ทุกคนต่างสะดุ้งใกับเสียงเคาะโต๊ะโป๊กๆ จนพากันหันไปมองต้นเหตุที่ทำลายเสียงพิณอันสูงส่งสง่างามของไป๋อี้เฮ่าด้วยสายตาขุ่นเคือง แต่พอเห็นใบหน้าหล่อเหลายิ้มพรายในท่วงท่าเกียจคร้าน จึงตระหนักได้ว่าที่แท้ก็เป็การก่อกวนของเซวียนอ๋อง ครานี้ใครจะกล้าพูดต่อว่าอันใดเล่า จากใบหน้าขุ่นเคืองพลันเปลี่ยนมาเป็รอยยิ้มเอาใจแทบไม่ทัน
รูปการณ์ปัจจุบันภายในวังหลวงไม่เหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว ไม่ว่าใครต่างก็ไม่กล้าล่วงเกินเซวียนอ๋องซึ่งๆ หน้า เพราะเขาเป็พระโอรสคนโปรดของจักรพรรดิจงเหวินตี้
เมื่อก่อนจักรพรรดิจงเหวินตี้ทรงมีพระโอรสที่เติบโตเป็ผู้ใหญ่แล้วเพียงสองพระองค์ ได้แก่องค์ชายใหญ่ ฉู่อ๋องนามเฟิงเจวี๋ยเสวียน องค์ชายสาม เยี่ยนอ๋องนามเฟิงเจวี๋ยเหล่ย มีเพียงสองพระองค์นี้เท่านั้นที่มีอำนาจในการแข่งขันเพื่อสืบต่อราชบัลลังก์มากที่สุด
พระมารดาของฉู่อ๋องคือพระสนมซูกุ้ยเฟย เป็ผู้เดียวในวังหลังที่มีอำนาจสูสีกับฮองเฮา แม้ว่าตระกูลฝั่งมารดาจะไม่อยู่ในสี่สกุลชั้นกงผู้สูงศักดิ์ แต่เนื่องจากซูกุ้ยเฟยเป็ที่โปรดปรานในวังหลัง สกุลซูจึงค่อยๆ มีชื่อเสียงขึ้นมาในราชสำนัก และมีศักยภาพไม่ด้อยไปกว่าสกุลกงผู้สูงศักดิ์ทั้งสี่ตระกูล นอกจากนี้องค์ชายใหญ่ยังเป็พระโอรสองค์โต อุปนิสัยอ่อนโยน มีมารยาท คนที่ชมชอบเขามีมากมาย แม้ว่าจะไม่ได้ออกหน้าสนับสนุนอย่างเปิดเผย แต่จะมากหรือน้อยในก็มีการแสดงทีท่าให้รับรู้เป็การส่วนตัว
สถานการณ์ของเยี่ยนอ๋องต่างกับฉู่อ๋อง พระมารดาของเขาเป็น้องสาวของฮองเฮา ดังนั้นหลังจากพระมารดาสิ้นพระชนม์ เขาก็ได้รับการเลี้ยงดูจากฮองเฮา มีอำนาจจากจวนติ้งกั๋วกงสนับสนุนอยู่เื้ั เมื่อได้ทั้งอำนาจจากจวนติ้งกั๋วกงและอำนาจจากฮองเฮา ยังมีไทเฮาที่อยู่หลังม่านอีกพระองค์ ไม่ว่าใครก็ไม่กล้าดูเบา หากจะกล่าวในด้านอำนาจที่แท้จริงแล้วนับว่าอยู่ในลำดับหนึ่ง
หากเปรียบเทียบกันแล้วเยี่ยนอ๋องมีความสุขุมและสุภาพอ่อนโยนกว่า ฉู่อ๋องกลับดูเหมือนไม่มีความปรารถนาอะไรมาก ชมชอบในตำราบทกวี มีชื่อเสียงความสามารถเป็ที่ประจักษ์ เรียกได้ว่ามีความเก่งกาจสูสีกับเยี่ยนอ๋อง ประหนึ่งจิวยี่และขงเบ้งแห่งยุคสมัยทีเดียว
