หลิวเต้าเซียงมองดูหลิวเสี่ยวหลันลุกขึ้น จึงรีบตักอาหารใส่ปาก แล้วสบตากับหลิวชิวเซียง
จากนั้นหันไปบอกกับจางกุ้ยฮัวและหลิวซานกุ้ย “ท่านพ่อ ท่านแม่ พวกเราอิ่มแล้ว!”
หลิวชิวเซียงที่อยู่ด้านข้างวางชามและตะเกียบลง แล้วกระซิบกับจางกุ้ยฮัวว่า “ท่านย่ากำลังจะออกมา”
จางกุ้ยฮัวเองก็ได้กินพอประมาณแล้ว จึงสบตากับหลิวซานกุ้ยเป็นัยบอกว่า หรือไม่ เราแยกย้ายกันก่อน?!
หลิวซานกุ้ยเหลือบมองไปที่หลี่เจิ้งกําลังคุยกับหลิวต้าฟู่อย่างมีความสุข จึงบอกผ่านสายตาว่า ผู้ดูแลยังอยู่ที่นี่ ข้าคงต้องนั่งเป็เพื่อน พวกเ้าสามคนหลบออกไปก่อน
เพื่อความปลอดภัยและไม่ต้องให้หลิวฉีซื่อมาหาเื่ภรรยากับบุตรสาวอีก
จางกุ้ยฮัวเห็นเช่นนั้นจึงรีบวางถ้วยชามลงแล้วพาบุตรสาวหลบออกไป
ขืนออกไปช้าจะถูกหลิวฉีซื่อเกี่ยวตัวไว้ ไม่แน่ว่าอาจจะอาศัยจังหวะที่หลี่เจิ้งยังอยู่ด่าว่าพวกนางสามแม่ลูกก็เป็ได้
คิดได้ดังนั้นจางกุ้ยฮัวจึงรีบพาบุตรสาวสองคนหายกลับไปที่ห้องปีกตะวันตกอย่างรวดเร็ว
หลิวฉีซื่อออกมาจากห้อง เมื่อเห็นคนทั้งหลายนั่งอยู่ ในใจก็มีความหงุดหงิดสะสมเป็ก้อน
นางชั้นต่ำนั่นหนีเร็วยิ่งกว่ากระต่าย
เมื่อเห็นว่าจางกุ้ยฮัวไม่ได้อยู่ด้วย นางก็ผิดหวัง
อย่างไรก็ตาม ด้วยเื่การสอบติดของหลิวจื้อไฉที่หลิวต้าฟู่บอก นางจึงไม่สนใจความผิดหวังเมื่อครู่
นางเอ่ยถามด้วยสีหน้าปลาบปลื้ม “จริงหรือ หลานชายของข้าสอบผ่านถงเซิงจริงหรือ?”
ฟังจากน้ำเสียงของนาง ดูเหมือนการสอบผ่านถงเซิงจะเป็เื่ที่ยอดเยี่ยมมาก อืม ทำราวกับว่าชุดขุนนางสีเหลืองได้สวมอยู่บนร่างแล้วอย่างไรอย่างนั้น
หลี่เจิ้งแอบเบะปากเล็กน้อย หลังจากถูกภรรยาตนเองเป่าหูมา ภาพลักษณ์ของหลิวฉีซื่อไม่ค่อยดีนักในสายตาเขา รู้สึกเพียงว่านางนั้นเป็คนใจแคบ มองคนแต่เปลือกนอก แล้วยังชอบมองผู้อื่นดุจทาสรับใช้ชั้นต่ำอยู่ตลอดเวลาจนไม่น่าดูชม
เมื่อนึกถึงเช่นนี้ เขาจึงแอบสำรวจหลิวซานกุ้ยครู่หนึ่ง
