หลี่เจี้ยนอันและหลี่ฝูคังสบตากัน ในดวงตาเต็มไปด้วยประกายคาดหวังลึกล้ำ จากนั้นจึงพยักหน้า
ในสายตาที่หลี่อิงฮว๋าใช้มองพี่ใหญ่และพี่รองเต็มไปด้วยความอิจฉา
หลี่หรูอี้รู้อยู่แล้วว่าพี่ใหญ่และพี่รองจะต้องเห็นด้วย จึงกล่าวยิ้มๆ ว่า “ไส้ทอดของครอบครัวเราจะขายถ้วยละสองทองแดง”
หลี่เจี้ยนอันนิ่ง มองไปยังไส้ทอดแต่ละถ้วย แม้เพิ่งกินไปแต่ก็ยังอยากกินอีก จึงถามว่า “สองทองแดงจะมีคนซื้อหรือ?”
หลี่อิงฮว๋าอดที่จะถามไม่ได้ “ต่อให้มีคนซื้อก็เอากลับบ้านไม่ได้ หรือจะนำถ้วยของพวกเราไปด้วย?”
หลี่ฝูคังกล่าวเตือน “น้องสาว ถ้วยใบหนึ่งราคาหนึ่งทองแดงเชียว”
หลี่หรูอี้กล่าวอย่างเนิบช้า “สระน้ำในป่านอกหมู่บ้านมีใบบัวอยู่ เด็ดใบบัวมาใส่ไส้ทอดก็ได้เ้าค่ะ”
หลี่ฝูคังคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงเอ่ยขึ้นว่า “ใบบัวในสระน้ำใหญ่เกินไป หากนำมาใช้ห่อไส้ทอดจะทำให้รู้สึกว่าไส้ทอดมีจำนวนน้อย”
หลี่เจี้ยนอันขมวดคิ้ว “ไม่ได้ สระน้ำนั้นเป็สระที่หมู่บ้านใช้ร่วมกัน หากครอบครัวของเราไปเก็บใบบัว ผู้อื่นจะต่อว่าเอาได้”
นี่ก็ไม่ได้ นั่นก็ไม่ได้
หลี่หรูอี้ไม่ได้ถูกทำให้ร้อนใจ กลับเยือกเย็นลงด้วยซ้ำ จะอย่างไรวันนี้ก็ต้องขายให้ได้แน่นอน ขั้นตอนนี้ยังคิดไม่ได้ เช่นนั้นก็ทำขั้นตอนอื่นก่อนแล้วกัน
นางให้หลี่เจี้ยนอันและหลี่ฝูคังไปอาบน้ำเปลี่ยนเป็ชุดที่สะอาด ให้หลี่อิงฮว๋านำผ้าสีดำที่คนขายหมูแซ่จางใช้คลุมเครื่องในหมูและตะกร้าไผ่สานไปล้างให้สะอาดแล้วนำไปตากแดด
หลี่ิ่หานเห็นพี่ชายทั้งสามมีงานทำกันทุกคน แต่ตนกลับไม่มี ทั้งยังคิดอะไรไม่ออก จึงถามไปว่า “น้องสาว เ้าว่าข้าทำอะไรได้บ้าง?”