หากไม่มีสิ่งใดผิดพลาด ราชบัลลังก์ย่อมอยู่ไม่ไกลจากองค์ชายทั้งสองพระองค์นี้
ส่วนเซวียนอ๋องเฟิงเจวี๋ยหร่านที่เพิ่งมาปรากฏตัวอยู่ในวังหลวงแห่งนี้ แม้ว่าจะได้รับความโปรดปรานจากจักรพรรดิจงเหวินตี้ แต่ทุกคนต่างมองเขาเป็เพียงองค์ชายที่มีบรรดาศักดิ์อ๋องธรรมดาพระองค์หนึ่งเท่านั้น
การขาดมารดาเป็าแลึกของเขา พระสนมเสียนเฟยที่เล่าลือกันว่างดงามล้ำเลิศเป็เพียงบุตรีของสกุลต่ำต้อย แม้ว่าบุตรสาวจะได้ชื่อว่าเป็พระสนมคนโปรดของจักรพรรดิ แต่ก็ไม่มีทางขยับฐานะทางบ้านมารดาให้สูงขึ้นได้ ดังนั้นจึงมีความเสี่ยงอย่างยิ่งหากจะใช้งานในตำแหน่งสำคัญ เมื่อไม่มีตระกูลทางฝั่งมารดาที่มีอำนาจเข้มแข็งพอเป็กำลังสนับสนุนในราชสำนัก แล้วจะสามารถเผยตัวออกมาและแสดงฝีไม้ลายมือย่างเต็มที่ได้อย่างไร
นอกจากนี้ยังมีนิสัยเอาแต่ใจอย่างร้ายกาจ เพิ่งกลับมาได้ไม่นานชื่อเสียงด้านความเ้าชู้ก็ลือกระฉ่อน เขาเข้าๆ ออกๆ หอนางโลมที่มีชื่อเสียงที่สุดในเมืองหลวงเป็ว่าเล่น เคยรับหญิงคณิกาที่งดงามที่สุดคนหนึ่งเข้ามาอยู่ในตำหนัก จนทำให้จักรพรรดิจงเหวินตี้กริ้วจัดสั่งให้กักบริเวณครึ่งเดือน แต่หลังจากนั้นก็ยังไม่เห็นว่าเขาจะเปลี่ยนแปลงนิสัย เดี๋ยวก็ก่อเื่ในเชิงชู้สาวขึ้นมาอีกเป็พักๆ
เด็กหนุ่มอายุน้อยเท่านี้กลับมีแต่ ‘ชื่อเสีย’ ในทางเสน่หาชู้สาว ทำให้ผู้พบเห็นรู้สึกเสียดายใบหน้าหล่อเหลาอย่างร้ายกาจของเขาจริงๆ คนหนุ่มที่ทั้งหล่อเหลาและมีฐานะสูงส่งเช่นนี้ แต่ไม่มีความคิดก้าวหน้า ขลุกอยู่แต่ในหอนางโลม แล้วจะไม่ให้คนทอดถอนใจด้วยความเสียดายได้อย่างไร
ฮองเฮาเบ้พระโอษฐ์ด้วยความไม่พอใจอยู่เงียบๆ เคาะนิ้วบนโต๊ะสองสามครั้งเป็สัญญาณบอกใบ้กับนางกำนัลที่ยืนอยู่ข้างพระวรกาย หลังจากนั้นก็ลุกขึ้น ขันทีและนางกำนัลคนอื่นๆ ต่างเข้ามาประคองพระนางให้เสด็จออกไปจากที่นั่น
หลังจากที่ฮองเฮาเสด็จไปไกลแล้ว นางกำนัลคนหนึ่งก็ก้าวเข้าไปแสดงตนต่อหน้าธารกำนัล ประกาศเสียงดัง “ฮองเฮาทรงมีพระราชเสาวนีย์ เชิญคุณหนูที่มีรายนามต่อไปนี้เข้าเฝ้าที่พระตำหนักเสียอวิ๋น” หลังกล่าวจบก็หยิบบันทึกรายนามแผ่นหนึ่งออกมาประกาศรายชื่อของสตรีสิบกว่าคน
