หอน้ำชาที่คนผู้นั้นเจาะจงให้มามีการตกแต่งที่งดงามประณีตนักเพิ่งเข้าไปในหอก็มีกลิ่นหอมหนักๆ ของชาตลบอบอวลไปทั่วหอชวนให้กระปรี้กระเปร่าเสียอย่างยิ่ง นี่แค่ได้กลิ่น หากได้ดื่มชาจะชื่นใจเพียงใด
หลิ่วจิ้งกำลังคิดอยู่เช่นนี้ชายผู้นั้นก็ชี้ไปยังพื้นที่ที่กั้นเอาไว้เป็สัดส่วนทางด้านข้างสอบถามนางอย่างอ่อนน้อมว่าจะไปนั่งที่นั่นได้หรือไม่
หลิ่วจิ้งหยุดเดินมองตามที่เขาชี้ส่วนที่กั้นออกไปนี้มีพลูด่างเลื้อยเกาะอยู่เต็มไปหมดพื้นที่สีเขียวครึ้มนี้นำพลังมาสู้จิตใจของนาง จึงพยักหน้ารับอย่างพอใจก้าวเท้าเข้าไปนั่งลงบนเก้าอี้ในพื้นที่กั้นนั้น โดยมีอวี้จิ่นตามเข้าไปยืนอยู่ข้างๆ
“ข้าน้อยหลานตง ขอบคุณที่ฮูหยินมาด้วยโดยไม่ปฏิเสธ”ชายผู้นั้นผลักรายการอาหารมาตรงหน้าหลิ่วจิ้งขณะแนะนำตนเอง เขาชี้ไปที่รายการอาหารด้วยท่าทีสุภาพพลางกล่าวว่า“ไม่ทราบว่าฮูหยินชอบดื่มชาชนิดใด ฮูหยินโปรดสั่งขอรับ”
หลิ่วจิ้งช้อนตาขึ้นนางเองก็ไม่ค่อยคุ้นชินที่ถูกคนปฏิบัติกับนางอย่างสุภาพอ่อนน้อมเช่นที่เขาทำนั่นเพราะใน่เวลาที่ผ่านมานางไม่ได้พบเห็นมารยาทเช่นนี้มานานมากแล้ว
สมองนางนึกถึงความทรงจำที่เคยผ่านมา บิดามารดารักใคร่ห่วงใยพี่ชายเอาอกเอาใจ ทั้งคนผู้นั้นก็เคยรักใคร่นางอย่างจริงใจหนักหนาหากไม่เกิดเื่พลิกผันครานั้น นางคงยังมีชีวิตอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่เปี่ยมไปด้วยความรักใคร่และมีสมบัติผู้ดีทุกกระเบียดนิ้วกระมัง
นางมาแต่งงานแทนเพื่อเอาชีวิตรอดจากความตายจับพลัดจับผลูเข้ามาอยู่ในจวนแม่ทัพ บัดนี้แน่ใจแล้วว่าหั่วอี้เป็คนมากรักความรักแท้จริงจากภายในจิตใจที่นาง้านั้น หั่วอี้ให้นางไม่ได้แล้วฮูหยินในแต่ละเรือนคอยห้ำหั่นกันทั้งทางลับทางแจ้ง นึกอยากหลบก็ไม่มีที่ให้หลบนางหลงลืมไปนานแล้วว่ารสชาติของการได้รับความรักใคร่ห่วงใยเป็เช่นใด
“ฮูหยิน ฮูหยินขอรับ”เสียงร้องเรียกของหลานตงเรียกความคิดที่ล่องลอยไปไกลของหลิ่วจิ้งกลับมานางยิ้มขออภัยกับหลานตงก่อนหันกลับมามองรายการอาหาร
ในรายการอาหารมีชาชนิดหนึ่งชื่อว่า ‘จรรยาสุภาพบุรุษ’ ทำให้นางสนใจนัก จึงชี้นิ้วไปตรงรายการนั้นพลางเอียงหัวมองหลานตงส่งสายตาเป็ทีสอบถามเขา
