ออกจากเรือนเล็กมาได้ เฉินอี้เหอก็ตามติดฝีเท้าเผยฉางชิงอย่างมิอาจทนรอได้อีกต่อไป “เมื่อครู่เ้าพูดอะไรกับน้องสาวข้า?”
เขาส่ายหน้า “ข้าน้อยเผยรับปากคุณหนูไว้ มิอาจบอกคนอื่นได้ขอรับ”
“ข้าเป็พี่ชายนาง ไม่ถือว่าเป็ใครอื่น เ้าบอกข้ามาว่าพวกเ้าคุยอะไรกันแน่?” เฉินอี้เหอวางมือบนไหล่เผยฉางชิง ท่าทางเหมือนพี่ชายแสนดี
ทว่าเผยฉางชิงกลับยิ้ม จากนั้นดึงมือที่วางบนไหล่ลง ก่อนมองเฉินอี้เหอด้วยรอยยิ้มบาง “หากท่านแม่ทัพเฉินอยากรู้ มิสู้ไปถามคุณหนูเถิดขอรับ ข้าน้อยเผยเป็คนรักษาสัจจะ มิอาจละทิ้งคำสัญญาได้”
เมื่อเห็นร่างเผยฉางชิงจากไป เฉินอี้เหอทำท่ายกหมัดใส่อยู่ข้างหลัง หากมิใช่เพราะเห็นว่าเจียเอ๋อร์ชอบเ้าละก็ คอยดูเถิดว่าข้าจะต่อยเ้าฟันร่วงหรือไม่?
เขาคิดไปคิดมา เื่นี้ควรบอกกล่าวท่านพ่อไว้สักหน่อยน่าจะดี เจียเอ๋อร์ยังอายุน้อย หากถูกเ้าเผยฉางชิงหลอกขึ้นมาล่ะ?
เฉินอี้เหอพยักหน้า กลับเรือนของตนด้วยท่าทีเคร่งขรึม
ทางเฉินจิ้งโหรวที่เพิ่งถูกตบมา วิ่งกลับเรือนพักตนเองด้วยความโกรธและร้อนรน มองใบหน้าซีกขวาที่บวมขึ้นมาเล็กน้อยในกระจก โทสะร้ายในใจปะทุเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
“ซีหร่าน ซีหร่าน!”
นางเรียกสองครั้ง ซีหร่านเร่งรุดจากนอกประตูเข้ามา ในมือถือกะละมังใส่ของบางอย่างไว้
“เ้าไปตายที่ใดมา!” เฉินจิ้งโหรวถลึงตาใส่ซีหร่านอย่างฉุนเฉียว
ซีหร่านเองมิกล้าต่อปากต่อคำ ทำได้เพียงก้มหน้าแล้วอธิบาย “คุณหนู บ่าว บ่าวไปหาน้ำแข็งมาเ้าค่ะ ใบหน้าของท่านบวมนิดหน่อย ประคบน้ำแข็งไว้จะช่วยลดอาการบวมได้เร็วขึ้นเ้าค่ะ”
นางหาได้พูดผิดแต่อย่างใด ทว่าเฉินจิ้งโหรวมิใช่พวกเอาใจง่ายมาั้แ่ไหนแต่ไรแล้ว
“นี่ฤดูอะไร? เ้ายังจะเอาน้ำแข็งมาให้ข้าอีก? เ้าจงใจไม่ให้ข้าไปฟังเทศนาของเ้าอาวาสใหญ่เจี้ยอู้ใช่หรือไม่? อยากให้ข้าป่วยนอนติดเตียงเหมือนแม่ข้าสินะ?”
เฉินจิ้งโหรวยิ่งพูดก็ยิ่งรู้สึกไปเองว่าตนเดาถูก ว่าแล้วจึงสาวเท้าไปเบื้องหน้า
กะละมังที่ถือไว้แทบหลุดมือ ครู่ต่อมาซีหร่านจึงทรงตัวยืนนิ่งได้ “บ่าวมิกล้าเ้าค่ะ บ่าวแค่หวังดีกับคุณหนู หากคุณหนูออกไปข้างนอกทั้งอย่างนี้ คนอื่นต้องมองออกแน่เ้าค่ะ ถึงเวลานั้นอาจมีคนหัวเราะเยาะคุณหนู...”
ซีหร่านมักถูกเฉินจิ้งโหรวทำร้ายทุบตีเพราะเื่เหล่านี้หลายครั้ง แน่นอนว่าจึงอยากพยายามหลีกเลี่ยงให้ได้
หากแต่คำพูดนางยังไม่ทันจบ เฉินจิ้งโหรวกลับยกมือตัดบทนาง “เ้าว่าอะไรนะ? เห็นชัดมากหรือ?”