ในนั้นมีชื่อของโม่เสวี่ยถงอยู่ด้วย
ชื่อของตนเองไปปรากฏอยู่ในบันทึกรายนามของฮองเฮาได้อย่างไร โม่เสวี่ยถงเงยหน้าขึ้นด้วยสีหน้าตื่นตะลึง แต่นางััได้ว่าโม่เสวี่ยิ่ที่อยู่ด้านข้างมีสีหน้ากระหยิ่มยิ้มย่อง หัวคิ้วพลันมุ่นขมวดเล็กน้อย คิดในใจว่าเื่นี้ต้องมีเงื่อนงำ ชาติที่แล้วพอถูกทำให้อับอายนางก็รีบปลีกตัวกลับไป มิได้เข้าร่วมในงานเลี้ยงนี้ จึงไม่ทราบว่าภายในงานมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง เห็นสตรีสิบกว่าคนที่เดินตามกันออกมาล้วนมาจากตำแหน่งที่ค่อนข้างไกลจากพระที่นั่งของฮองเฮาเช่นเดียวกันกับตนเอง
ตำแหน่งที่นั่งในวังหลวงถูกจัดวางอย่างเคร่งครัดตามลำดับฐานะ จึงอธิบายได้ว่าบิดาของสตรีเหล่านี้มีตำแหน่งขุนนางที่ไม่แตกต่างกับบิดาของตนมากนัก ไม่มีธิดาภรรยาเอกของขุนนางขั้นสองขั้นสามขึ้นไปรวมอยู่ในนั้น
“คุณหนูสามโม่ใช่หรือไม่ เชิญตามบ่าวไปเข้าเฝ้าฮองเฮาด้วยเ้าค่ะ” ขณะที่นางกำลังครุ่นคิด ก็มีนางกำนัลคนหนึ่งเข้ามาคำนับด้วยความนอบน้อม
ไม่ว่าจะนึกแคลงใจอย่างไร เวลานี้นางต้องลุกขึ้นตามนางกำนัลผู้นั้นไป
พระตำหนักเสียอวิ๋นไม่ใช่พระตำหนักของฮองเฮา เท่าที่อาศัยจากความทรงจำที่มีอยู่น้อยนิดของโม่เสวี่ยถง ที่นั่นไม่มีพระสนมพำนักอยู่ ฮองเฮาทรงอยู่ในงานเลี้ยงชัดๆ หาก้าพบคน เพียงเรียกออกไปพบที่นี่ก็ได้มิใช่หรือ ไฉนจึงต้องให้ไปพระตำหนักเสียอวิ๋น แม้ได้ยินว่างานเลี้ยงแบบนี้จัดขึ้นมาเพื่อหาคู่ครองให้เหล่าองค์ชาย แต่ดูจากสถานการณ์ตอนนี้ หญิงสาวที่ถูกคัดเลือกกลับมิใช่สตรีจากตระกูลที่มีอำนาจสูงส่ง
ด้วยสถานะขององค์ชายแม้ว่าจะประสูติในพระสนมชายา ก็ไม่อาจเลือกสตรีที่มีศักดิ์ฐานะต่ำเกินไปเช่นนี้
ยิ่งไปกว่านั้นด้วยพระเกียรติยศสูงส่งของฮองเฮา จะเลือกชายารองหรืออนุชายาให้เหล่าองค์ชาย ไฉนจะต้องเอาใจใส่มากมายถึงเพียงนี้
ทันใดนั้นก็เกิดแสงสว่างวาบเข้ามาในหัว ฟันเล็กๆ ของโม่เสวี่ยถงขบริมฝีปากล่างแน่นหนักโดยไม่รู้ตัว
หากฮองเฮามิได้ทรงคัดเลือกสตรีให้เหล่าองค์ชายเล่า เช่นนั้น... ก็เป็การคัดเลือกให้จักรพรรดิ?