หลานตงยิ้มอย่างดูมีเลศนัยคราหนึ่ง กวักมือเรียกเสี่ยวเอ้อร์“เสี่ยวเอ้อร์ เอาจรรยาสุภาพบุรุษมาหนึ่งกา”
เสี่ยวเอ้อร์มองหลานตง แล้วหันมองหลิ่วจิ้ง “นายท่านแน่ใจ…”
หลานตงพยักหน้าเป็การยืนยันอีกครั้งหลิ่วจิ้งเห็นท่าทีของพวกเขาสองคน ยิ่งรู้สึกประหลาดใจว่าชานี้มีความพิเศษอย่างไร
ในระหว่างที่รอน้ำชา หลานตงกลับมิได้เอ่ยเข้าประเด็นไม่เอ่ยถึงเป้าหมายที่เขาเชิญหลิ่วจิ้งมาสนทนาด้วย หลิ่วจิ้งเองก็ยังคงนิ่งคอยดู มิได้เอ่ยปากถาม
ไม่นานนักเสี่ยวเอ้อร์ก็ยกน้ำชามาจัดวางบนโต๊ะ เขาเอื้อมมือไปเปิดฝากาน้ำชาทันใดนั้นกลิ่นหอมของชาก็ฟุ้งกระจายออกมา ในหวานมีขม ในขมมีหวานเป็ความรู้สึกแรกที่หลิ่วจิ้งได้รับจากชาชนิดนี้
“เชิญนายท่านตรวจสอบชาขอรับ”
หลานตงสูดกลิ่นอย่างพินิจพิเคราะห์หนหนึ่ง ก่อนเอ่ยยิ้มๆ ว่า“ไม่ผิดชากู่ติ่งชั้นเลิศผสานกับกลิ่นหอมสดชื่นของกุหลาบยามแรกวสันต์ล้วนอยู่ภายในนี้แล้ว”
หลังจากได้รับคำยืนยันจากหลานตง เสี่ยวเอ้อร์ก็ปิดฝากากลับไปเขาเทน้ำแรกในกาทิ้งไปแล้วค่อยเติมน้ำร้อนเข้าไปใหม่ รอเวลาครึ่งเค่อ [1] เป็อันชงชาเสร็จ ค่อยรินให้หลานตงและหลิ่วจิ้งคนละถ้วยจากนั้นเสี่ยวเอ้อร์จึงถอยออกไป
“เชิญฮูหยินดื่มตอนร้อนๆ ขอรับ”หลานตงยกถ้วยชาขึ้นด้วยท่าทีสง่างาม เขาสูดหายใจลึกๆ ครั้งหนึ่งเพื่อดมกลิ่มหอมของชาก่อนค่อยดื่มชาลงไป
หลิ่วจิ้งทำตามหลานตงด้วยความอยากรู้จึงดมกลิ่นก่อนค่อยดื่มเช่นกัน
เมื่อชาเข้าปาก ทีแรกคิ้วทั้งสองของหลิ่วจิ้งคลายตัวแต่จากนั้นก็ขมวดแน่นเข้ามา แล้วกลับกลายเป็สีหน้าผ่อนคลายอีกหน
หลานตงนิ่งเงียบ มองสีหน้าอาการของหลิ่วจิ้งอยู่ในสายตาหางตาเผยรอยยิ้มบางๆ
อวี้จิ่นเองก็มองหลิ่วจิ้งด้วยความฉงนไม่รู้เหตุใดเมื่อชาถ้วยหนึ่งเข้าปากไปแล้วจึงทำให้หลิ่วจิ้งมีสีหน้าเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาเช่นนี้
เสพสุขผู้เดียวมิสู้เสพสุขถ้วนหน้าเป็คำกล่าวที่หลิ่วจิ้งนึกได้ในยามนี้ นางจึงรินชาถ้วยหนึ่งแล้วส่งให้อวี้จิ่นด้วยตนเอง
“อวี้จิ่น เ้าก็ลองชิมสิ”
อวี้จิ่นใช้สองมือรับมาด้วยความยินดีที่ได้รับความเมตตา นางเอาแต่ยืนนิ่งอยู่กับที่พักหนึ่งหลงลืมเื่ที่หลิ่วจิ้งมีน้ำใจเชื้อเชิญให้นางดื่มชาไปชั่วขณะ
