ไม่เพียงแต่อูเสียนอ๋องเท่านั้น ทว่าอีกสองคนในห้อง หลังผ่านเื่ราวเมื่อครู่นี้ ยามนี้พวกเขาเองก็เคร่งเครียดไม่ต่างกัน พวกเขาหันไปมองทหารองครักษ์ผู้นั้น เฝ้ารอการรายงานของเขา
ทหารองครักษ์ผู้นั้นมิกล้ารีรอ รีบเอ่ยกล่าวในทันทีว่า “ทูลท่านอ๋อง ท่านแม่ทัพฝ่ายกองทหารแคว้นเป่ยฉีนำทหารรักษาพระองค์มาปิดล้อมเขตพำนักทางใต้ทั้งหมดแล้วพ่ะย่ะค่ะ ทั้งยังสั่งอีกว่าหากผู้ใดออกไปจะถูกปะาทันทีพ่ะย่ะค่ะ”
แม่ทัพฝ่ายกองทหารหรือ?
สามคำนี้ดังก้องอยู่ในหัวของฉางหลิงเกอ แม่ทัพฝ่ายกองทหาร...เป่ยฉีหาคนมาแทนฉู่ชิงได้เร็วเยี่ยงนี้เลยหรือ?
ทว่า...ในใจของฉางหลิงเกอกลับมีลางสังหรณ์บางอย่างที่ยากจะอธิบาย ครั้นเขาคิดอะไรบางอย่างได้ ฉางหลิงเกอก้าวไปข้างหน้าโดยไม่รู้ตัวทันทีและถามอย่างร้อนรนว่า "ผู้ใดคือแม่ทัพฝ่ายกองทหาร มีนามว่าอย่างไร?"
ทหารองครักษ์ชะงักไปครู่หนึ่ง ภายใต้แรงกดดันของอีกฝ่าย เขาเอ่ยปากออกไปโดยไม่รู้ตัวว่า “ฉู่...ฉู่ชิง!”
ฉู่ชิง!
เป็ไปได้อย่างไร?
ในใจของฉางหลิงเกอตกตะลึงไปครู่หนึ่ง ตกตะลึงมากเสียจนกระทั่งสีหน้าซีดเผือดขึ้นมาเล็กน้อย ดูเหมือนว่า ‘ฉู่ชิง’ คำสองคำนี้จะทำเขารู้สึกใมากเสียยิ่งกว่าเื่ที่เกิดขึ้นในห้องเมื่อครู่นี้อีก ถึงขั้นเรียกว่า ใอย่างใหญ่หลวง
ไม่ใช่แค่เขา ทว่าอูเสียนอ๋องเองรู้สึกได้ถึงความผิดปกติของเื่นี้ เขาจ้องมองฝ่าาที่กำลังขมวดคิ้ว “ก่อนหน้านี้ค่ายเสินเช่อเกิดเพลิงไหม้โหมกระหน่ำ มิใช่ว่าทุกคนตายแล้วหรือ?”
ได้ยินว่าในกลุ่มคนที่ต้องสูญเสียชีวิต ย่อมรวมฉู่ชิง แม่ทัพฝ่ายกองทหารไปด้วยเช่นกัน!
ทว่า...
