“ท่านพี่หญิง!”
อูิโยวดึงหลิ่วไป๋เจ๋อวิ่งไปเบื้องหน้า อูิหลิงได้ยินเสียงเรียกจึงหันไปสำรวจเขาั้แ่หัวจรดเท้า เมื่อเห็นว่ายังมีชีวิตชีวาสามารถะโโลดเต้นได้ปกติจึงถอนหายใจ
“หากยังทำอะไรบุ่มบ่ามเช่นนี้อีกข้าจะบอกท่านแม่ หลังจากนั้นก็อย่าหวังว่าจะได้ออกจากหุบเขาอีกเลย”
“ขอรับท่านพี่หญิง ต่อไปข้าจะฟังคำท่าน”
อูิโยวทำทีออดอ้อนและปรนนิบัตินางอย่างดี หลิ่วไป๋เจ๋อยืนนิ่งไม่เอ่ยสิ่งใด หันหน้าไปทางสระน้ำกระจ่างใสราวกับกำลังชื่นชมดอกบัวงามอย่างไรอย่างนั้น
อูิหลิงคำนับหลิ่วไป๋เจ๋อและเอ่ยขึ้น “เื่ก่อนหน้านี้ของน้องชาย ิหลิงต้องขอบคุณคุณชายหลิ่วด้วยเ้าค่ะ”
หลิ่วไป๋เจ๋อเผยรอยยิ้มและเอ่ยอย่างมีมารยาท “แม่นางอูกล่าวเกินไปแล้ว”
ในใจอูิหลิงแอบผิดหวัง บุคคลตรงหน้ายังคงแสดงออกอย่างมีมารยาท มิได้มีท่าทีเกินเลยแต่อย่างไร นางไม่เคยได้รับการปฏิบัติอย่างใกล้ชิดสนิทสนม
เมื่อรับรู้ถึงบรรยากาศที่เริ่มอึมครึม อูิโยวจึงรีบเอ่ยปาก “ท่านพี่หญิง บัวแดงในสระนี้ท่านเพาะเองหรือ ฝีมือไม่เลวเลย ให้ความรู้สึกนุ่มนวลยิ่งนัก หากสวนนี้มีแต่ต้นหลิวข้าคงมองจนเลี่ยนแน่!”
แม้ใกล้ถึงปลายฤดูใบไม้ผลิ แต่ยังไม่ใช่เวลาที่ดอกบัวแดงจะผลิบาน เหล่าบัวที่โดดเด่นนี้มักเบ่งบานใน่ที่เหมาะสม
อูิหลิงตะลึงงัน เหมือนว่านางก็ไม่ทราบสาเหตุ
“ข้าคิดว่าเ้าเล่นพิเรนทร์ เปลี่ยนเวลาผลิดอกของมันเสียอีก”
อูิโยวพลันใก่อนจะรีบปฏิเสธ “เหตุใดถึงเป็ข้าล่ะ”
ทั้งสองหันมองไปยังหลิ่วไป๋เจ๋อ เห็นเขากำลังเอื้อมมือไปในสระเพื่อทำการตรวจสอบ ปรากฏว่าอุณหภูมิน้ำสูงขึ้นทำให้อบอุ่นกว่าเดิมมาก
“เป็อย่างไร”
อูิโยวก้าวขึ้นหน้าเพื่อถาม สีหน้าหลิ่วไป๋เจ๋อเต็มไปด้วยความกังวล
“อุณหภูมิน้ำผิดปกติ”
อูิโยวยื่นมือไปทดสอบบ้าง “ในฤดูนี้น้ำไม่ควรอบอุ่นสิ แปลกประหลาดยิ่งนัก”
อูิหลิงะโไปกลางสระ แตะเท้าบนใบบัว ใบไม้เพียงใบเดียวนั้นพยุงร่างอรชรไว้
ครู่ต่อมา มือซ้ายของนางก็ถูกห่อหุ้มด้วยแสงสีแดงทั่วทิศทาง ประกายแสงควบแน่นจนในที่สุดก็หยดลงมาราวกับ “เืสดๆ” ไหลไปรวมกันเป็ดอกบัวแดงใต้เท้าของนาง ทันใดนั้นพลันปรากฏแสงเจิดจ้า บัวแดงดอกนั้นแกว่งไกวไปมาราวกับถูกเปลวเพลิงแผดเผา