“ดื่มสิ มัวเหม่ออยู่ทำสิ่งใด หากเย็นแล้วจะดื่มไม่ได้รสชานะ”หลิ่วจิ้งยิ้มพลางบอกให้อีกฝ่ายรีบดื่ม
อวี้จิ่นซาบซึ้งนัก นางย่อเข่าลงน้อยๆ ให้หลิ่วจิ้งเป็การคำนับก่อนยกถ้วยชาขึ้นบรรจงดื่ม
อวี้จิ่นลืมไปว่าทั้งหลานตงและหลิ่วจิ้งล้วนจิบน้ำชาคำน้อยๆ ดั่งสุภาพบุรุษและกุลสตรีใช่ว่าซดคำโตเหมือนโคดื่มน้ำอย่างที่นางทำ ยามรสขมประดังเข้าที่ปลายลิ้นนางจึงมิใช่แค่ขมวดคิ้วเช่นที่หลิ่วจิ้งเป็ แต่ขมจนน้ำตาแทบจะไหลออกมาทีเดียว
“ฮูหยิน” อวี้จิ่นหน้าตาเจื่อน มองหลิ่วจิ้งด้วยสายตาไม่อยากเชื่อชารสชาติย่ำแย่เพียงนี้ยังมีคนเสียเงินซื้อดื่ม นางไม่มีทางเข้าใจได้เลยจริงๆ
“เอ๋” ทันใดนั้นสีหน้าขมขื่นของอวี้จิ่นก็เปลี่ยนเป็สีหน้าประหลาดใจ“หวานเ้าค่ะฮูหยิน”
ทว่าสักพักอวี้จิ่นก็ไม่แน่ใจขึ้นมาอีก จึงหันมองหลิ่วจิ้งด้วยสายตาฉงน
“เหอๆๆ” หลิ่วจิ้งเอาผ้าเช็ดหน้าปิดปากหัวเราะเบาๆสีหน้าของอวี้จิ่นก็ช่างสลับซับซ้อนเหลือทน ทำเอานางอดหัวเราะออกมามิได้
หลานตงมองสตรีที่ดูเปิดเผยตรงไปตรงมาผู้นี้ พริบตานั้นเขามองจนเหม่อทีเดียว
ที่มาของชาที่มีนามว่าจรรยาสุภาพบุรุษนี้มาจากมารยาทของสุภาพบุรุษผู้สง่างามที่ยามพบเจอกับเื่ใดก็มักจะคารวะกันก่อนค่อยลงมือเช่นเดียวกับยามชาเข้าปากหวานหอมถูกปาก แต่ในขณะที่ยังคงัักับรสนั้นอยู่ก็เปลี่ยนมาเป็รสขมในทันที จากนั้นจึงค่อยๆ เปลี่ยนกลับมาเป็รสหวานอีกครั้ง
ซึ่งนี่ก็เป็สาเหตุที่คิวของหลิ่วจิ้งผ่อนคลายในตอนแรกที่ดื่มชาต่อมาพลันขมวดเข้า จากนั้นก็กลับมามีสีหน้าผ่อนคลายอีกหน
อวี้จิ่นดื่มไปจนหมดในคำเดียว รสชาติที่นางได้รับย่อมมากกว่าหลิ่วจิ้งมากมายนัก
เมื่อ่เวลาที่มีเื่นั้นเื่นี้เข้ามาไม่หยุดผ่านไปแล้วบรรยากาศในพื้นที่กั้นซึ่งพวกเขานั่งอยู่ก็ผ่อนคลายลงหลิ่วจิ้งยกชาขึ้นมาบรรจงลิ้มรสอีกครั้งส่วนหลานตงก็มีสีหน้าอยากเอื้อนแต่ไม่กล้าเอ่ย
หลิ่วจิ้งมองเห็นอยู่ในสายตา จึงช่วยเขาเอ่ยปาก
“ขอถามคุณชายหลาน เชิญข้ามาที่นี่มีเื่ใดจะสนทนาเ้าคะ”
หลานตงส่งรอยยิ้มซาบซึ้งใจให้หลิ่วจิ้ง สตรีผู้นี้ไม่ธรรมดาจริงๆสามารถอ่านใจคนออก