ทุกวันนี้หลิวซานกุ้ยเป็ที่ชื่นชอบมากกว่า เพราะความขยันหมั่นเพียรหลายปีนี้ ใบหน้าจึงยังคงดำคล้ำ เพียงแต่ในตอนนี้เหมือนมีกลิ่นอายของผู้รู้หนังสือมากขึ้น การปฏิบัติหรือท่าทีที่มีต่อเื่ใดๆ ก็ไม่เหมือนเช่นแต่ก่อน เวลาพูดจาก็มีความสละสลวยมากขึ้น การจัดการเื่ราวก็มีการพัฒนา
สรุปแล้วหลี่เจิ้งมองไปที่หลิวซานกุ้ย ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ถูกชะตามากกว่า
เขาเคยได้ยินคนกล่าวว่า หลิวซานกุ้ยแอบไปเล่าเรียนในตำบลลับหลังหลิวฉีซื่อ เขากับภรรยาตนเองก็พูดถึงเื่นี้ แล้วยังบอกว่าจางกุ้ยฮัวเก่งกาจ ถึงขั้นสามารถปิดบังหลิวฉีซื่อผู้ร้ายกาจได้
แน่นอนว่าภรรยาของเขาไม่อนุญาตให้เขาพูดเื่นี้ออกมา เพราะจะทำลายเส้นทางอนาคตของหลิวซานกุ้ย
ฮูหยินของหลี่เจิ้งเป็คนมีจิตใจเมตตา
นางทนไม่ได้ที่จะปล่อยให้ครอบครัวหลิวซานกุ้ยที่กว่าจะเริ่มมีความหวัง แต่ด้วยเหตุผลเื่การเล่าเรียน จะต้องถูกหลิวฉีซื่อกดขี่ข่มเหงจนเงยหน้าไม่ได้
หลี่เจิ้งส่งข่าวดีมาให้และได้กินดื่มจนอิ่มเอม หลังจากเช็ดปากก็เดินเอามือไพล่หลังและฮัมเพลงจากไป
ั้แ่นั้นหลิวฉีซื่อก็มีรอยยิ้มอยู่ทุกเมื่อ ยามปกติมีน้อยครั้งที่นางจะเดินไปรอบๆ หมู่บ้าน ตอนนี้กำลังเดินเชิดหน้าไปใต้ต้นไหวตรงหน้าหมู่บ้าน ขณะพูดคุยกับคนอื่นจึงอดไม่ได้ที่จะโอ้อวดอย่างภูมิใจว่าครอบครัวของนางมีถงเซิงถึงสองคน
ช่างเป็เกียรติยศจริงๆ!
หลิวฉีซื่อดีใจ เมื่อเห็นใครก็อวดไปทั่ว
เวลาเพียงแค่สิบห้านาที คนทั้งหมู่บ้านส่วนใหญ่รู้ว่าครอบครัวตระกูลหลิวมีถงเซิงถึงสองคน มีทั้งชื่นชม อิจฉาริษยา และคนที่รอหัวเราะเยาะก็มี
่เวลาที่หลิวฉีซื่อโอ้อวดไปทั่ว วันเวลาก็ค่อยๆ เคลื่อนผ่าน
วันนี้หลิวซานกุ้ยออกจากบ้านแต่เช้า เขามองดูท้องฟ้าแล้วคิดว่าวันนี้คงมีหิมะตก
หลิวเต้าเซียงได้ยินดังนั้นก็หาว พยายามตะเกียกตะกายลุกขึ้นจากรังแล้วหยิบผ้าห่มม้วนไว้กับตัว ผ้าห่มที่เป็ผ้าฝ้ายนุ่มๆ ช่างสบายเสียจริง!
“ท่านพ่อ หิมะจะตกจริงหรือ?”