อูิหลิงยกมือขึ้นเพื่อกระจายกลุ่มแสงนั้น ดอกบัวแดงไม่ได้รับความเสียหายแม้เพียงนิด นางแตะเท้าเบาๆ เพื่อสร้างระลอกคลื่น แล้วะโขึ้นเหนือผิวน้ำก้าวไปยังขอบสระ
อูิโยวที่ยืนมองอยู่รู้สึกทึ่งพร้อมทั้งยกนิ้วให้นาง “ท่านพี่หญิงเชี่ยวชาญการควบคุมอุณหภูมิพืชยิ่งขึ้นอีกแล้ว น้องชายผู้นี้ขอคารวะ”
อูิหลิงส่งเสียงจิ๊จ๊ะก่อนจะพูดว่า “เ้ามันเก่งแต่ปาก หากเ้าตั้งใจศึกษาคงไม่ต้องถึงมือข้า”
อูิโยวเกาศีรษะ แล้วหัวเราะฮ่าๆ
อูิหลิงหุบยิ้มก่อนหันไปพูดกับหลิ่วไป๋เจ๋อ
“คุณชายหลิ่ว ข้าได้ตรวจสอบการเจริญเติบโตภายในบัวแดงแล้ว นอกจากการผลิดอกก่อนเวลาก็ไม่มีสิ่งใดผิดปกติ คงเป็เพราะอุณหภูมิในสระเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ดอกบัวแดงจึงเบ่งบาน”
หลิ่วไป๋เจ๋อพยักหน้าและเอ่ยขึ้น “ข้าคงกังวลมากเกินไป”
ทั้งสามเพียงตื่นตูมไปเองสินะ ด้านอูิโยวที่อยากลดช่องว่างระหว่างทั้งคู่มาตลอด รีบใช้โอกาสนี้หาเหตุผลปลีกตัวออกไป
“พี่หลิ่ว ข้าจะไปดูจิ่วฟางเทียนฉีสักหน่อย เผื่อน้องชายเ้าควบคุมเขาไม่ได้ ขอฝากท่านพี่หญิงของข้าด้วย”
อูิหลิงกำลังจะเอ่ยปาก แต่ก็ถูกอูิโยวขัดขึ้นก่อน “ท่านพี่หญิงเดินทางมาแต่เช้าเช่นนี้คงยังไม่ได้กินอะไรใช่หรือไม่ ท่านไม่ได้มาที่เมืองหลวงบ่อยนักอาจไม่คุ้นเคย ดังนั้นก็ให้พี่หลิ่วผู้เป็เ้าบ้านพาไปเดินชมสักหน่อย น่าจะเจอของอร่อยๆ และสถานที่น่าเที่ยวชมไม่น้อย ใช่ไหมพี่หลิ่ว”
อูิโยวแอบดึงแขนเสื้อหลิ่วไป๋เจ๋อ อีกฝ่ายก็เอ่ยขึ้นอย่างให้ความร่วมมือ
“หากแม่นางอูไม่รังเกียจ ข้าจะพาไปเดินเยี่ยมชม”
“ไม่ ไม่ ไม่รังเกียจแน่นอนเ้าค่ะ ถ้าเช่นนั้นข้าต้องขอรบกวนคุณชายหลิ่วด้วย”
อูิโยวแอบขยิบตาให้อูิหลิง นางเข้าใจความหวังดีแต่ก็รู้สึกว่าการทำเช่นนี้ค่อนข้างบีบบังคับอีกฝ่าย อันที่จริงนางรับรู้ว่าหลิ่วไป๋เจ๋อมิได้ชอบพอนาง แต่ถึงจะเป็เพียงไมตรีระหว่างเ้าบ้านกับแขกผู้มาเยือนก็ทำให้นางสุขใจอยู่ดี
เวลานี้ผืนฟ้าสว่างไสวแล้ว บนถนนมีผู้คนขวักไขว่มองดูคึกคักเป็อย่างมาก เมื่อทั้งคู่ออกมาจากชิงหลิ่วถัง หลิ่วไป๋เจ๋อก็พานางเดินไปตามตรอกซอกซอย ระหว่างทางเขาไม่ได้เอ่ยสิ่งใด อีกฝ่ายก็เช่นกัน บรรยากาศจึงน่าอึดอัดอยู่ไม่น้อย บางครั้งอูิหลิงก็แอบเหลือบมองชายหนุ่ม หัวใจพลันเต้นแรง หน้าแดงระเรื่อ