การเป็พระอัครมเหสีของจักรพรรดิจะต้องเพียบพร้อมทั้งรูปโฉมและคุณธรรมความสามารถ แล้วจำเป็ต้องมีจิตใจกว้างขวางในการจัดการวังหลัง ยิ่งฮองเฮาไม่มีพระโอรส ก็ยิ่งจำเป็ต้องขยายขนาดวังหลัง การเฟ้นหาพระสนมให้จักรพรรดิก็เป็เื่สมด้วยเหตุผล แต่ก็ไม่อาจให้พระสนมที่เข้ามาใหม่สามารถ่ชิงราชลัญจกรหงส์ หรือมีอำนาจคุกคามต่อสถานะของพระนางได้ ดังนั้นจึงคัดเลือกแต่ธิดาภรรยาเอกที่มีศักดิ์สกุลไม่สูงส่งมากนัก
หากเป็เช่นนี้ การกระทำของฮองเฮาก็สอดคล้องด้วยเหตุผล บิดาของนางเป็ขุนนางขั้นห้า ไม่นับว่าเป็ตำแหน่งสูงส่งแต่อย่างใด ไม่มีฐานอำนาจเก่าในวังหลังมาก่อน แม้ว่าภายหน้าจะได้รับความโปรดปรานจากฝ่าาเพียงใด พระสนมที่ไร้อำนาจบารมีเพียงไม่กี่คนมิได้อยู่ในสายพระเนตรอันสูงส่งของฮองเฮาแม้แต่น้อย
มิน่าเล่า ก่อนหน้านี้ภายนอกจึงมีข่าวลือว่าจะมีการคัดเลือกชายาให้องค์ชาย ก็คงจะใช้งานนี้บังหน้าสมอ้างเท่านั้น แม้ว่าฮองเฮาจะทรงเป็ผู้ควบคุมหกตำหนัก แต่องค์ชายใหญ่กลับมิใช่พระโอรสที่เป็เืเนื้อเชื้อไขของพระองค์อย่างแท้จริง
หากตนเดาไม่ผิด ที่พระตำหนักเสียอวิ๋นจะต้องได้พบจักรพรรดิจงเหวินตี้ด้วยเป็แน่
หากจักรพรรดิทรงต้องพระทัย สกุลที่ไร้อำนาจบารมีก็จำเป็ต้องพึ่งพาฮองเฮา ในที่สุดก็ย่อมจะตกเป็หมากให้สตรีสูงศักดิ์ผู้นี้ใช้เป็เครื่องมือในาวังหลัง
มิน่าเล่าเมื่อครู่โม่เสวี่ยิ่จึงมีสีหน้าลำพองใจเยี่ยงนั้น โม่เสวี่ยถงถึงขั้นสังเกตเห็นมุมปากที่ยกสูงขึ้นของนาง หากตนเองถูกคัดเลือกเข้าวังจริงๆ ก็จะกลายเป็เม็ดหมากของผู้อื่น จวนโม่ก็จะมีชื่อเสียงขึ้นมา โม่เสวี่ยิ่ก็จะอาศัยใบบุญของตนเอง เมื่อน้ำขึ้นเรือย่อมสูงตาม หลังจากนั้นก็หาวิธีให้อี๋เหนียงได้ยกฐานะเป็ภรรยาเอก ถึงเวลานั้นตนเองซึ่งอยู่ในวังหลังก็ยากจะยื่นมือเข้าไปเกี่ยวข้องได้ ได้แต่มองสองแม่ลูกคู่นี้ยืนยิ้มอย่างลำพองใจไปตลอดชีวิต
นางไม่ยอมให้เื่แบบนี้เกิดขึ้นอย่างเด็ดขาด!
ดวงตาสุกใสมองไปที่พุ่มไม้ข้างทาง ขบกรามแน่น มองคนรอบๆ ไม่มีผู้ใดจับตามาที่นาง จึงยกเท้าขึ้นหมายจะเหยียบชายกระโปรงของตนเอง หากเท้าย่ำลงไปครานี้ นางก็จะล้มลงฟาดกับพุ่มไม้ ตนเองย่อมอยู่ในสภาพอเนจอนาถหรืออาจจะได้รับาเ็ แต่มีเพียงวิธีนี้เท่านั้นที่จะช่วยให้ตนเองรอดพ้นได้
“คุณหนูผู้นี้มาจากที่ใด หน้าตาดูเหมือนคนเคยรู้จักกันมาก่อน” เสียงนุ่มนวลลอยมาจากอีกด้านหนึ่ง นางกำนัลสองคนปรากฏตัวขึ้นที่ทางแยก หญิงงามวัยประมาณยี่สิบกว่าปีคนหนึ่งสวมอาภรณ์สีเรียบ ยากจะปิดบังซ่อนเร้นรัศมีสูงส่งที่แผ่ออกมารอบด้าน ยืนสงบนิ่งอยู่ตรงกลาง ดูเรียบง่ายผ่องพิสุทธิ์ไม่แปดเปื้อนธุลี ทว่าสายตาอบอุ่นอ่อนโยนกลับทอดมองมาที่โม่เสวี่ยถง
โม่เสวี่ยถงค่อยๆ ลดเท้าของตนกลับมาที่เดิม
“ถวายบังคมพระขนิษฐา” นางกำนัลนำถวายบังคมขึ้นก่อน ทุกคนในที่นั้นจึงยอบกายตาม
ที่แท้สตรีผู้นี้คือองค์หญิงพระขนิษฐาในจักรพรรดิจงเหวินตี้ โม่เสวี่ยถงนึกประหลาดใจเล็กน้อย องค์หญิงในจินตนาการของนางจะต้องดูงดงามเฉิดฉัน ดุดันน่ายำเกรง แต่ผู้ที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้ากลับให้ความรู้สึกเรียบง่ายสันโดษ ทำให้บรรยากาศรอบด้านดูอบอุ่นละมุนละไม บริสุทธิ์สดใสไม่แปดเปื้อนธุลีแห่งแดนโลกีย์ ดวงตาฉายแววยิ้มอ่อนโยน เป็สตรีที่นุ่มนวลอ่อนหวานเป็ที่สุด
ภาพลักษณ์แตกต่างจากที่นางคาดไว้โดยสิ้นเชิง
ในชาติก่อน บุตรชายของพระนมในสมเด็จพระขนิษฐาเข้าไปเกี่ยวข้องกับคดีแพรต่วนที่เมืองอวิ๋นเฉิงจนถูกปะาตัดศีรษะ ต่อมาองค์หญิงยังไม่ทรงละความพยายามติดตามตรวจสอบอีกครั้ง ในที่สุดก็พบว่าถูกจวนฝู่กั๋วกงสร้างหลักฐานใส่ร้าย เป้าหมายเพื่อดึงพระขนิษฐาให้ลงน้ำมาด้วย บีบคั้นให้พระนางต้องไปขอร้องต่อหน้าพระพักตร์จักรพรรดิจงเหวินตี้...
