ทันใดนั้นเสียงขอความช่วยเหลือของเหนียนยวี่ก็ดังขึ้นเหนียนอีหลานใ เพียงแค่ชั่วขณะหนึ่ง ความ้าแรงกล้าในดวงตาก็มลายหายไปและก้าวไปข้างหน้าด้วยท่าทางกังวล "เย่เอ๋อร์ เหนียนยวี่ไม่ได้ตั้งใจ อย่างไรก็เป็พี่น้องกันทั้งนั้น..."
แม้นในใจอยากจะเห็นมือของเหนียนยวี่ถูกตัด ทว่ายามนี้มีผู้คนมากมายจ้องมองอยู่ภาพลักษณ์ของนางในฐานะพี่สาวผู้แสนดีมิอาจพังทลายลงได้
“พี่น้องอะไรกัน? เป็แค่สาวใช้ชั้นต่ำ เพราะเ้าใจดีเกินไป เอาจริงเอาจังกับนางเสียบ้าง”หนานกงเย่ถอนหายใจอย่างเ็าและเหลือบมองสาวใช้คนอื่นๆ “พวกเ้าคอยดูหลานเปี๋ยวเจี่ยของข้าไว้ อย่าปล่อยให้นางเข้ามาขัดข้า”
หนานกงเย่ออกคำสั่งให้สาวใช้สองสามคนมาคอยสกัดเหนียนอีหลานความวิตกกังวลและกระสับกระส่ายบนใบหน้าก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น เสียงะโเรียกยวี่เอ๋อร์ยวี่เอ๋อร์ดังขึ้นอีก ้าจะก้าวไปข้างหน้า ทว่าก็ไร้หนทางก้าวต่อไปแสดงออกมาอย่างเต็มที่ ไม่ว่าผู้ใดมองมาต่างก็ไม่นึกสงสัยในความรักความผูกพันระหว่างนางที่มีต่อน้องสาวผู้นี้เลยแม้แต่น้อย
เหนียนยวี่ดูการแสดงของนางอย่างเงียบๆความเย็นของโต๊ะหินที่แช่ฝ่ามือนาง กริชแหลมคมในมือของหนานกงเย่ วาดกรีดกรายลงบนโต๊ะทำให้เกิดเสียงแหลมบาดหู แค่ฟังก็ทำให้หนังศีรษะชา
ผู้คนตรงนั้นต่างจ้องมองไปที่กริชเล่มนั้น ค่อยๆเข้าใกล้มือของเหนียนยวี่ที่ถูกจับกดลงบนโต๊ะอย่างช้าๆ ราวกับผ่านไปแค่ชั่ววินาที
หนานกงเยวี่ยวางถ้วยชาลงพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้า ฮูหยินผู้เฒ่าสกุลเหนียนที่อยู่ข้างๆไม่รู้ว่ากำลังพูดอะไรกัน ดูเหมือนทั้งคู่จะไม่เห็นฉากด้านหน้านี้มาก่อน
ไม่ไกลออกไปนัก เงาร่างหนึ่งในชุดขาวคิ้วคู่นั้นภายใต้ผ้าคลุมหน้า ขมวดคิ้วอย่างอดไม่ได้
“ท่านหญิง บ่าวได้ยินมาว่าหนานกงเย่แต่ไหนแต่ไรมามิเคยรู้สึกต้อนรับคุณหนูรองผู้นี้เลยเห็นได้ชัดว่าเป็สตรีนางหนึ่ง ทว่ากลับให้นางแต่งกายเป็บุรุษ ทั้งยังเคยทารุณผู้อื่นตามอำเภอใจครั้งก่อนที่หอสูงไฟไหม้ พวกเขายังใส่ร้ายคุณหนูรองให้มาเป็แพะรับบาป ท่านดูสิพวกเราจะไม่้า...” ผิงเอ๋อร์อยู่ข้างหลังจ้าวอิ้งเสวี่ยกล่าวหยั่งเชิงอย่างระมัดระวัง ในจวนเหนียนแห่งนี้หากสามารถดึงคุณหนูรองเข้ามาเป็พวกได้อีกสักหนึ่งคน นับว่าก็ไม่เลวนัก
เมื่อได้ยินคำว่า "หอสูงไฟไหม้ "สีหน้าและแววตาของจ้าวอิ้งเสวี่ยเห็นได้ชัดว่าเปลี่ยนไปเล็กน้อยเมื่อเห็นว่ากริชในมือของหนานกงเย่กำลังจะตัดมือเหนียนยวี่ จ้าวอิ้งเสวี่ยดูเหมือนจะตัดสินใจอะไรบางอย่างได้นางก้าวเท้าไปข้างหน้า
ทว่าเพียงก้าวเดียว จ้าวอิ้งเสวี่ยก็หยุดฝีเท้าลงเพียงเพราะเสียงเรียกของเหนียนยวี่...