ใบหน้าหลิ่วไป๋เจ๋อช่างหล่อเหลา ในแดนเจ๋อแห่งนี้มีเพียงไม่กี่คนที่เทียบเคียงเขาได้ แม้เกิดมาพร้อมดวงตาที่มืดสนิท แต่อูิหลิงไม่ได้แยแสในเื่นี้ เพราะนั่นยิ่งทำให้เห็นถึงความอ่อนโยนและจิตใจอันกว้างขวางของเขาได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
“แม่นางอูหิวหรือไม่ อยากทานอะไรไหม”
หลังจากเดินมาพักใหญ่ ในที่สุดหลิ่วไป๋เจ๋อก็เอ่ยถามออกมาประโยคหนึ่ง แต่อูิหลิงกลับจมอยู่กับความคิดจนไม่ได้ตอบกลับ เมื่อไม่ได้ยินเสียงตอบรับ เขาจึงคิดว่านางเลือกไม่ถูกว่าจะกินอะไรดี หลิ่วไป๋เจ๋อจึงรีบแนะนำ
“หากแม่นางไม่มีของที่ทานไม่ได้ ข้าจะพาไปทานบะหมี่เกี๊ยว ได้ยินจากิโยวว่ามีร้านที่รสชาติไม่เลวอยู่ตรงนั้น”
“ดีเ้าค่ะ!” ไม่ว่าจะกินอะไรในใจของอูิหลิงยามนี้ก็เห็นดีไปเสียหมด
ตระกูลหลิ่วเป็หนึ่งในสามตระกูลใหญ่ที่มีชื่อเสียงโดดเด่นของเฟิ่งเทียน ชิงหลิ่วถังยังเคยช่วยเหลือผู้คนทางตอนใต้ของเมืองเอาไว้หลายครั้ง รวมทั้งดวงตาที่มีลักษณะเฉพาะและรูปลักษณ์ที่ไม่มีใครเทียบได้ของหลิ่วไป๋เจ๋อ แม้ไม่เคยพบหน้ามาก่อนก็ต้องเคยได้ยินเื่ของเขา ซึ่งง่ายต่อการจดจำั้แ่แรกเห็น จึงมีน้อยคนที่ไม่รู้จักคุณชายผู้นี้
ยามอรุณรุ่งเช่นนี้มีหลายคนกำลังทานบะหมี่อยู่ในร้าน โต๊ะที่มีไม่มากจึงถูกผู้คนจับจองจนเต็ม นอกจากนี้นี่ยังเป็ครั้งแรกที่หลิ่วไป๋เจ๋อมายังสถานที่แบบนี้ เขาจึงไม่รู้ว่ากิจการจะดีดังที่เห็น
ทั้งสองยืนอยู่ข้างร้านด้วยท่าทีเก้ๆ กังๆ หลิ่วไป๋เจ๋อเริ่มเสียใจที่พาอูิหลิงมาที่นี่
ในสายตาผู้คน บุตรชายคนโตของตระกูลหลิ่วเป็ที่เลื่องลือว่าเงียบขรึมเ็า ไม่สุงสิงกับคนไม่คุ้นเคย การได้เห็นเขามายืนอยู่ที่แผงลอยริมถนนเพื่อรอกินบะหมี่ อีกทั้งยังพาหญิงงามมาด้วย ช่างเป็ภาพที่สร้างความแตกตื่นได้ไม่น้อย
ทุกคนในร้านต่างก็วางช้อนและตะเกียบ แล้วมองทั้งสองคนั้แ่หัวจรดเท้า มีไม่กี่คนที่เลี่ยงออกไปและคิดว่าผิดแปลก แต่นอกจากความตกตะลึงเกือบทุกคนต่างสงสัยว่าหลิ่วไป๋เจ๋อมาด้วยเหตุอันใด
