ม่อหลิงหานลองแกล้งๆ ถามนาง “หรือว่าชายารักไม่รู้สึกเสียใจแม้แต่น้อย? มู่เหยียนเฉินคนนั้นรักเ้ามาก แต่เ้ากลับมาแต่งให้เปิ่นหวาง ในตัวอักษรทุกบรรทัดของเขาล้วนเป็การข่มขู่เปิ่นหวางไม่ให้แตะต้องเ้า ในเมื่อชายารักได้ฟังทั้งหมดแล้ว ไม่คิดเห็นเช่นไรบ้างเลยหรือ? ”
เยว่เฟิงเกอรู้ดี ม่อหลิงหานกำลังหลอกถามนางโดยมีความหมายอื่นแอบแฝง หากเปลี่ยนเป็เ้าของร่างเดิม คาดว่าตอนได้ฟังเนื้อหาในจดหมายคงจะรู้สึกหวั่นไหวกับมู่เหยียนเฉินเป็แน่
แต่สำหรับนางแล้ว นางไม่เกี่ยวข้องอะไรกับมู่เหยียนเฉินคนนั้นแม้แต่น้อย ไม่ว่าเนื้อหาในจดหมายจะซาบซึ้งเพียงใด นางก็ไม่รู้สึกอะไรทั้งนั้น
เยว่เฟิงเกอส่ายหน้า “หม่อมฉันไม่รู้สึกอะไรทั้งนั้นเพคะ หม่อมฉันเพียงอยากรู้ว่า ท่านอ๋องยังรู้อะไรเกี่ยวกับมู่เหยียนเฉินคนนั้นอีกบ้าง? ”
เมื่อได้ทราบจากปากเยว่เฟิงเกอว่าคนไม่รู้สึกอะไรต่อมู่เหยียนเฉิน ทั้งยังมีท่าทีเหมือนไม่รู้จักอีกฝ่ายแม้แต่น้อย อารมณ์ที่กำลังขุ่นมัวขั้นสุดของม่อหลิงหานก็นับว่าดีขึ้นทันตา
ม่อหลิงหานบอกเยว่เฟิงเกอว่า ที่จริงตัวเขาเองก็ไม่ได้รู้จักมู่เหยียนเฉินและมู่เหยียนรั่วมากนัก สิ่งที่เขารู้มีแค่ว่ามู่เหยียนเฉินคนนั้นรักเยว่เฟิงเกอมาก
ตอนนั้นที่เยว่เฟิงเกอแต่งมาอยู่แคว้นเป่ยชวน มู่เหยียนเฉินไม่เพียงเขียนจดหมายถึงเขา ซ้ำยังส่งคนมาจับตาดูทุกการกระทำของเขา
ตอนนั้นหลังจากม่อหลิงหานจับคนสอดแนมได้ ถึงได้รู้ว่าที่แท้อีกฝ่ายเป็คนที่มู่เหยียนเฉินส่งมา
อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้ขังคนผู้นั้นไว้ในคุกใต้ดิน แต่ให้คนคุมตัวคนเ่าั้กลับแคว้นเสวี่ยอวี้ไปพร้อมสั่งให้กลับไปรายงานผู้เป็นายด้วยว่า เขาม่อหลิงหานไม่มีทางหลงรักเยว่เฟิงเกอ ชั่วชีวิตนี้จะไม่แตะต้องเยว่เฟิงเกอแม้แต่ปลายนิ้ว
ทว่า หลังจากเื่ราวครั้งนั้นผ่านพ้นไปก็ไม่มีข่าวคราวใดจากมู่เหยียนเฉินอีก
ส่วนคนที่ชื่อมู่เหยียนรั่วนั้น ม่อหลิงหานรู้เพียงว่านางเป็น้องหญิงของมู่เหยียนเฉิน ส่วนเื่อื่นล้วนไม่ทราบ
หลังจากได้ฟังคำอธิบายจากม่อหลิงหาน เยว่เฟิงเกอก็เริ่มเข้าใจเื่นี้ขึ้นมาบ้างแล้ว
ดูท่าระหว่างเ้าของร่างเดิมกับมู่เหยียนเฉินจะเคยมีความรักต่อกันมาก่อน เพียงแต่ตอนหลังไม่รู้เพราะเหตุใด เ้าของร่างเดิมถึงได้ลืมเลือนมู่เหยียนเฉินไป ซ้ำร้ายยังแต่งออกมาอยู่แคว้นเป่ยชวน กลายเป็ชายาจั้นอ๋องอยู่ที่นี่