หลี่หรูอี้รู้ดีว่าพี่ชายทั้งสี่ขยันมาก เขาคงรู้สึกว่าตนด้อยกว่าคนอื่น จึงพูดขึ้นว่า “ท่านเอาท่อนฟืนที่เผาจนแดงแล้วไปเผาขนบนขาหมูเถิด วันนี้ข้าจะเอาขาหมูมาทำอาหาร”
“ดีๆ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้” หลี่ิ่หานเดินไปที่ห้องครัวด้วยสีหน้ายินดี
หลังจากหลี่เจี้ยนอันและหลี่ฝูคังจัดการตนเองจนสะอาดสะอ้านและเดินออกมาแล้ว หลี่หรูอี้ก็คิดวิธีดีๆ ออกจนได้ “พวกเราไปเก็บใบหม่อนใบใหญ่ๆ มาสักหน่อย นำมาล้างให้สะอาด แล้วนำไปใส่ไส้ทอดได้เช่นกัน”
นอกหมู่บ้านมีต้นหม่อนไร้เ้าของอยู่ไม่น้อย ทั้งยังออกผลทุกปี แต่ลูกหม่อนยังไม่ทันสุกก็ถูกคนในหมู่บ้านเด็ดกินหมดแล้ว
ตอนนี้เป็ฤดูร้อน อยากเด็ดใบหม่อนมากเท่าใดก็เด็ดได้มากเท่านั้น
ชายหนุ่มทั้งสองคิดว่านี่คือวิธีที่ดี แต่ใบหม่อนใบใหญ่ๆ ก็ใส่ไส้ทอดได้เพียงจำกัด จะใส่ได้ไม่มากเท่ากับถ้วยแน่นอน
หลี่หรูอี้พูดต่อ “หนึ่งทองแดงซื้อไส้ทอดได้เก้าชิ้น แถมให้อีกหนึ่งชิ้น ใบหม่อนใบใหญ่ๆ ใส่ได้สิบชิ้น เท่ากับหนึ่งทองแดงพอดี” ตอนนั้นนางอยากให้เครื่องปรุงเข้าเนื้อจึงตั้งใจหั่นไส้เป็ชิ้นเล็กๆ
หลี่เจี้ยนอันไตร่ตรองในใจ ถามขึ้นว่า “แพงไปหรือไม่?”
หลี่ฝูคังส่ายศีรษะ “แพงขนาดนี้ ไม่มีคนซื้อแน่”
หลี่หรูอี้อธิบายอย่างอดทน “ไส้ทอดของครอบครัวเรารสชาติดี พวกท่านให้พวกเขาชิมดูสักชิ้นค่อยซื้อก็ยังได้” เดิมทีนางคิดจะขายห้าชิ้นหนึ่งทองแดง แต่ราคาสิ่งของที่นี่ค่อนข้างถูก กลัวจะขายไม่ได้ จึงเปลี่ยนไปขายเก้าแถมหนึ่ง
หลี่ิ่หานถือกะละมังไม้เข้ามา ด้านในใส่ขาหมูที่เพิ่งเผาขนจนดำเมี่ยมสี่ชิ้น เมื่อหลี่หรูอี้เห็นก็ขมวดคิ้ว “พี่ใหญ่ พี่รอง อำเภออยู่ห่างจากหมู่บ้านของพวกเรายี่สิบลี้ พวกท่านอย่าคิดอะไรมาก รีบไปเด็ดใบหม่อนเถิด”
หลี่อิงฮว๋าถือตะกร้าไผ่สานและผ้าสีดำที่ตากแดดจนแห้งแล้วเดินเข้ามาในห้องโถง พูดเสียงดังว่า “น้องสาว เ้าให้ข้าไปกับพี่สี่ของเ้าเถิด”
หลี่ฝูคังร้อนใจ รีบพูดขึ้นมาโดยพลัน “ไม่ได้ น้องสาวให้ข้าไปกับพี่ใหญ่”
“เ้าเคยไปในตัวอำเภอกี่ครั้ง จะคุ้นเคยไปกว่าข้าหรือ?” หลี่เจี้ยนอันไม่สบอารมณ์นัก ปรายตามองหลี่อิงฮว๋าครู่หนึ่งแล้วลากหลี่ฝูคังออกไปเด็ดใบหม่อนด้วยกัน
หลี่อิงฮว๋ากะพริบตาปริบๆ ให้หลี่หรูอี้ เมื่อวางของในมือลงแล้วก็เดินออกไปเก็บใบหม่อนด้วย
หลี่หรูอี้ยิ้มเล็กน้อย รีบเดินเข้าไปในห้องครัว เปลี่ยนไปใช้กะละมังไม้สำหรับล้างผักในยามปกติมาบรรจุไส้ทอดแทน และเตรียมตะเกียบอีกสองคู่