"ช้าก่อน..."
เหนียนยวี่ออกเสียงห้าม ทุกคนต่างชะงักงัน
หนานกงเย่หยุดลงมือไปชั่วครู่หนึ่งจริงๆนี่ทำให้หนานกงเยวี่ยและเหนียนอีหลานขมวดคิ้วราวกับกังวลว่าเหนียนยวี่ผู้นี้จะเล่นลูกไม้อะไรอีก
"ทำไม? อยากขอความเมตตาหรือ?" หนานกงเย่รู้สึกสนุกที่จะได้เห็นท่าทางร้องขอความเมตตาของเหนียนยวี่ รอให้เหนียนยวี่ร้องขอนางก็จะลงมือตอนนั้น สถานการณ์ย่อมแตกต่างกัน แบบนั้นสนุกกว่าเยอะมิใช่หรือ?
เหนียนยวี่จ้องมองหนานกงเย่ "ใช่ข้าอยากร้องขอความเมตตา"
หนานกงเย่เลิกคิ้ว ยกกริชที่อยู่ข้างมือเหนียนยวี่ออก"ได้ เช่นนั้นก็คุกเข่าเลียชาที่หกนี่เสีย ข้าให้โอกาสเ้าร้องขอแล้ว จำไว้เศษถ้วยชาที่ตกแตกก็ต้องใช้ปากเ้าเก็บกวาดมันให้หมด”
ความหมายในคำพูดนี้คือนาง้าให้เหนียนยวี่กลืนเศษถ้วยชาลงไป
นี่...
ผู้คนในเหตุการณ์นั้นอดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลายทว่าความรู้สึกตื่นเต้นในใจที่ได้ดูงิ้วสนุกๆ ก็ยิ่งเพิ่มขึ้นเรื่อยๆเมื่อดูเศษถ้วยชาที่แตกเป็แผ่นๆ คนทั้งคนจะกลืนลงไปได้อย่างไร?
ถึงแม้จะกัดเข้าไป ไม่พ้นเชือดบาดลำคอเกรงว่าคงจะเสียชีวิตแน่
เหนียนยวี่เหลือบมองน้ำชาและถ้วยชาที่หลงเหลืออยู่บนพื้นมุมปากยกยิ้ม สบตาหนานกงเย่ "ดี ข้ามีประโยคหนึ่งอยากจะกล่าวกับคุณหนูหนานกง"
หนานกงเย่ขมวดคิ้ว นางเป็ผู้ที่กำหนดเกมนี้นางจะยอมให้เหนียนยวี่พูดได้อย่างไร?
ไม่รอให้นางปฏิเสธ เหนียนยวี่ก็เข้าใกล้กระซิบข้างหูนางเบาๆไม่กี่คำ
เพียงครู่เดียว ใบหน้าของหนานกงเย่ก็เปลี่ยนไปในทันที
ทั้งหมดอยู่ในสายตาเหนียนอีหลาน แววตานางดำมืดนี่มันเกิดอะไรขึ้น? เหนียนยวี่พูดอะไรกับหนานกงเย่?