เมื่อเยว่เฟิงเกอเห็นว่ายามที่ม่อหลิงหานเล่าเื่นี้มีสีหน้าเ็าเป็น้ำแข็ง ก็แอบยิ้มในใจ
ดูเหมือนม่อหลิงหานคนนี้จะเห็นมู่เหยียนเฉินเป็ดังศัตรูหัวใจของตน
นางหรี่ตามองม่อหลิงหานไปทีหนึ่ง กล่าวอย่างไม่พอใจว่า “ท่านอ๋องไม่ได้ตรัสว่า ชั่วชีวิตนี้จะไม่แตะต้องหม่อมฉันแม้แต่ปลายนิ้วหรือเพคะ เช่นนั้นยามนี้ทรงกำลังทำสิ่งใดอยู่เพคะ? ”
เนื่องจากตอนที่ม่อหลิงหานกำลังเล่าเื่นี้อยู่ มือเขากลับอยู่ไม่สุข เอื้อมมาจับมือของเยว่เฟิงเกอไว้ไม่ยอมปล่อย
ม่อหลิงหานตอบด้วยท่าทางจริงจัง “ชายารักของเปิ่นหวาง เปิ่นหวางอยากทำอย่างไรก็จะทำอย่างนั้น หรือว่าต้องขอความเห็นชอบจากมู่เหยียนเฉินด้วย” พูดจบ เขาก็ยื่นมือออกไปลูบใบหน้าของเยว่เฟิงเกอ
เยว่เฟิงเกอปัดมือเขาออก ตอนนี้นางเชื่อในประโยคนั้นเป็อย่างยิ่ง
ประโยคที่ว่า ยอมเชื่อว่าโลกใบนี้มีผี ดีกว่าเชื่อลมปากของบุรุษ
แน่จริงก็ให้ชายที่พูดจากลับกลอกผู้นี้อย่าแตะต้องนางไปให้ตลอดรอดฝั่งสิ
ม่อหลิงหานเองก็ไม่โกรธแล้ว เขาจับมือน้อยๆ ของเยว่เฟิงเกอไป แนบกับใบหน้าตน กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ชายารักคงหิวแล้ว อีกเดี๋ยวเปิ่นหวางจะพาชายารักไปเดินเล่นนอกจวน ชายารักอยากกินอะไรก็สั่งได้ตามใจ”
เมื่อได้ยินว่าจะได้ออกไปเดินเล่นนอกจวน เยว่เฟิงเกอก็มีเรี่ยวแรงทันที ตอนนี้นางไม่มีเวลามาสนใจศีรษะที่ยังเจ็บอยู่ นางลุกพรวดขึ้นนั่ง
เยว่เฟิงเกอมีสีหน้าตื่นเต้น นางจับมือม่อหลิงหานไว้ไม่ปล่อย “ตอนนี้หม่อมฉันหิวจนตัวลีบแบนหน้าหลังแนบติดกันแล้ว ท่านอ๋องรีบพาหม่อมฉันออกไปเดินเล่นนอกจวนเถอะ ไปหาของอร่อยๆ กิน”
ม่อหลิงหานได้เห็นเยว่เฟิงเกอมีท่าทีตื่นเต้นดีใจ ก็หัวเราะเบาๆ แล้วจึงประคองนางลงจากเตียง พานางออกไปจากจวนอ๋อง
คนทั้งสองนั่งอยู่ในรถม้าจนมาถึงตลาดกลางเมือง เยว่เฟิงเกอรีบร้อนอยากจะะโลงจากรถม้า แต่เพราะม่อหลิงหานเป็ห่วงาแของนาง เขาจึงะโลงไปก่อนแล้วถึงอุ้มตัวนางลงจากรถม้า
คนทั้งสองเพิ่งลงจากรถม้า ก็ถูกราษฎรที่อยู่ที่นั่นสังเกตเห็นทันที
พวกเขาต่างก็จำได้ว่าผู้สูงศักดิ์ทั้งสองคือจั้นอ๋องและชายาจั้นอ๋อง จึงพากันคุกเข่าคารวะ “ถวายบังคมจั้นอ๋องและชายาจั้นอ๋อง”