“ผู้...ผู้น้อยเองเพิ่งได้ยินข่าวมาว่า ท่านแม่ทัพฝ่ายกองทหารแห่งแคว้นเป่ยฉีเดินทางกลับเข้าเมืองหลวงอย่างปลอดภัย ไม่ได้รับความสูญเสียใดๆ ทั้งยังได้ยินมาอีกว่า...” ทหารองครักษ์ผู้นั้น รู้สึกได้ถึงสายตาดุดันขององครักษ์อีกหนึ่งคนในห้อง คาดมิถึงว่าเขาจะถูกแรงกดดันข่มขู่จนเขารู้สึกหวาดหวั่น แม้แต่เสียงที่เปล่งออกมายังสั่นเทาเล็กน้อย
“ยังได้ยินอะไรมาอีกหรือไม่?” ในใจของฉางหลิงเกอมีความกังวลอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน สัญชาตญาณบอกเขาว่าสิ่งที่รอเขาอยู่คงไม่ใช่เื่ดีแน่
“ยังได้ยินมาอีกว่า...ทหารในค่ายเสินเช่อปลอดภัยดี ตอนนี้กำลังอยู่นอกเมืองชุ่นเทียนจัดเรียงแถวกองทหาร”
ครั้นทหารองครักษ์ผู้นั้นเอ่ยจบ ฉางหลิงเกอพลันตัวสั่นสะท้าน รู้สึกเย็นะเืั้แ่ฝ่าเท้าจรดศีรษะ
ปลอดภัยดี?
ไม่เพียงแค่ฉู่ชิงที่ปลอดภัย ทว่าแม้แต่ทหารทั้งหมดในค่ายเสินเช่อก็ปลอดภัย?
นี่...นี่เป็ไปได้อย่างไร?
ไม่ใช่แค่เขาที่ไม่เชื่อ แม้แต่ฉางหงเยียนเองก็ไม่อยากจะเชื่อ “ฝ่าา เห็นได้ชัด...”
เห็นได้ชัดว่าพวกเราใช้พิษกู่กับค่ายเสินเช่อไปแล้ว นางรู้ว่าพิษกู่ที่ฝ่าาบ่มเพาะนั้นร้ายแรงอย่างมาก เพียงพอที่จะทำลายค่ายเสินเช่อทั้งหมดภายในเวลาไม่กี่วัน
ทว่ายามทีที่นางเอ่ยคำพูดออกไป พร้อมกับหันไปมองฉางหลิงเกออย่างใ ดวงตานางสบเข้ากับดวงตาดุดันของเขาอย่างประจวบเหมาะ ฉางหงเยียนครั้นตระหนักได้จึงรีบหุบปากตัวเองลงทันที
ฉางหลิงเกอรู้ว่านางกำลังจะพูดอะไร
ในใจเขายังคงมีหนึ่งข้อสงสัย เห็นได้ชัดว่าเขาใช้พิษกู่กับค่ายเสินเช่อ ทว่าเหตุใดค่ายเสินเช่อกลับยังคงปลอดภัย?
เขาได้บ่มเพาะพิษกู่โดยใช้เืความเป็กษัตริย์ของเขา ทว่าสิ่งนี้เป็วิธีต้องห้ามที่มีเฉพาะในราชวงศ์หนานเยวี่ยเท่านั้น ค่ายเสินเช่อและฉู่ชิงไม่มีทางอยู่ดีมีสุขและปลอดภัยอย่างแน่นอน ไม่เพียงเท่านี้ พิษกู่นั่นออกอาการเหมือน ‘โรคระบาด’ แม้แต่บางคนที่เชี่ยวชาญพิษกู่ยังมองไม่ออกถึงความเป็จริงของ ‘โรคระบาด’ นี้ ทว่าเหตุใด...
เป็ไปได้หรือไม่ที่ในแคว้นเป่ยฉีจะมีปรมาจารย์ด้านพิษกู่?
เมื่อตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่าง ฉางหลิงเกอพลันตกตะลึง ทันใดนั้น เขากระโจนตัวออกไปจากห้องทันทีประหนึ่งสายลม ทหารองครักษ์ที่ยืนอยู่ตรงประตู หรือแม้แต่อูเสียนอ๋องและฉางหงเยียนที่อยู่ในห้องยังรู้สึกตื่นตะลึง อูเสียนอ๋องได้สติกลับมาก่อนคนแรก และรีบตามออกไปทันที...
