฝีมือเขาอาจเทียบกับทังฝานและโม่กู่ไม่ได้ แต่ฝีมือการเพาะปลูกหญ้าเซียนนั้นต้องยกให้เขาเป็หนึ่งในสำนักเทียนซิน
หลิงเซียวที่ได้อันดับหนึ่งรางวัลที่ได้นอกจากยาเซียนตันขั้นหกสามเม็ด ก็ยังมีหญ้าเซียนขั้นหกอีกสามต้น
ยาเซียนตันเขาได้มาแล้ว ส่วนหญ้าเซียนต้องไปรับกับอาจารย์อาเยี่ย เพราะมีแค่เขาที่เพาะปลูกหญ้าเซียนของสำนักเทียนซิน สำหรับทั้งสามทัพนั้น มีคนที่ระดับต่ำลงมาคอยดูแล พูดให้ชัดเจนคือนี่เป็สมบัติส่วนกลางของแต่ละทัพ
แต่ว่า
โหยวเสี่ยวโม่กลืนน้ำลาย “ท่านจะไปรับหญ้าเซียน มันเกี่ยวกับข้าล่ะ?”
“มันจะไม่เกี่ยวกับเ้าได้ยังไง หญ้าเซียนสามต้นนั้นข้าเองก็ไม่ได้ใช้ ไม่ให้เ้าแล้วจะให้ใคร?” หลิงเซียวผายมือ พูดราวกับว่ามันควรจะเป็อย่างนั้น ก็ต้องเป็เช่นนั้นสิ
โหยวเสี่ยวโม่ใ “แต่ว่า…ศิษย์น้องทังนางขอกับท่านด้วยนี่?”
“นาง?” หลิงเซียวขมวดคิ้ว ในที่สุดก็คิดออกว่าเป็คนที่ชอบก่อเื่ให้เขา เอ่ยด้วยท่าทีระอา “ทำไมข้าต้องให้นางด้วย? คนที่ชอบให้หญ้าเซียนกับนางคือหลินเซียว ไม่ใช่ข้า”
โหยวเสี่ยวโม่อดรู้สึกสงสารทังอวิ๋นฉีไม่ไหว แต่ที่หลิงเซียวพูดก็ไม่ผิด
แต่ถึงกระนั้น เขาก็รับไว้ไม่ได้อยู่ดี เขาเชื่อว่ามีศิษย์เยอะแยะมากมายรอดูว่าหลิงเซียวจะแบ่งหญ้าเซียนนั้นให้ใคร หากเขารับหญ้าเซียนจากหลิงเซียวไว้ทั้งสามต้น คนพวกนั้นจะคิดเื่ความสัมพันธ์ของเขากับหลิงเซียวยังไง?
แน่นอนว่าที่กล่าวมาแค่เหตุผลส่วนหนึ่ง ที่สำคัญจากนี้คือเขาเป็ศิษย์ทัพพิภพ แต่ทังอวิ๋นฉีคือศิษย์สายตรงของผู้นำทัพ์ ทั้งยังเป็ลูกสาวเ้าสำนัก สถานะช่างสูงส่ง อีกอย่างหากหลิงเซียวยกหญ้าเซียนให้ใครนั่นก็แปลว่าเขาฝักใฝ่กับทัพนั้น แม้เื่นี้จะดีต่อทัพพิภพ แต่โหยวเสี่ยวโม่ไม่อยากให้ทัพ์และทัพพิภพเขม่นกันด้วยเื่นี้ เขาเป็แค่หมากตัวเล็กๆ การทำตัวโดดเด่นไม่ใช่แนวทางที่เขาจะยืนหยัดไหวตอนนี้แน่
“ศิษย์พี่หลิง ข้ายังมีเื่ต้องทำ ถ้ายังไงท่านไปก่อนดีกว่า รอข้าเสร็จธุระข้าค่อยตามไปได้ไหม?”
โหยวเสี่ยวโม่เอ่ยกึ่งทดสอบ ปฏิเสธโดยตรงมีแต่จะทำให้หลิงเซียวโกรธ ถึงตอนนั้นคงลากเขาไปด้วยแน่
หลิงเซียวเมื่อได้ยินเช่นนี้ ทันใดก็หัวเราะออกมา คว้าบ่าเขามาแล้วกระซิบแ่เบาข้างหู “ศิษย์น้องเล็ก ข้าจะถามเ้าตอนนี้แค่ว่า ไปหรือไม่ไป?”