เยว่เฟิงเกอไม่ชอบให้ใครมาคุกเข่าโขกศีรษะให้ นางรีบขึ้นหน้าไปประคองยายเฒ่าคนหนึ่งให้ลุกขึ้น “พวกเ้ารีบลุกขึ้นเถอะ ไม่ต้องเกรงใจเพียงนี้”
ม่อหลิงหานบอกให้ทุกคนลุกขึ้น บรรดาราษฎรถึงได้พากันลุกขึ้นด้วยความยินดี
พวกเขาต่างก็รู้สึกว่าชายาจั้นอ๋องผู้นี้ไม่เพียงหน้าตางดงาม แต่ยังจิตใจดีอีกด้วย นางไม่มีวางท่าแม้แต่น้อย ทำให้ยิ่งดูเป็คนที่เข้าถึงได้ง่าย
หลังจากเยว่เฟิงเกอส่งรอยยิ้มน้อยๆ ทักทายบรรดาราษฎรแล้วก็เริ่มเดินเที่ยวตลาดกับม่อหลิงหาน
นี่เป็ครั้งแรกที่เยว่เฟิงเกอได้มาเดินเล่นในตลาดของแคว้นเป่ยชวน ทุกครั้งที่นางและม่อหลิงหานไปหยุดยังร้านใดก็จะมีราษฎรเข้ามาแนะนำสินค้าในร้านตนด้วยสีหน้าท่าทางกระตือรือร้น
เยว่เฟิงเกอเดินเที่ยวตลาดอย่างมีความสุขยิ่ง นางมักจะวิ่งไปดูร้านนั้นทีร้านนี้ที
ม่อหลิงหานมองเยว่เฟิงเกอที่กำลังอยู่ในอารามตื่นเต้นดีใจด้วยสายตารักใคร่ ใบหน้าของเขาปรากฏรอยยิ้มออกมา
หลังจากที่คนทั้งสองเดินเล่นจนเหนื่อยแล้ว เยว่เฟิงเกอเองก็หิวไส้กิ่วถึงขั้นหน้าท้องแบนแนบไปกับแผ่นหลังแล้วจริงๆ เมื่อเจอภัตตาคารแห่งหนึ่งที่ดูหรูหรา นางไม่รอช้าลากม่อหลิงหานเข้าไปด้านใน เตรียมพร้อมบุกตะลุยอาหารกลางวัน
ม่อหลิงหานชอบความรู้สึกที่ถูกเยว่เฟิงเกอลากเดินไปเดินมาเช่นนี้ เขาจับมือนางแน่น ไม่อยากปล่อยแม้แต่วินาทีเดียว
เมื่อคนทั้งสองเดินเข้าไปในภัตตาคารหลังหนึ่งแล้ว เสี่ยวเอ้อก็เข้ามาต้อนรับทันที
“คารวะจั้นอ๋องและชายาจั้นอ๋อง ทั้งสองพระองค์เชิญ้าพ่ะย่ะค่ะ” เสี่ยวเอ้อพูดด้วยเสียงดัง ทำเอาแขกคนอื่นๆ ในร้านต่างก็หันมามอง
ทว่า ตอนที่เยว่เฟิงเกอกำลังจะเดินขึ้นไปชั้นสอง นางััได้ว่ามีดวงตาที่ไม่เป็มิตรคู่หนึ่งกำลังจ้องมองมาที่นาง
เมื่อนางหันศีรษะไปมองก็เห็นสตรีนางหนึ่งหน้าตาท่าทางงดงามยิ่งกำลังนั่งกินอาหารอยู่กับชายคนหนึ่งที่ท่าทางดูสูงส่งเหนือโลกีย์
สตรีนางนั้นกำลังใช้สายตาเกลียดชังมองนาง ส่วนชายอีกคนกลับกำลังมองนางด้วยสายตาแฝงแววสนุกสนาน
ม่อหลิงหานเองก็รับรู้ได้ถึงความไม่เป็มิตรนั้น เขามองไปยังโต๊ะที่สองคนนั้นนั่งอยู่ด้วยสายตาเ็า
ทว่า ยามที่สตรีนางนั้นเห็นม่อหลิงหานมองมาทางตนก็หน้าแดงทันที นางมองม่อหลิงหานอย่างมีความหมาย แต่กลับถูกสายตาเ็าเสียดแทงของเขาทำให้ใจนต้องก้มหน้าลงไป
ดูท่านั่นคงจะเป็คนที่หลงรักม่อหลิงหาน เพียงแต่เยว่เฟิงเกอไม่สนใจคนทั้งสอง ทำเพียงติดตามม่อหลิงหานขึ้นไปบนชั้นสอง