นางนำกะละมังไม้ที่มีไส้ทอดอยู่ด้านในไปใส่ในตะกร้าไผ่สาน จากนั้นจึงคลุมด้วยผ้าดำ เช่นนี้ก็ดูสะอาดแล้ว
จะขายอาหารก็ต้องทำให้สะอาด
เพียงไม่นาน หลี่เจี้ยนอันและหลี่ฝูคังก็ยกตะกร้าไผ่สานขึ้น แล้วเริ่มออกเดินทาง
ภายในตะกร้าไผ่สานบรรจุอาหารจานเนื้อส่งกลิ่นหอมกรุ่น ดึงดูดสุนัขที่คนในหมู่บ้านเลี้ยงไว้ พวกมันพากันกระดิกหางเข้ามาขออาหาร
คนในหมู่บ้านต่างรู้กันว่าครอบครัวหลี่ไม่มีญาติที่ไหน เกิดสงสัยว่าหนุ่มน้อยทั้งสองจะไปที่ใดจึงพากันมาถามไถ่ ทั้งยังมีคนถามว่าคนขายเนื้อแซ่จางไปทำอะไรที่บ้านหลี่
“พวกเราจะไปขายของที่อำเภอขอรับ”
“น้องสาวข้าช่วยบิดาของคนขายเนื้อแซ่จางไว้ คนขายเนื้อแซ่จางจึงให้เครื่องในและขาหมูมาเป็ของตอบแทน”
เื่ที่หลี่หรูอี้ช่วยปู่จางไว้ คนในเมืองต่างรู้ดี ไม่จำเป็ต้องโกหกคนในหมู่บ้าน
ส่วนเื่ที่จะไปขายไส้ทอดในตัวอำเภอก็ไม่อาจพูดไปตามจริงได้
ผู้เยาว์ทั้งสองคิดเพียงจะหาเงินจึงรีบเดินทาง พริบตาเดียวก็ไปถึงอำเภอฉางผิง
ยามอาทิตย์อัสดง แต่อากาศยังคงร้อนอบอ้าว ที่นอกประตูอำเภอฉางผิง มีเสียงผู้คนจอแจ คนในหมู่บ้านใกล้ๆ อีกสิบกว่าหมู่บ้านกำลังจัดเตรียมแผงขายของทั้งสองข้างทาง ชาวอำเภอฉางผิงต่างหิ้วตะกร้าและถุงผ้าออกมาจับจ่าย ทำให้กลายเป็ตลาดเล็กๆ ชั่วคราว
ผู้เยาว์ทั้งสองหาหินก้อนใหญ่ที่มีพื้นผิวเรียบก้อนหนึ่ง นำตะกร้าไผ่สานวางลงบนก้อนหิน เปิดผ้าดำมุมหนึ่ง หยิบไส้ทอดออกมาส่วนหนึ่ง จากนั้นจึงเริ่มร้องขายอาหาร
หลี่เจี้ยนอันอายจนหน้าแดง เสียงร้องเรียกลูกค้าก็ค่อนข้างเบา “ไส้ทอดขอรับ หนึ่งทองแดงได้เก้าชิ้น แถมอีกหนึ่งชิ้น”
ส่วนหลี่ฝูคังเรียนรู้จากหลี่หรูอี้มาแล้วจึงเรียกลูกค้าเสียงดัง “เร่เข้ามาเร่เข้ามา ดูกันเถิด ไส้ทอดเพิ่งออกจากเตา รสชาติอร่อยมีมันมาก เก้าชิ้นแถมหนึ่งชิ้น เพียงหนึ่งทองแดงเท่านั้น”
พวกเขาสองคนมาช้า ตำแหน่งที่ยืนจึงอยู่ด้านท้ายตลาด ทำให้ไม่เป็ที่สะดุดตา แต่เพราะมีเสียงเรียกของหลี่ฝูคัง เพียงไม่นานจึงมีคนเดินเข้ามาดู
สตรีร่างอวบอ้วน สวมอาภรณ์สีฟ้า ประดับปิ่นเงินสลักลายดอกเหมยผู้หนึ่ง เห็นผู้เยาว์ทั้งสองลักษณะดี หน้าตาท่าทางขยันขันแข็ง สวมใส่เสื้อผ้าดูสะอาดสะอ้าน อีกทั้งเห็นไส้ทอดมันเยิ้มเคล้ากับกระเทียมและต้นหอมดูน่ากิน จึงถามไปว่า “ไส้นี่ทำความสะอาดดีหรือไม่?”