ฉางหลิงเกอรีบกลับไปที่ห้องของตัวเอง เขาเดินเข้าไปและหยุดฝีเท้าลงที่แห่งหนึ่ง เปิดช่องลับออก ทว่าสิ่งที่ควรอยู่ภายในกลับได้หายไปเสียแล้ว
"ไม่อยู่แล้ว!" ใบหน้าของฉางหลิงเกอซีดเผือด
มันคือใคร? ผู้ใดขโมยไป?
ฉู่ชิงหรือ?
"น่าตายนัก!" ฉางหลิงเกอกัดฟันและกระแทกหมัดกับกำแพง แม้ว่าคนผู้นั้นจะไม่ใช่ฉู่ชิง เขาก็มิอาจสลัดความคิดว่าเป็ฉู่ชิงได้!
ฉางหลิงเกอรู้สึกราวกับหายใจไม่ออก
ยามที่อูเสียนอ๋องเดินเข้ามา เขาได้ยินเสียงคำรามต่ำของฉางหลิงเกอ รู้สึกถึงความโกรธที่แผ่ซ่านออกมาจากวรกายของฝ่าา เขาหยุดคิดใคร่ครวญครู่หนึ่ง แล้วเดินเข้าไปในห้องอย่างระมัดระวัง พร้อมกับหยั่งเชิงถามว่า “ฝ่าา ท่าน...ไม่เป็อะไรนะพ่ะย่ะค่ะ?”
อูเสียนอ๋องอยากถามเื่พิษกู่ ทว่าเขากลับไม่กล้าเอ่ยถามออกไป
แต่เขาพอจะรู้ว่า พิษกู่เป็ฝีมือของฝ่าา
และตอนนี้...
"เราอยู่เป่ยฉีต่อไปไม่ได้แล้ว"
ฉางหลิงเกอไม่ตอบคำถามของอูเสียนอ๋อง เขาเงียบไปครู่หนึ่ง ยามที่เอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง เริ่มสงบลงมาเล็กน้อย เมื่อเทียบกับความโกรธที่ปะทุขึ้นมาเมื่อครู่นี้
หากการหายไปของพิษกู่ไม่เกี่ยวข้องกับฉู่ชิง เช่นนั้นเื่วุ่นวายระหว่างตนเองกับฉางหงเยียนในวันนี้ มันหมายความว่าอย่างไร?
ฉางหลิงเกอเป็คนฉลาด เขารู้ว่าไฟไหม้ในคืนนั้นเป็ ‘กลยุทธ์จักจั่นลอกคราบ’ ของฉู่ชิง เขาจัดฉากมันขึ้นมา โดยพาทุกคนไปซ่อน เพียงเพื่อวางแผนให้ตนเองและฉางหงเยียนมีความสัมพันธ์กัน
ไม่ มันไม่ง่ายถึงเพียงนั้น
ฉู่ชิง เขาสามารถระบุพิษกู่ได้และพาตัวเองให้รอดพ้นจากความตาย เห็นได้ชัดว่าตัวเขาประเมินความสามารถของแม่ทัพฝ่ายกองทหารต่ำเกินไป
สำหรับเขาแล้ว เกรงว่าเื่ราวในวันนี้คงเป็เพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น ต่อจากนี้ยังคงมีอะไรรอคอยเขาอยู่
ฉางหลิงเกอสูดหายใจลึก เขาพยายามอย่างหนักเพื่อสงบสติอารมณ์ ในขณะนี้เขากำลังเล่นอยู่ในกระดานหมากไร้รูปและศัตรู...
ฉู่ชิง...ฉางหลิงเกอหรี่ตาลงและกำหมัดแน่น
เขา ‘ฉางหลิงเกอ’ ต้องชนะหมากกระดานนี้!
“ทว่าฝ่าา ฉู่ชิงนำทหารรักษาพระองค์ปิดล้อมรอบลานทางใต้หมดแล้ว ทหารเ่าั้ล้วนเป็ยอดฝีมือ ครั้งนี้พวกเรามิได้นำคนมาเป่ยฉีมากนัก เกรงว่า...”