นี่เป็ครั้งแรกที่ทั้งสองถูกคนจำนวนมากจับจ้องเช่นนี้ โดยเฉพาะอูิหลิง เดิมนางอาศัยอยู่ในหุบเขาไป่หลิงแทบไม่ได้ออกไปข้างนอก แม้มีบุคลิกอ่อนโยนและมีจิตใจกว้างขวาง แต่อย่างไรนางก็เป็สตรี ดังนั้นการตกเป็เป้าสายตาของผู้คนมากมายเช่นนี้ ย่อมทำให้รู้สึกเขินอายอย่างเลี่ยงไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้นการมาที่นี่พร้อมหลิ่วไป๋เจ๋อก็ทำให้นางขวยเขินมากกว่าเดิม
ในตอนที่ทั้งสองกำลังตัดสินใจว่าจะทำอย่างไรต่อ เ้าของร้านบะหมี่ก็เดินออกมา นางเป็หญิงชราวัยแซยิด เมื่อเห็นผู้มาเยือนก็รีบก้าวเข้าไปต้อนรับด้วยรอยยิ้ม
“คุณชายหลิ่วพาคุณหนูผู้นี้มารับประทานบะหมี่หรือ เชิญนั่งด้านในเลยเ้าค่ะ”
ประโยคนี้ทำให้อูิหลิงเขินอายยิ่งกว่าเดิม
เมื่ออีกฝ่ายเชื้อเชิญด้วยความกระตือรือร้น หลิวไป๋เจ๋อก็ไม่รู้ว่าจะปฏิเสธอย่างไร ทำได้เพียงก้าวเข้าไปด้านใน อูิหลิงจึงเดินตามไป หญิงชราที่ยังอยู่ข้างหลังะโใส่ฝูงชนด้านนอกว่า
“รีบกินเร็วเข้า วันนี้ข้ามีแขกผู้ทรงเกียรติ ไม่มีเวลาจะมาสนใจพวกเ้าหรอกนะ!”
คนเ่าั้ล้วนเป็เพื่อนบ้านในละแวกใกล้เคียงและเป็ลูกค้าประจำของร้านบะหมี่ เมื่อได้ยินหญิงชราเอ่ยเช่นนั้นก็ไม่ได้โกรธเคืองแต่อย่างใด กลับหัวเราะและหยอกเย้านาง
“แม่เฒ่าหวัง ท่านทำเหมือนออกมาต้อนรับลูกชายและลูกสะใภ้ของตัวเองอย่างไรอย่างนั้น”
“ใช่แล้ว ตอนนี้แม่เฒ่าหวังคงสุขล้นราวกับมีดอกไม้เบ่งบานในหัวใจเป็แน่!”
แม่เฒ่าหวังโบกมือให้พวกเขาและเอ่ยขึ้น
“ไปๆ ๆ มาล้อเลียนคนแก่อย่างข้า ข้าก็ไม่สนใจหรอก แต่มาล้อเลียนทั้งสองท่านนี้ไม่กลัวลิ้นจะหลุดออกจากปากหรือ”
แม้เป็เพียงเื่หยอกล้อเพื่อความสนุกสนานแต่ทุกคนก็รู้ขอบเขต ท้ายที่สุดจึงพากันเงียบปาก
แม่เฒ่าหวังลอบถอนหายใจ หากนางมีลูกชายและลูกสะใภ้เหมือนเช่นสองคนนี้จริงๆ คงมีความสุขไปอีกร้อยชาติเชียวล่ะ
แม้บะหมี่เกี๊ยวของแม่เฒ่าไม่ได้ดูประณีตละเอียดลออเหมือนที่อื่นที่เคยทานมา แต่รสชาติถือว่าไม่เลวจริงๆ หลิ่วไป๋เจ๋อที่มักควบคุมการกินยังอดไม่ได้ที่จะสั่งเพิ่มอีกสองชาม ในใจก็คิดว่าอูิโยวเอ่ยได้ถูกต้องแล้ว ภายภาคหน้าเื่อาหารการกินก็ให้เขาเป็คนเลือกแล้วกัน ไม่จำเป็ต้องหรูหราเช่นเทียนซย่าสือจวี เพียงแค่แผงบะหมี่เช่นนี้ก็ดีเช่นกัน