หนานกงเย่ไม่ควรล้มเลิกความคิดนี้...ในใจเหนียนอีหลานมีลางสังหรณ์ไม่ดีเล็กน้อย
เหนียนยวี่มองใบหน้าที่เปลี่ยนไปของหนานกงเย่ วางมือลงบนโต๊ะหินอีกครั้งและเอ่ยขึ้นทีละคำ“ข้าจะไม่ขอความเมตตา คุณหนูหนานกง เชิญท่านตัดมือข้าต่อเถิด!”
หนานกงเย่ใเล็กน้อย ราวกับได้สติกลับมา จ้องมองเหนียนยวี่สีหน้าแววตาเปลี่ยนแปลงไป
ทุกคนมองไปที่หนานกงเย่สักพักหนึ่งสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น
เพียงชั่วขณะหนึ่งหนานกงเย่ก็โยนกริชในมือลงบนพื้น “เฮอะ ไม่สนุกเลย ตัดมืออะไร กลิ่นเืคาวๆเช่นนั้น ไม่อยากให้เืกระเซ็นโดนตัวเปิ่นเสี่ยวเจี่ย ซวยจริงๆ เลย!”
ใบหน้าของหนานกงเยวี่ยมืดมนลงเล็กน้อยเหนียนอีหลานเองก็รู้สึกสะอึกไปเช่นกัน หนานกงเย่ล้มเลิกความคิดจริงๆดูเหมือนว่านาง้าจะปล่อยเหนียนยวี่ไปแล้ว
แม้ในใจรู้สึกผิดหวัง ทว่าเพียงครู่หนึ่งเหนียนอีหลานก็รีบหนีออกมาจากสาวใช้ที่ขวางนางอยู่ เร่งรีบเดินเข้าไปหาเหนียนยวี่ จับมือนางที่วางอยู่บนโต๊ะหินขึ้นมากุมไว้ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก "ใช่ๆๆ กลิ่นคาวเืเช่นนั้น ตัดไม่ได้ๆโชคดีแล้ว...ที่ไม่เกิด..."
เหนียนอีหลานพึมพำไม่หยุดลูบบ่าปลอบโยนเหนียนยวี่ “เมื่อกี้ไม่ได้ทำให้เ้าใใช่หรือไม่?"
“ทำให้ท่านพี่เป็ห่วงแล้ว”เหนียนยวี่ยิ้มแย้มขอบคุณ "ยวี่เอ๋อร์เองก็ทำไม่ค่อยถูกนักที่เสียกิริยากับแขก"
"ไม่เป็ไรแล้วตอนนี้ไม่เป็ไรแล้ว" เหนียนอีหลานยิ้มอย่างอ่อนโยนเหนียนยวี่เห็นทุกสิ่งในดวงตาคู่นั้น รู้สึกเย้ยหยันขึ้นมา เกรงว่าในใจเหนียนอีหลานผู้นี้คงจะรู้สึกอย่างอื่น
ผิดหวังใช่หรือไม่?
“หึ กลัวอะไรกับกลิ่นคาวเื?คุณหนูตระกูลหนานกง คาดไม่ถึงเลยว่าจะกลัวเืด้วยหรือ?”
ทันใดนั้นก็มีเสียงแหบแห้ง ไม่น่าฟังดังขึ้นมา
เสียงนั้น...ในใจหนานกงเยวี่ยรู้สึกสั่นสะท้านทันทีเมื่อเงยหน้ามองขึ้น เป็อย่างที่คิด เห็นเงาร่างในชุดขาวนั้น ผู้ที่นางเกลียดชังจนต้องกัดฟันด้วยความแค้นกำลังก้าวเดินมาทางนี้
หนานกงเย่ที่ถูกกล่าวถึงสีหน้าไม่น่ามองขึ้นเล็กน้อย เดิมก็เป็คนที่มีนิสัยเอาแต่ใจเมื่อครู่ที่ถูกเหนียนยวี่ทำให้ยอมจำนน ในใจก็ไม่เป็สุขยามนี้ก็ยิ่งไม่รู้สึกดีเท่าใดนัก “เ้าเป็ใคร?”