“ใช่ พ่อว่าต้องตกแน่นอน” หลิวซานกุ้ยมองดูท้องฟ้าอีกรอบ แล้วพยักหน้าด้วยความมั่นใจ
ก่อนหน้านี้อากาศหนาวเย็นมาโดยตลอด แต่หิมะก็ไม่ตก อย่างมากสุดก็แค่ตกเป็ละอองชั้นบางๆ ไม่นานก็ละลาย
“ท่านพ่อ รอข้าด้วย”
ทันทีที่หลิวเต้าเซียงได้ยินว่าหิมะกําลังจะตก นางก็นึกขึ้นได้ว่าความปรารถนาของแม่ผู้แสนดีกำลังจะสมหวังแล้ว
“อากาศหนาวเกินไป เ้าอย่าไปที่ตำบลเลย” หลิวซานกุ้ยทำใจไม่ได้ หากใบหน้าของบุตรสาวที่เพิ่งเริ่มดูแลจนขาวต้องถูกอากาศหนาวเย็นบาดแก้ม แล้วทำให้ผิวแตก คงจะเจ็บน่าดู
หลิวเต้าเซียงตอบอย่างออดอ้อน “แต่ว่า พวกข้ารับปากท่านแม่ไว้ว่า จะทำเกี๊ยวแช่เย็นไว้แล้วส่งให้ท่านยาย”
ถูกต้อง ก่อนหน้านี้เคยบอกว่าจะทำเกี๊ยวให้เฉินซื่อ อากาศหนาวเช่นนี้แต่หิมะก็ไม่ตกสักที จึงยังแช่แข็งเกี๊ยวไม่ได้ ด้วยเหตุนี้เฉินซื่อจึงไม่ได้กินเกี๊ยวสดใหม่เสียที
เดิมทีหลิวซานกุ้ยเป็คนกตัญญูกตเวทีมาก เมื่อเห็นจางกุ้ยฮัวรักใคร่ผู้เป็แม่ เขาย่อมมีใจอยากตอบแทนเช่นกัน
“เ้าอยู่ที่บ้านดีกว่า พ่อกำลังจะไปมอบของขวัญเทศกาลให้อาจารย์กัว จะได้บอกกล่าวกับอาจารย์กัวด้วยว่าก่อนตรุษจีนค่อนข้างยุ่ง จึงยังไม่ไปเรียน ต้องรอจนกลางเดือนหนึ่งจึงจะไปเรียนได้”
หลิวเต้าเซียงมองไปที่ลมหนาวข้างนอกและตัวสั่นโดยไม่ได้ตั้งใจ ในเมื่อพ่อผู้แสนดีตัดสินใจเช่นนั้น นางขอเป็ลูกที่ทำตัวเชื่อฟังก็แล้วกัน
จางกุ้ยฮัวออกมาจากห้อง “ใช่แล้ว วันรุ่งขึ้นก็เป็วันขึ้นสิบห้าค่ำ อีกไม่กี่วันก็ต้องไปจับจ่ายของตรุษจีน แล้วก็ทำความสะอาด แล้วยังต้องยุ่งกับการเตรียมของตรุษจีนและของอีกมากมาย อาจารย์เป็ผู้มีเหตุผล คิดว่าคงอนุญาต”
หลิวซานกุ้ยจึงแอบเอาของแล้วย่องออกไปทางประตูหลัง
ส่วนพวกนางก็ซุกอยู่ในห้อง ตั้งโต๊ะแล้วยกข้าวต้ม ผักดอง กับซาลาเปาเนื้อหมูเค็มหนึ่งจานมาทาน
นี่คืออาหารที่จางกุ้ยฮัวแอบทำตอนกลางคืนเมื่อสองวันที่แล้ว ห่อได้ไม่เยอะมาก แต่ก็ห่อสองวันครั้ง
แม่ลูกทั้งสามคนกำลังคุยกันว่า อยากจะห่อซาลาเปาไส้เนื้อหมูเค็มผักดองไปให้ท่านยายพร้อมกันด้วย
ทันใดนั้น จู่ๆ ตรงลานบ้านก็มีเสียงดังสนั่นหวั่นไหว
ทั้งสามคนมองหน้ากันแล้วรีบกินซาลาเปาที่เหลือจนหมด จากนั้นหลิวเต้าเซียงก็บอกกับจางกุ้ยฮัวด้วยน้ำเสียงอู้อี้ว่า นางจะไปดูสถานการณ์
นางเดินอ้อมไปทางที่กั้นไม้ไผ่แล้วมาถึงคั่งที่ตนเองนอน แอบเปิดมุมหน้าต่างขึ้นแล้วมองผ่านรอยแยก
ภาพที่เห็นทำให้นางใ พอมองออกไปก็ถึงกับตะลึง
เหตุใดหลิววั่งกุ้ยจึงกลับมาเร็วเช่นนี้?