หลังจากที่พระขนิษฐาทราบเื่ก็ตั้งตนเป็ปฏิปักษ์กับจวนฝู่กั๋วกง ทุกเื่ที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นล้วนมีเงาขององค์หญิงผู้นี้อยู่เื้ั ความพ่ายแพ้ของจวนฝู่กั๋วกงจึงนำพาความตายมาให้โม่เสวี่ยถงด้วยเช่นกัน ดังนั้นภาพลักษณ์ขององค์หญิงในใจของโม่เสวี่ยถงจึงเป็ผู้สูงศักดิ์ที่ร้ายกาจ แต่บุคคลที่เห็นอยู่เบื้องหน้าเวลานี้กลับแตกต่างโดยสิ้นเชิง เพราะองค์หญิงในชาตินี้เปลี่ยนแปลงไปหรือว่าเดิมทีก็ทรงเป็เช่นนี้อยู่แล้ว
แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม โม่เสวี่ยถงก็ทราบว่านี่คือโอกาสหนีของนางแล้ว!
นางก้าวออกไปเบื้องหน้าพระพักตร์ขององค์หญิงแล้วยอมกายคำนับ “หม่อมฉันโม่เสวี่ยถง ถวายบังคมพระขนิษฐาเพคะ”
นางมิได้คาดหวังว่าองค์หญิงพระขนิษฐาพระองค์นี้จะพานางหนีไป แต่อย่างน้อยก็สามารถประวิงเวลาได้่หนึ่ง นอกจากนี้องค์หญิงไม่น่าจะเอ่ยทักประโยคนั้นออกมาโดยไม่มีสาเหตุ ครั้งที่แล้วตอนที่นางนำต้นกล้วยไม้ส่งไปถวาย ยังได้เขียนข้อมูลของตัวการสำคัญในคดีแพรต่วนที่เมืองอวิ๋นเฉิงส่งไปด้วย เชื่อว่าองค์หญิงคงสามารถอาศัยข้อมูลเหล่านี้สืบคดีได้อย่างรวดเร็ว หากบุตรชายของพระนมไม่ต้องตาย พระนางก็ย่อมไม่เป็ศัตรูกับตระกูลของท่านตา
“ลุกขึ้นเถิด เ้าก็คือโม่เสวี่ยถง มารดาก็คือลั่วเสียธิดาแห่งจวนฝู่กั๋วกงกระนั้นหรือ” องค์หญิงพระขนิษฐาหรี่ตาเล็กน้อย เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน
“ใช่เพคะ เป็มารดาของหม่อมฉันเอง พระขนิษฐาทรงรู้จักมารดาของหม่อมฉันด้วยหรือเพคะ” โม่เสวี่ยถงลุกขึ้นหยัดกายตรง ลดมือลงแล้วตอบด้วยรอยยิ้มอย่างนอบน้อม
“มารดาของเ้ายังเด็กกว่าข้าอีก คิดไม่ถึงว่าจะจากไปก่อนเสียแล้ว ทิ้งเ้าผู้เป็บุตรสาวเอาไว้...” น้ำเสียงขององค์หญิงแฝงไปด้วยความเศร้าใจอยู่หลายส่วน
นางกับลั่วเสียอายุต่างกันปีเดียว รู้จักกันมาั้แ่เล็ก ถือได้ว่าสนิทสนมกันมากเหมือนเป็พี่น้องกันจริงๆ แต่ที่น่าแปลกก็คือความสัมพันธ์ขององค์หญิงิจูกับองค์หญิงอวิ๋นรั่วซึ่งเป็พระธิดาโดยสายพระโลหิตของไทเฮากลับไม่ค่อยดีนัก ลั่วเสียกับนางแต่งงานวันเดียวกัน แต่หลังจากออกเรือนแล้วต่างคนก็แยกไปใช้ชีวิตในเส้นทางของตนเอง ไม่ได้สนิทสนมกันอีก