โหยวเสี่ยวโม่เห็นรอยยิ้มเขา หนาวจนขนลุกชัน “ไป…ขอรับ”
หลิงเซียวพอใจกับคำตอบมาก พลันตบแก้มขาวนวลเนียนเบามือ “อืม พูดแบบนี้แต่ทีแรกก็จบ ต้องให้ข้าขู่ทุกครั้ง เ้านี่…ช่างไม่เอาไหนจริงๆ!”
เหอะ!
โหยวเสี่ยวโม่ขอเลือกตายดีกว่าเอาไหนกับเื่แบบนี้!
โหยวเสี่ยวโม่ที่บิดม้วนตัวตลอดทางในที่สุดก็ถูกหลิงเซียวลากมาเขานทีเมฆาจนได้ มองจากไกลๆ เหมือนเป็แค่เนินอ้วนเตี้ย แต่ดูใกล้ๆ กลับเป็เนินกว้างใหญ่ ช่างต่างจากเขาใดๆ ที่โหยวเสี่ยวโม่เคยเห็นมา
เขานทีเมฆาอยู่ต่ำกว่าเขาอู๋ซวง หรือูเาอีกทั้งสามทัพ ไม่ได้สูงทะลุเมฆ ไม่มีลำธารไหลริน ไม่มีก้อนเมฆล้อมรอบ สี่ทิศมีเพียงป่าอุดมสมบูรณ์เขียวขจี มองจากไกลๆ จะเห็นเพียงพื้นที่สีเขียว
โหยวเสี่ยวโม่จดจ้อง แต่หลิงเซียวนั้นกำลังเปิดม่านมิติ
ม่านมิติมีรอยขึ้นมาเป็วงกลมเห็นเพียงเลือนราง ไม่นานนัก เด็กน้อยอายุราวเจ็ดแปดขวบสวมชุดนักพรตมายืนอยู่หน้าพวกเขา หน้าตาจริงจังด้วยท่าทีวางมาด เมื่อเห็นพวกเขาก็ไม่ได้แปลกใจอะไร ราวกับรู้ว่าพวกเขาจะมา
เด็กน้อยมองผ่านโหยวเสี่ยวโม่ไปยังหลิงเซียว สายตาพินิจอยู่ชั่วครู่ แล้วเอ่ย “ใช่ศิษย์หลานหลินเซียวหรือเปล่า?”
“ข้อคือหลินเซียวขอรับ” หลิงเซียวคำนับแล้วเอ่ย
“ตามข้ามาสิ” เด็กน้อยพยักหน้า พลันหันหลังเดินผ่านม่านมิติเข้าไป
โหยวเสี่ยวโม่ที่อ้าปากเหวออยู่ข้างๆ ภาพตรงหน้าช่างเหลือเชื่อ หรือเขายังไม่ตื่นจากฝัน?
หลิงเซียวไม่ได้อธิบายแต่อย่างใด ดึงมือเขาแล้วเดินผ่านม่านมิติไปพร้อมกัน ม่านมิติไม่ได้ปิดกั้นพวกเขา สองคนจึงเดินผ่านอย่างง่ายดาย ภาพทิวทัศน์ตรงหน้าเปลี่ยนไปสิ้นเชิง ต่างจากภาพด้านนอกที่มองเข้ามา พลังปราณภายในม่านมิตินี้รู้สึกได้ว่าหนาแน่นกว่าเป็เท่าตัว
โหยวเสี่ยวโม่ในตอนนี้ความรู้สึกต่อพลังปราณนั้นไวมาก สูดหายใจก็ได้กลิ่นจางๆ ของหญ้าเซียนผสมกับพลังปราณ ขนาดบริเวณชั้นนอกยังได้กลิ่นขนาดนี้ หญ้าเซียนในเขานทีเมฆาคงไม่น้อยทีเดียว
เด็กน้อยผู้นั้นที่ทำให้โหยวเสี่ยวโม่ตะลึงพาพวกเขามาด้านนอกไร่แปลงแห่งหนึ่ง กล่าวเพียงว่า ”เยี่ยหานอยู่ด้านใน” แล้วก็เดินจากไป ฟังจากน้ำเสียง ราวกับว่าเยี่ยหานนั้นาุโน้อยกว่าเขาอีก จริงทีเดียว ณ ดินแดนกว้างใหญ่ล้วนมีคนทุกประเภท
โหยวเสี่ยวโม่ข่มความใคร่รู้นั้น แล้วเดินตามหลิงเซียวเข้าไปยังไร่แปลง