“ฮูหยิน ข้าน้อยเสียมารยาท อยากขอชมสร้อยข้อมือที่ท่านสวมอยู่สักหน่อยขอรับ”หลานตงเอ่ยสาเหตุที่เขาเชื้อเชิญนางมา
ที่แท้มาด้วยเื่สร้อยข้อมือจริงๆ ด้วย หลิ่วจิ้งคิดอยู่ในใจแต่ในเบื้องหน้ากลับเอ่ยกับหลานตงโดยปราศจากสีหน้าอารมณ์ว่า“คุณชายหลานโปรดบอกกล่าวให้ชัดเจนว่าสร้อยข้อมือนี้มีความพิเศษใด? หาไม่แล้วคุณชายหลานก็คงไม่ตามหามันอย่างยากลำบาก”
ในหอหรงซินเมื่อครู่หลิ่วจิ้งฟังความร้อนรนของเขาออกจึงสอบถามไปดังนี้ หากหลานตงสามารถบอกมาอย่างเปิดเผยนางย่อมให้ความร่วมมือให้เขาดูสร้อย
“เื่นี้หรือ?” ความลังเลปรากฏอยู่บนใบหน้าของหลานตงเนิ่นนานไม่เอ่ยปาก
“คุณชายหลานไม่สะดวกจะพูด ก็ไม่จำเป็ต้องพูดหรอก”หลิ่วจิ้งเองก็ไม่ใช่คนที่มีความสุขกับการบีบบังคับใจคนนางย่อมรู้ว่าบางเื่สำหรับบางคน อาจเป็สิ่งซ่อนเร้นที่ยากเอ่ยคำ เห็นแก่ที่เขาก็ยังนับว่ามีมารยาทกับนางอย่างมากเช่นนั้นก็ให้เขาดูสักหน่อยเถิด
หลิ่วจิ้งเปลี่ยนใจ นางค่อยๆ ถอดสร้อยข้อมือที่ร้อยต่อกับแหวนออกยื่นให้ที่มือหลานตง
หลานตงส่งสายตาขอบคุณให้นางคราหนึ่ง ปากก็ละล่ำละลักเอ่ยคำขอบคุณอยู่ไม่หยุดหลังจากขอบคุณเสร็จแล้วจึงเอื้อมรับสร้อยข้อมือเส้นนั้นมา
หลิ่วจิ้งสังเกตหลานตงอย่างละเอียด เห็นเขาประคองชุดเครื่องประดับนั้นอยู่ในมืออย่างระมัดระวังประหนึ่งได้รับสมบัติล้ำค่าเขาพินิจพิเคราะห์สร้อยข้อมืออย่างละเอียดรอบหนึ่งก่อนจะหยิบแหวนที่ร้อยต่อกันขึ้นมาหันหน้าใส่แสงอาทิตย์เมื่อแหวนวงนั้นต้องแสงอาทิตย์แล้วค่อยๆ เปลี่ยนสีไปดวงตาของหลานตงพลันมีแววตื่นเต้นยินดี เขาดูแล้วก็ดูอีก จากนั้นวางสร้อยข้อมือลงในมือตนอย่างแ่เบา
“ฮูหยินขอรับ ขายสร้อยข้อมือนี้ให้ข้าได้หรือไม่ฮูหยินบอกราคามาได้เลย ขอเพียงข้ามีพอ จะไม่ให้ฮูหยินเสียเปรียบอย่างแน่นอนขอรับ”หลานตงเอ่ยปากอย่างระมัดระวังยิ่ง อากัปกิริยาเช่นนี้ทำให้หลิ่วจิ้งใจอ่อนสร้อยข้อมือเส้นนี้จะต้องเป็ของล้ำค่าแสนพิเศษสำหรับเขาแน่นอนจึงทำให้คุณชายที่แสนสง่างามผู้หนึ่งเอ่ยปากขอซื้อมันจากนางด้วยท่าทีอ่อนน้อมเพียงนี้หลิ่วจิ้งจึงเกิดความคิดขึ้นมาว่าอยากช่วยให้เขาสมหวัง
_____________________________
เชิงอรรถ
[1] เค่อ หนึ่งเค่อเป็่เวลาสิบห้านาที