วันนี้ได้พบหน้า แต่คนเดิมไม่อยู่แล้ว เหลือเพียงสาวน้อยที่อยู่เบื้องหน้า ในดวงตาประกายหยดน้ำคู่นั้นเผยความระทมทุกข์ออกมาบางๆ
“ทูลองค์หญิง ฮองเฮาทรงมีรับสั่งให้คุณหนูเหล่านี้ไปเข้าเฝ้าที่พระตำหนักเสียอวิ๋นเพคะ” เมื่อเห็นองค์หญิงผู้เป็พระขนิษฐารั้งตัวโม่เสวี่ยถงไว้พูดคุย ไม่มีทีท่าว่าจะปล่อยตัวไป หัวหน้านางกำนัลจึงจำเป็ต้องเพิ่มความกล้าเข้าไปกราบทูล
“ฮองเฮาเรียกหาคุณหนูเหล่านี้ไปทำสิ่งใด” ยามนี้องค์หญิงดูเหมือนจะทราบแล้วว่าตนเองกำลังขวางทางผู้อื่นอยู่ สายตาเลื่อนจากโม่เสวี่ยถงไปยังคนอื่นๆ
“พระนางทรงโปรดคุณหนูที่น่ารักเหล่านี้เป็พิเศษ จึงเรียกพบเป็การส่วนพระองค์เพคะ” นางกำนัลจะกล้าพูดได้อย่างไรว่าจักรพรรดิทรง้าพบ จึงได้แต่ตอบคำถามแบบอ้อมค้อม
“เช่นนั้นก็เว้นแม่นางผู้นี้ทิ้งไว้สักคนเถิด ข้ากับคุณหนูสามสกุลโม่ผู้นี้มีวาสนาต่อกัน เหมือนพบพานคนคุ้นเคยเก่าก่อน” องค์หญิงพระขนิษฐาโบกพระหัตถ์ เป็นัยอนุญาตให้คนอื่นๆ ไปได้
“องค์หญิง...” นางกำนัลกล่าวอย่างลังเล
“ทำไม... หรือการที่ข้ารั้งบุตรสาวของคนรู้จักคนหนึ่งไว้คุยเล่น จะทำให้ฮองเฮาไม่พอพระทัย?” องค์หญิงผู้เป็พระขนิษฐาหรี่ตาลงเล็กน้อย มองพิจารณานางกำนัลผู้นั้น แม้ริมฝีปากจะผลิยิ้ม แต่รอยยิ้มนั้นกลับเย็นะเือยู่หลายส่วน
“บ่าวไม่กล้าเพคะ” คำกล่าวหนักเช่นนี้ ทำให้นางกำนัลหวาดกลัวจนผวาคุกเข่าลงทันที
“ไปทูลฮองเฮาว่าข้าเป็คนพาไป ข้ากับคุณหนูใหญ่สกุลลั่วสนิทสนมกันมาั้แ่เล็ก บุตรสาวของนางก็เป็หลานสาวของข้า ฮองเฮาคงไม่คิดขัดข้องกระมัง” องค์หญิงกล่าวจบก็ยกมุมปากขึ้นยิ้ม กวักมือเรียกโม่เสวี่ยถงให้นางเข้าไปหา หลังจากนั้นก็หมุนตัวเดินเลี้ยวไปอีกด้านหนึ่ง
โม่เสวี่ยถงรีบตามไปทันที
นางกำนัลที่คุกเข่าอยู่ที่พื้นเห็นองค์หญิงไปไกลแล้ว จึงค่อยลุกขึ้นและหันไปมองหญิงสาวอีกสิบกว่าคนที่เหลือ แล้วพาพวกนางไปยังตำหนักเสียอวิ๋นด้วยความจนใจ