ในใจของใครอีกหลายคนที่อยู่ข้างๆ ก็อยากจะถามคำถามนี้เช่นกัน
หลี่ฝูคังรีบร้อนตอบทันที “พี่สาวขอรับ ท่านวางใจเถิด ไส้หมูของบ้านข้าทำความสะอาดมาอย่างดี”
“ข้าซื้อหนึ่งทองแดง” มือซ้ายของสตรีอ้วนสวมกำไลเงินเลี่ยมอักษรฝู (ความสุข) เปล่งประกายแวววาว นางหยิบเหรียญทองแดงหนึ่งเหรียญออกมาจากถุงหอมที่พกอยู่บริเวณเอว แต่กลับไม่ได้ส่งให้หลี่ฝูคัง “ข้าไม่ได้นำถ้วยมาด้วย จะใส่อะไรดี?”
“ข้าจะใช้ใบหม่อนใส่ให้ท่าน ซื้อเก้าแถมหนึ่ง หนึ่งทองแดงได้สิบชิ้นขอรับ” หลี่ฝูคังหยิบใบหม่อนใบใหญ่ออกมาจากตะกร้าไผ่สาน ใช้ตะเกียบคีบไส้ทอดสิบชิ้นขึ้นมาวางบนใบหม่อนอย่างคล่องแคล่วรวดเร็ว จากนั้นจึงส่งให้สตรีอ้วน
สตรีอ้วนได้กลิ่นหอมของเนื้อก็ไม่คิดอะไรมาก ส่งเหรียญทองแดงไปให้หลี่ฝูคังที่ยื่นมือมาที่นาง จากนั้นจึงยืนอยู่ที่เดิม ใช้มือหยิบไส้ทอดขึ้นมา เพียงกินไปคำแรกก็หยุดไม่ได้เลย
หลายคนที่อยู่รอบๆ รีบถาม “รสชาติเป็อย่างไรบ้าง?”
“ไม่มีกลิ่นเหม็นหรือ?”
“เ้าพูดอะไรบ้างสิ”
“เอาให้ข้าอีกหนึ่งทองแดง” สตรีอ้วนกินจนน้ำมันเยิ้มเลอะริมฝีปาก การแสดงออกอย่างตรงไปตรงมาทำให้เห็นได้ว่า ไส้ทอดนี้เลิศรสเพียงใด
พริบตาเดียวนางก็กินไปถึงสามทองแดงแล้ว จากนั้นจึงซื้ออีกสองทองแดงกลับบ้าน นางถือใบหม่อนบรรจุไส้ทอดด้วยมือเดียวเช่นนั้น เดินไปพลางะโว่า “ในมือข้ามีอาหาร อย่าชนข้าเล่า”
บางคนที่รู้จักสตรีนางนี้ปรายตามองของที่อยู่ในมือของนาง แล้วเอ่ยถามอย่างสงสัย “พี่อ้วน ที่ถืออยู่ในมือท่านคืออะไรหรือ?”
สตรีอ้วนตอบอย่างรวดเร็ว “ไส้ทอด รสชาติอร่อยยิ่ง ข้าไม่เคยกินไส้ทอดที่อร่อยเพียงนี้มาก่อนเลย หนึ่งทองแดงซื้อได้เก้าชิ้น ยังแถมให้หนึ่งชิ้นด้วย”
คนผู้นั้นเอ่ยอย่างประหลาดใจ “จะเอาไส้หมูมาทำของอร่อย ไม่ง่ายเลยจริงๆ”
.......................................