อูเสียนอ๋องมีสีหน้ายากลำบาก เขาเองเข้าใจดีว่าพวกเขาอยู่ในเป่ยฉีต่อไปไม่ได้แล้ว ทว่าหากต้องออกไป...ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ไหนเลยจะเป็เื่ง่ายดายเยี่ยงนั้น?
ทันใดนั้นฉางหลิงเกอพลันขมวดคิ้วจนเป็ปม สายตาดุดันเฉียบคมตวัดมองอูเสียนอ๋อง ทุกถ้อยคำ เอ่ยออกมาอย่างเคร่งขรึมและเฉียบขาด "คิดหาวิธี! แม้ต้องทูลขอให้ฉางไทเฮาคิดแผน พวกเราก็ต้องออกไปให้ได้โดยเร็วที่สุด"
ด้วยรัศมีอันน่าเกรงขามนั้น อูเสียนอ๋องรู้สึกกริ่งเกรงจนตัวสั่นเทา มิกล้าเอ่ยอะไรอีก
ฉางไทเฮา...
ทั้งสองต่างรู้ดีว่า ฉางไทเฮาผู้นั้นมีฮองเฮาอวี่เหวินคอยทำให้สะดุดตลอดเวลา มิรู้ว่านางจะสามารถช่วยได้หรือไม่!
ณ ตำหนักฉางเล่อ
ทันทีที่นางเดินเข้าไปในห้องพระ ทั่วทั้งวรกายของฉางไทเฮาพลันอ่อนแรง หลีอ๋องจ้าวเยี่ยนที่เดินอยู่ด้านหลัง ครั้นเห็นดังนั้นจึงรีบเข้าไปประคองตัวนางอย่างว่องไวทันที
"เสด็จแม่ ท่านเป็อะไรหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?"
สีหน้าของจ้าวเยี่ยนในยามนี้เต็มไปด้วยความเคร่งขรึมเช่นกัน เขารู้ดีว่าเหตุใดท่านแม่จึงอ่อนแรงลงทันใดเยี่ยงนี้ เขาเข้าใจอย่างกระจ่างแจ้ง สิ่งต่างๆ ในวันนี้ ทุกผลลัพธ์เป็สิ่งที่ไม่คาดคิดสำหรับพวกเขา
“ไม่เป็ไร? ในตอนนี้เป็ไปได้ว่าเื่ราวจะบานปลายใหญ่โต” ฉางไทเฮาแทบจะทิ้งน้ำหนักตัวลงไปบนตัวของจ้าวเยี่ยน จ้าวเยี่ยนประคองฉางไทเฮานั่งลงบนเตียง เมื่อครู่นี้ยามที่นางเผชิญหน้ากับอวี่เหวินซิน นางฝืนตัวเองมาตลอด ทว่าตอนนี้...
ในที่สุด นางมิอาจฝืนต่อไปแล้ว
“เสด็จแม่ทรงเป็กังวลต่อทหารองครักษ์ผู้นั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ?” จ้าวเยี่ยนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล ทว่าฉางไทเฮาที่ได้ยินดังนั้นกลับตื่นตระหนก
ฉางไทเฮาปรายตามองจ้าวเยี่ยนทันที ยามที่นางได้ยิน เริ่มแรกนางรู้สึกตื่นตระหนก ทว่าไม่นานมุมปากนางค่อยๆ ผุดรอยยิ้มขมขื่น พร้อมกับทอดถอนหายใจออกมาอย่างหนักหน่วง “โอรสข้า ช่างฉลาดเฉลียวอย่างที่คิดไว้ เ้าน่าจะทายตัวตนเขาออกแล้วมิใช่หรือ?”
จ้าวเยี่ยนเลิกคิ้วและเอ่ยออกมาอย่างไม่หลบเลี่ยง “ฮ่องเต้องค์ใหม่ของหนานเยวี่ย มีแค่เขาเท่านั้นที่จะทำให้เสด็จแม่ต้องหนักใจถึงเพียงนี้”