คุณหนูจากตระกูลคนอื่นๆ ด้านข้าง ครั้นเห็นร่างในชุดสีขาวนี้ก็ได้แต่แอบคาดเดากันไป
ได้ยินมาว่าในพิธีสมรสวันนั้นของท่านหญิงจ้าวอิ้งเสวี่ย นางสวมชุดสีขาวก้าวผ่านประตูมาและสตรีชุดขาวผ้าคลุมหน้าสีขาวด้านหน้าผู้นี้...
“เห็นท่านหญิงอิ้งเสวี่ยแล้วยังไม่ทักทายทำความเคารพอีก"ผิงเอ๋อร์กล่าวขึ้นเสียงดังก้องกังวาน น้ำเสียงดูน่าเกรงขามเล็กน้อย
ท่านหญิงอิ้งเสวี่ยหรือ? เป็ท่านหญิงอิ้งเสวี่ยอย่างที่คิดไว้จริงงั้นหรือ?
“ขอเข้าพบท่านหญิงอิ้งเสวี่ยเพคะ”เหล่าคุณหนูตระกูลสูงศักดิ์เร่งรีบลุกขึ้นย่อเข่าคำนับด้วยท่าฝูเชินทันทีเหลือเพียงแต่หนานกงเย่
สายตาของจ้าวอิ้งเสวี่ยค่อยๆจ้องมองลงไปที่หนานกงเย่ “เ้าเล่า?”
หนานกงเย่ชะงักไปเล็กน้อยแม้ว่านางจะเอาแต่ใจจนเคยตัว ทว่าก็ยังรู้ถึงความสำคัญของฐานะและตำแหน่งคนตรงหน้านี้ อย่างไรก็เป็ถึงท่านหญิงแห่งราชนิกุล แม้ว่าตระกูลหนานกงของนางจะมีอำนาจเพียงใดนางก็ยังเป็แค่คุณหนูตระกูลขุนนางที่ไม่เคยได้รับแต่งตั้งพระราชทาน
“ขอเข้าพบท่านหญิงอิ้งเสวี่ยเพคะ”หนานกงเย่เคารพโค้งคำนับอย่างไม่เต็มใจ ทว่าในใจก็ลอบคิดถ้านางเป็เพียงสตรีที่เสียโฉม ทว่าก็ยังมีตำแหน่งท่านหญิงที่พอจะให้ภาคภูมิใจได้บ้าง
มุมปากจ้าวอิ้งเสวี่ยยกยิ้มนิด หัวเราะหน่อยมองไปที่เหนียนยวี่ ดวงตาราวกับแฝงนัยลึกซึ้งบางอย่าง หลังจากนั้นก็พูดขึ้นเสียงดัง“วันนี้จวนเหนียนคึกคักกันเยี่ยงนี้เหตุใดถึงไม่มีผู้ใดมาเชิญเปิ่นจวิ้นจู่ที่เรือนหรูอี้เลยเล่า?”
คำถามนี้มุ่งเป้าไปหาหนานกงเยวี่ยอย่างชัดเจน
ั้แ่จ้าวอิ้งเสวี่ยปรากฏตัวสีหน้าของหนานกงเยวี่ยก็ดูไม่ดีเป็อย่างยิ่งเมื่อนึกถึงจ้าวอิ้งเสวี่ยที่ทรมานบุตรชายนาง่นี้หนานกงเยวี่ยก็มิอาจระงับความโกรธเกรี้ยวและเคียดแค้นชิงชังในใจได้ ทว่ายามนี้นางกลับไม่้าทะเลาะกับจ้าวอิ้งเสวี่ยต่อหน้าผู้คนมากมายสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง กล่าวกระซิบกับฮูหยินผู้เฒ่าสกุลเหนียนว่า “ท่านแม่เื่ที่ลูกสะใภ้เพิ่งกล่าวไป ไม่รู้ว่า..."