ซีหร่านแยกไม่ออกว่าที่นางถามเช่นนี้มาดีหรือร้ายกันแน่ นางเงยหน้ามองเฉินจิ้งโหรวก่อนพยักหน้า “เ้าค่ะ ตรงจุดนั้นเห็นชัดมาก กระนั้นหากประคบน้ำแข็งไว้สักพัก แต้มด้วยชาดกลบไว้อีกชั้น ก็คงไม่เห็นชัดมากแล้วเ้าค่ะ”
“ไม่ต้องแล้ว เราไปหาท่านแม่ทั้งแบบนี้เถิด” เฉินจิ้งโหรวพูดพลางยืนขึ้น แววโทสะไม่หลงเหลือบนใบหน้า ทว่าซ่อนเร้นด้วยความตื่นเต้นสนุกสนานแทน
ซีหร่านไม่รู้ว่าควรโน้มน้าวต่อเช่นไร ทั้งยังไม่กล้าโน้มน้าวด้วย ทำได้เพียงขานรับ วางกะละมังในมืออย่างรวดเร็ว ก่อนตามติดเฉินจิ้งโหรวไป
เมื่อถึงเรือนหลักของป๋อชางโหว ก็ประจวบเหมาะพอดีที่ป๋อชางโหวกำลังออกไป เฉินจิ้งโหรวจึงเข้าไปในห้อง ตรงดิ่งไปหาจ้าวอี๋เหนียงทันที
“โหรวเอ๋อร์? เ้ามาได้อย่างไร?” จ้าวอี๋เหนียงเห็นเฉินจิ้งโหรว ก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
ครั้นเห็นแม่ของตน เฉินจิ้งโหรวมิอาจสะกดกลั้นน้ำตาได้อีกต่อไป “ท่านแม่!” นางะโเสียงน้อยใจพลางโผเข้าไปที่เตียง
“เป็อะไรไปลูก?” จ้าวอี๋เหนียงเห็นท่าทีบุตรสาวแล้ว ก็เป็อันต้องขมวดคิ้ว
บุตรสาวคนนี้คือแก้วตาดวงใจของนาง เป็รากฐานในการตั้งหลักของนาง ยามนี้ร้องห่มร้องไห้จนหมดสภาพ มีหรือคนเป็แม่อย่างนางจะไม่ปวดใจ?
เฉินจิ้งโหรวเงยศีรษะ เผยใบหน้าที่มีรอยฝ่ามือแดงปื้นบวมเป่ง ทำเอาจ้าวอี๋เหนียงตื่นใขึ้นในบัดดล “ใคร? ใครมันบังอาจ กล้าทำร้ายคุณหนูแห่งจวนป๋อชางโหว?”
“ยังจะมีใครอีกเ้าคะ เฉินจิ้งเจียอย่างไรเล่า!” เฉินจิ้งโหรวพูดไป หยาดน้ำตาไหลพรากบนหน้าไม่หยุด “หากมิใช่เพราะนาง ใครจะกล้ายั่วโทสะคนในจวนป๋อชางโหวอีก!”
จ้าวอี๋เหนียงได้สติกลับมา ก็จริง จวนป๋อชางโหวมิใช่ถูกรังแกง่ายดายเพียงนั้น แม้นเฉินจิ้งโหรวจะเป็ลูกอนุ ทว่าก็มิใช่คนที่ใครก็ตามจะแตะต้องได้
ขณะกำลังพูด ป๋อชางโหวเดินเข้ามาพอดี ซีหร่านสายตาว่องไว ครั้นเห็นป๋อชางโหวก็รีบทำความเคารพทันที พร้อมกล่าวทักทายเสียงสูงขึ้นหลายส่วนเพื่อเตือนสองแม่ลูกที่กำลังคุยกันข้างใน
“พ่อเ้ากลับมาแล้ว เ้าอย่าได้บุ่มบ่ามเป็อันขาด ให้พ่อเ้าเห็นใบหน้าเ้าเป็พอ” จ้าวอี๋เหนียงกำชับเฉินจิ้งโหรว
ต่อให้ป๋อชางโหวรักและเอ็นดูเฉินจิ้งเจียเพียงใด แต่โทษฐานทำร้ายน้องสาวลูกอี๋เหนียงเช่นนี้ เฉินจิ้งเจียไม่มีทางสลัดพ้น!
นึกถึงความลำบากในหลายวันมานี้ ดวงตาจ้าวอี๋เหนียงวาวโรจน์ส่องประกายแสง สมควรทำให้เฉินจิ้งเจียเป็ฝ่ายทุกข์ทรมานบ้างแล้ว!