ไร่แปลงพื้นที่กว้างขวาง เข้าไปแล้วจะเห็นสิ่งก่อสร้างสูงใหญ่ ไม่ได้ดูโอ่อ่าอลังการน่าชมมากมาย เพียงแค่รู้สึกถึงความเรียบง่ายเหมาะแก่การใช้งาน สิ่งปลูกสร้างนั้นใช้ก้อนหินตัดประกอบขึ้นมา วางก่อตัวกันอย่างง่ายๆ เดินผ่านสิ่งปลูกสร้างไปถึงจะเห็นไร่ของจริง
ไร่แปลงนั้นกว้างใหญ่มาก แปลงดอกสดใส สีเขียวขจี เรียงรายเป็สัดส่วน ดูก็รู้ว่าผ่านการเลี้ยงดูใส่ใจเป็พิเศษ หญ้าเซียนบ้างก็ขึ้นเป็ต้นแล้ว ลู่ตามแรงลม ผืนใหญ่สวยงาม บ้างก็กำลังงอกเป็ต้นกล้า เขียวสดชื่นน่าเชยชม
แต่ที่ทำให้โหยวเสี่ยวโม่ตะลึงที่สุดคือ หญ้าเซียนเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็คุณภาพระดับกลาง ระดับล่างมีบ้าง แต่ระดับสูงนั้นน้อยนัก ร้อยต้นเห็นมีเพียงต้นเดียว ปรายตามองออกไป ล้วนมีแต่หญ้าเซียนขั้นสี่ถึงขั้นหก ตอนที่พวกเขาเข้ามามีป้ายปักไว้ เห็นทีหญ้าเซียนขั้นเจ็ดขึ้นไปคงอยู่แปลงอื่น
โหยวเสี่ยวโม่เบิกตาโตมองหญ้าเซียนพวกนี้ แววตาเริ่มร้อน
กลับรู้สึกดีใจที่ตัวเองตามมาด้วย ไม่เช่นคงไม่มีโอกาสได้เห็นหญ้าเซียนเยอะแยะเช่นนี้ ประจวบเหมาะกับที่เขากำลังอยากศึกษาข้อมูลเื่หญ้าเซียนขั้นกลาง แม้ในตำราจะมี แต่ก็ไม่สู้การได้เห็นของจริงกับตา อีกอย่างในบรรดาหญ้าเซียนเหล่านี้ เขาได้เห็นบางชนิดที่พอคุ้นตาบ้าง
ข้างกันนั้น หลิงเซียวชำเลืองมองสีหน้าดีใจจนปิดไม่อยู่ของเขาแล้ว ก็เผยรอยยิ้มอิ่มอกอิ่มใจ
ตอนเช้า เขาได้ข่าวว่าโหยวเสี่ยวโม่ออกจากเก็บตัวก็พุ่งตรงไปยังหอคัมภีร์ เขาก็รู้ทันทีว่าเขาคิดอะไรอยู่ เมื่อนึกถึงว่าตัวเองยังไม่ได้ไปรับหญ้าเซียนสามต้น จึงอยากพาเขามาด้วยกัน ให้เขาได้เปิดตาเสียหน่อย ตอนนี้เห็นท่าทีดีใจของเขาเช่นนี้แล้ว ก็รู้สึกว่าตัวเองคิดถูก
“ไปกันเถอะ พวกเราไปหาอาจารย์อาเยี่ยกัน เดี๋ยวจะให้โอกาสเ้าไปเลือกหญ้าเซียนสามต้นในแปลงนั้นเอง” หลิงเซียวจูงมือเขาเดินเข้าไปด้านใน
โหยวเสี่ยวโม่พยายามข่มความตื่นเต้นไว้ ปล่อยเขาจูงมือทั้งแก้มแดงๆ เมื่อได้ยินเช่นนั้น เขาถึงรู้ว่าตัวเองเข้าใจหลิงเซียวผิด ที่แท้ที่เขาฝืนลากเขามาเพราะมีจุดประสงค์แบบนี้นี่เอง เขาเป็คนรู้สึกละอายใจที่คิดในแง่ลบกับเขา คิดเช่นนี้แล้ว จึงมองหน้าหลิงเซียวอย่างรู้สึกผิด
แม้หลิงเซียวไม่ได้มองเขา แต่ก็ฉีกยิ้มกว้างเพราะสายตารู้สึกผิดของเขา ที่เขา้าก็คือแบบนี้!