“เ้ากำลังพูดถึงเหนียนเฉิงหรือ? เขาชอบลานในจวนของข้ามากให้เขาไปพักที่ลานจวนของข้าเถิด” ฮูหยินผู้เฒ่าสกุลเหนียนไม่หลบเลี่ยงทันทีที่กล่าวออกมา ชั่วขณะหนึ่งสีหน้าของหนานกงเยวี่ยก็ยิ่งดูไม่น่ามองราวกับไม่ได้คาดคิดว่าฮูหยินผู้เฒ่าสกุลเหนียนจะเอ่ยเื่นี้ขึ้นมาต่อหน้าผู้คนมากมาย
ฮูหยินผู้เฒ่าสกุลเหนียนกล่าวมาถึงขนาดนั้นจ้าวอิ้งเสวี่ยเองก็ได้ยิน เหนียนเฉิงจะหนีไปไหนได้?
หนานกงเยวี่ยแอบด่าทอฮูหยินผู้เฒ่าสกุลเหนียนว่าเลอะเลือนทว่าสิ่งต่างๆ ก็ไร้หนทางจะแก้ไขได้แล้ว
“เหนียนเฉิงจะไปอยู่ที่ลานจวนฮูหยินผู้เฒ่าสกุลเหนียนหรือ?” จ้าวอิ้งเสวี่ยหรี่ตา ไม่นานก็เข้าใจความคิดของหนานกงเยวี่ยทันที"ฮูหยินผู้เฒ่า เื่นี้คงจะไม่ได้"
ฮูหยินผู้เฒ่าสกุลเหนียนจ้องมองจ้าวอิ้งเสวี่ย“เ้าเป็ภรรยาของเหนียนเฉิงใช่หรือไม่?”
“ใช่แล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าสกุลเหนียน...ไม่ใช่สิท่านย่า อิ้งเสวี่ยทักทายท่านย่า”จ้าวอิ้งเสวี่ยย่อเข่าโค้งคำนับฮูหยินผู้เฒ่าสกุลเหนียนด้วยท่าฝูเชินอย่างอ่อนโยนและเป็มิตรซึ่งทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าสกุลเหนียนชื่นชอบยิ่งนัก นางโบกมือให้จ้าวอิ้งเสวี่ย “มา มานี่เสียพวกเ้าแต่งงานกันมาระยะหนึ่งแล้ว เหล่าผอ[1]จริงๆ ก็กลับมาจากลานฉีชานเพื่อมางานสมรสของพวกเ้าโดยเฉพาะทว่าใน่สองสามวันนั้น ท่านหมอบอกว่าสุขภาพร่างกายข้าไม่ค่อยดีนักเหนียนเย่าก็ให้ข้าดูแลตัวเองดีๆ นานขนาดนี้แล้ว ต้องคอยอยู่แต่ในลานจวนเล็กๆของข้า วันนี้โชคดีที่เหนียนเย่าไม่อยู่ ข้าจึงแอบออกมาได้ อิ้งเสวี่ยใช่หรือไม่?มาให้ย่าดูเ้าหน่อยสิ”
เหนียนยวี่มองจ้าวอิ้งเสวี่ยเดินเข้าไปหาฮูหยินผู้เฒ่าสกุลเหนียนนางรู้ดีว่าเื่ของเหนียนเฉิง เหนียนเย่ายังปิดบังฮูหยินผู้เฒ่ามาตลอด
ทว่าวันนี้จ้าวอิ้งเสวี่ยและฮูหยินผู้เฒ่าสกุลเหนียนพบหน้ากันแล้ว เกรงว่าบางเื่คงปิดต่อไปอีกไม่ได้!
ฮูหยินผู้เฒ่าสกุลเหนียนจับมือจ้าวอิ้งเสวี่ยเห็นาแบนนั้น ขมวดคิ้วและเอ่ยถามว่า “มือนี้...เกิดอะไรขึ้น? อยู่ในบ้านตนเองดีๆเหตุใดต้องใส่ผ้าคลุมหน้าด้วย?”
[1]เหล่าผอ คือคำพูดแทนตัวเองของหญิงชรา