อูิหลิงที่รับประทานบะหมี่ไปหนึ่งชามวางช้อนกระเบื้องลง แม่เฒ่าหวังที่อยู่ด้านข้างเห็นก็ก้าวเข้าไปเอ่ยถาม
“บะหมี่เกี๊ยวที่แม่เฒ่าผู้นี้ทำไม่อร่อยหรือ เหตุใดจึงกินน้อยนักเ้าคะ”
อูิหลิงรีบโบกมือและเอ่ยตอบ
“ไม่ๆ ไม่ใช่เ้าค่ะ ท่านทำอร่อยมาก แต่ปกติข้ากินน้อยอยู่แล้ว วันนี้ถือว่าข้ากินเยอะมากทีเดียว”
หญิงชราเอ่ยด้วยสีหน้าไม่ค่อยพอใจ
“ยังสาวยังแส้ไม่ควรกินน้อยเช่นนี้ แม้จะห่วงรูปลักษณ์ความงาม แต่ร่างกายก็สำคัญเช่นกัน”
อูิหลิงได้ยินประโยคนั้นก็ไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี ที่กินน้อยไม่ใช่เพื่อรักษารูปร่าง แต่เพราะเกิดมาพร้อมพลังิญญาที่เต็มเปี่ยม นางจึงไม่จำเป็ต้องรับสารอาหารจากภายนอกเท่าไร กินมากไปก็ไร้ประโยชน์ ทว่าก็กินบ้างเพื่อสนองความอยากอาหาร
“เอวของแม่เฒ่ามีอาการเรื้อรังหรือ...” ท่าเดินแม่เฒ่าหวังผิดปกติ หลังก็งองุ้ม แค่มองอูิหลิงก็รู้ว่าปัญหาอยู่ที่ใด
“โรคเก่า ไม่เป็อะไรหรอก!”
อูิหลิงลุกขึ้นและก้าวไปเบื้องหน้า มือขวาจับไหล่ของนาง และวางมือซ้ายไว้ที่เอว รัศมีแสงสีแดงปรากฏขึ้นที่มือซ้าย แล้วไปหยุดอยู่ที่เอวของแม่เฒ่าหวังครู่หนึ่งก่อนหายวับไป ร่างกายพลันผ่อนคลายเป็อย่างมาก ไม่เจ็บไม่ปวดเอวและหลังเหมือนก่อนหน้า ทั้งยังสามารถยืดอกเหยียดหลังให้ตรง และก้าวเดินได้เร็วขึ้น
“ขอบคุณ ขอบคุณแม่นางมากจริงๆ!”
อูิหลิงโบกมือแล้วกล่าวว่า “ท่านแม่เฒ่าอย่าทำเช่นนี้ ข้าเพียงช่วยเหลือเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น”
ขณะที่พูดนางก็ขอพู่กันและกระดาษจากแม่เฒ่าหวัง เขียนใบสั่งยาและยื่นให้อีกฝ่าย
“สมุนไพรเหล่านี้ช่วยบำรุงร่างกายท่านได้ นำใบสั่งยานี้ไปที่ไป่เย่าถังในเมือง ท่านไม่ต้องเป็กังวลนะเ้าคะ ข้าได้ระบุเอาไว้แล้วว่าจะต้องไปที่ใด พวกเขาจะไม่เก็บเงิน”
“ไม่ได้ๆ แบบนี้ไม่ดีนะ เ้ารักษาให้ข้าแล้วจะไม่รับค่ายาไม่ได้นะ!”
อูิหลิงเพียงแค่ยิ้มแต่ไม่พูดอะไร นางไม่เอ่ยถึงมูลค่าของสมุนไพรตามใบสั่งยา แม้จะขายบะหมี่อีกหลายสิบชามก็ยังไม่สามารถซื้อยาเ่าั้ได้
—————————————————