เมื่อนั่งเรียบร้อยแล้ว เยว่เฟิงเกอก็กล่าวกับเสี่ยวเอ้อว่า “ยกอาหารที่ดีที่สุดในร้านขึ้นมา และขอสุรากาหนึ่ง”
ม่อหลิงหานขมวดคิ้ว ใบหน้าปรากฏแววไม่พอใจเล็กน้อย “บนศีรษะเ้ายังมีแผลอยู่ ไม่ควรดื่มสุรา”
“ข้าไม่สน ไม่ว่าอย่างไรวันนี้ข้าก็อารมณ์ดี อยากจะดื่มสักสองจอก” เยว่เฟิงเกอไม่เคยดื่มสุราของยุคโบราณมาก่อน กว่าจะมีโอกาสเช่นนี้ได้นับว่าไม่ง่าย อย่างไรก็ต้องลองชิมดู
ครั้งนี้ม่อหลิงหานไม่ได้ขัดขวาง เขากล่าวกับเสี่ยวเอ้อว่า “ในเมื่อพระชายาอยากดื่ม เช่นนั้นก็ยกสุราดอกท้อเมามายของร้านพวกเ้าขึ้นมาเถอะ”
“พ่ะย่ะค่ะ ทั้งสองพระองค์โปรดรอสักครู่ กระหม่อมจะไปนำสุรามาเดี๋ยวนี้” เสี้ยวเอ้อร่าเริงจนหุบปากไม่ลง รีบลงไปหยิบสุรามาทันที
เพียงไม่นาน เสี่ยวเอ้อก็ยกดอกท้อเมามายขึ้นมา
“เชิญท่านทั้งสอง” เมื่อเขายกสุราขึ้นมาให้เยว่เฟิงเกอและม่อหลิงหานแล้วก็ลงไปสั่งอาหารต่อ
เยว่เฟิงเกอดมกลิ่นหอมจากดอกท้อเมามายตรงหน้าที่ปะทะกับจมูก จากนั้นหยิบสุราขึ้นมาหนึ่งจอกแล้วกรอกใส่ปาก
รสสุราไม่ร้อนแรง ทั้งยังมีกลิ่นหอมของดอกไม้ผสมอยู่ ทำให้คนหลงใหลเสียจนเยว่เฟิงเกอเองยังต้องนึกถึงสุราหางไก่ [1] ในยุคปัจจุบัน
“อร่อย” เยว่เฟิงเกอพูดพลางเงยหน้ากรอกสุราลงไปอีก
ม่อหลิงหานรู้ดี สุราดอกท้อนี้มีฤทธิ์ไม่แรง จึงไม่คิดขัดขวางไม่ให้เยว่เฟิงเกอดื่ม
ที่จริงแล้วดอกท้อเมามายของร้านนี้ถือเป็เครื่องดื่มธรรมดาเท่านั้น และมีไว้ให้สตรีดื่มโดยเฉพาะ
เยว่เฟิงเกอชอบรสชาติของดอกท้อเมามายเป็อย่างมาก เพียงไม่นานก็ดื่มติดๆ กันไปสองจอกแล้ว
ทว่า ในตอนที่นางกำลังจะดื่มจอกที่สามนั้น ม่อหลิงหานกลับขัดขวาง “หากชายารักยังดื่มเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าจะเมาแล้ว”
สตรีทั่วไปมักจิบทีละอึกเท่านั้น ไม่เหมือนเยว่เฟิงเกอที่กินทีละจอกเช่นนี้
ถึงแม้ดอกท้อเมามายจะเหมาะเป็เครื่องดื่มสำหรับสตรี แต่จะอย่างไรก็ยังเป็สุราชนิดหนึ่ง หากเป็เช่นนี้ต่อไป เชื่อว่าจอกที่สามก็คงจะทำให้นางเริ่มเมาแล้ว
ทว่า ตัวเยว่เฟิงเกอนี้นับเป็ตำนานที่เล่าขานกันว่าพันจอกไม่เมาเชียวนะ ดังนั้น แค่ดอกท้อเมามายนี้ ต่อให้จะดื่มทั้งกาก็ยังไม่เป็ปัญหา
_____________________________________________________
เชิงอรรถ
[1] สุราหางไก่ (鸡尾酒) หมายถึง ค็อกเทล