“ท่านพ่อ ท่านกลับมาแล้ว” เฉินจิ้งโหรวทำความเคารพอย่างนอบน้อม อยากแสดงด้านอ่อนโยนของตนออกมา
หากแต่ป๋อชางโหวกลับส่งเสียงอืมราบเรียบกลับมาเท่านั้น ราวกับว่าหาได้อยากพูดกับเฉินจิ้งโหรวมากมาย
เขาทิ้งตัวนั่งบนเก้าอี้ด้านข้าง ไม่มองเฉินจิ้งโหรวแม้แต่น้อย นั่นทำเอาเฉินจิ้งโหรวเสียใจไม่น้อย นางหันกลับไปมองจ้าวอี๋เหนียงบนเตียงในห้อง เห็นจ้าวอี๋เหนียงพยักหน้า ก็สูดลมหายใจเข้าปอดลึก ก่อนสาวเท้าเดินเข้าไปยืนข้างโต๊ะ
“ท่านพ่อเพิ่งกลับจากข้างนอกมา ต้องกระหายเป็แน่ โหรวเอ๋อร์เทชาให้ท่านพ่อเองเ้าค่ะ” นางพูดไปพลางยกกาน้ำชาบนโต๊ะเทใส่ถ้วยก่อนส่งให้ป๋อชางโหว
ในที่สุดป๋อชางโหวจึงเงยหน้ามองนาง ทว่ากลับมิได้เอ่ยอันใด รับถ้วยชาอย่างเงียบเชียบดื่มไปอึกหนึ่ง
นี่ยังไม่เห็นอีกหรือ?
เฉินจิ้งโหรวสะท้านค้างอยู่ที่เดิม ไม่รู้ว่าตนควรฟ้องหรือควรเร้นจากไปดี
“มีธุระหรือ?” ป๋อชางโหวเอ่ยถามเสียงเย็น มองเฉินจิ้งโหรวด้วยสีหน้าไม่ได้ดีไปกว่ามองคนแปลกหน้า
เมื่อได้ยินดังว่า เฉินจิ้งโหรวส่ายหน้าเบาๆ “ไม่มี ไม่มีเ้าค่ะ”
สำหรับบิดาผู้นี้ นางทั้งเคารพทั้งหวาดกลัว การได้มีบิดาอย่างป๋อชางโหว มักทำให้นางรู้สึกเหนือกว่าผู้อื่นอีกขั้น หากแต่ป๋อชางโหวกลับไม่เคยยิ้มให้นาง มีเพียงท่าทีเยือกเย็นมอบให้เสมอมา
ั้แ่วัยเยาว์ ไม่ใช่แค่คราสองคราที่นางเห็นป๋อชางโหวอุ้มเฉินจิ้งเจียด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม นางอิจฉาเฉินจิ้งเจียยิ่งนัก ท่านพ่อทั้งรักทั้งคอยปกป้อง โอบอุ้มไว้ในฝ่ามือ แต่ตนกลับ...
“ในเมื่อไม่มีเื่อะไรแล้ว เ้าก็รีบกลับไปเถิด อากาศเย็น หากออกข้างนอกดึกเกินไป ต้องลมเย็นแล้วจะป่วยเอาเสียง่ายๆ” ไม่ง่ายกว่าจะได้รับคำพูดมากมายขนาดนี้จากป๋อชางโหว ทั้งยังพูดกับเฉินจิ้งโหรวโดยเฉพาะ
แค่นี้ก็มากพอทำให้เฉินจิ้งโหรวดีใจมากแล้ว นางยกยิ้มแป้นประหนึ่งลืมเลือนความเ็ปที่ยังเต้นตุบๆ ตรงรอยฝ่ามือบนใบหน้า “เ้าค่ะ ลูกทราบแล้ว”
ดูเอาเถิด ที่จริงนางไม่ต่างจากเฉินจิ้งเจียแม้แต่น้อย พวกนางล้วนเป็บุตรสาวของป๋อชางโหว แน่นอนว่าย่อมต้องได้รับความรักความสนใจจากป๋อชางโหวเหมือนกัน
หากป๋อชางโหวสนใจนางอีกสักนิด ไม่แน่นางอาจไม่คิดแย่งชิงตำแหน่งของบุตรสาวสายตรงแล้วก็เป็ได้...
นางครุ่นคิดในใจไม่ทันเสร็จดี ก็ได้ยินเสียงป๋อชางโหวดังขึ้นอีกครั้ง “คราวหลังระวังหน่อย ไม่ต้องทาชาดหนาขนาดนั้น หน้าแดงเกินไปดูไม่งาม”
เขาว่าอะไรนะ? ชาด?
เฉินจิ้งโหรวพลันเงยหน้า มองป๋อชางโหวอย่างไม่เชื่อสายตา “ท่านพ่อ ท่านว่าอะไรนะเ้าคะ?”