อีกทั้งหน้าดำคร่ำเครียดเช่นนี้ ใครทำอะไรให้เขาโกรธหรือ?
หลิวเต้าเซียงรู้สึกว่าหลิววั่งกุ้ยคงไปผูกพยาบาทกับใครข้างนอกมาเป็แน่ มิเช่นนั้น เหตุใดเขาต้องทำหน้าราวกับว่า ‘จะฆ่าทั้งครอบครัวเ้าให้หมด’ เช่นนี้?
นางเป็เด็กเรียบร้อย เมื่อหลิวซานกุ้ยไม่อยู่บ้าน จึงประมาณพลังต่อสู้ของครอบครัวตนเอง
ที่สุดแล้วหลิวเต้าเซียงจึงตัดสินใจว่า ครอบครัวของนางจะไม่ออกหน้าในเหตุการณ์นี้
เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้หลิววั่งกุ้ยเห็นเข้า นางจึงยกหน้าต่างลงมาแล้วเดินอ้อมไปทางที่กั้นไม้ไผ่ แล้วเข้ามาในห้อง
หลิวชิวเซียงเห็นน้องรองทำท่าทางราวกับโจร จึงขบริมฝีปากและหัวเราะก่อนจะกระซิบถามว่าเกิดอะไรขึ้น
ใครจะรู้ว่าหลิวเต้าเซียงรีบวางนิ้วชี้ข้างซ้ายของนางไว้ข้างปาก “ชู่!”
เงียบ!
อย่าเอะอะจนดึงดูดเขามาเชียว
ขณะที่ยังไม่รู้สถานการณ์ ครอบครัวของนางควรจะหลบสายฟ้าฟาด แล้วอยู่อย่างเงียบๆ ดีกว่า
หลิวเต้าเซียงชี้ไปทางลานบ้านแล้วกะพริบตาให้ทั้งสองคน ความหมายคืออย่าดึงความสนใจของคนที่อยู่ตรงนั้น
นางคิดดูแล้วหันไปทางด้านหลังประตูห้องปีกตะวันตก แอบมองผ่านรอยแยกที่เห็นถึงลานบ้าน
คุณชายท่านนี้โมโหร้ายนัก แค่เข้ามาก็จัดการเตะตะกร้าในบ้านหลายอันไปไกล
เขาเดินไปมาทางห้องปีกตะวันตก ทุกสิ่งที่ขวางทางจะถูกกระทืบจนพังหรือไม่ก็เตะออกไปอีกทาง
หลิวเต้าเซียงได้ยินเสียงประตูปิดจากด้านเหนือของห้องปีกตะวันตก จึงเอื้อมมือมาลูบหน้าอกตนเอง จากนั้นก็ค่อยๆ ถอนหายใจอย่างโล่งอก
เล่นเอาใแทบตาย
ท่าทางของอาสี่ช่างน่ากลัวเหลือเกิน
นางตัดสินใจว่าต้องรีบบอกพี่สาวและแม่ของตน เมื่อคิดได้ก็ลงมือทำ!
จางกุ้ยฮัวทำหน้าไม่อยากจะเชื่อ “เ้าว่าอะไรนะ อาสี่ของเ้ากลับมาแล้วหรือ?”
ไม่แปลกที่นางจะไม่เชื่อ เพราะทุกปีหลิววั่งกุ้ยมักจะกลับมาแบบทันเวลาฉิวเฉียดใน่ใกล้จะถึงเทศกาลตรุษจีนเสมอ
ตอนนี้ยังเหลืออีกสิบกว่าวันที่หลิววั่งกุ้ยกลับมาเร็วกว่าปีก่อนๆ
“ท่านแม่ ท่านเสียงเบาหน่อย ข้าว่าอาสี่ตอนนี้กำลังโมโหอย่างมาก ดูท่าทางนั้นเหมือนว่าโลกทั้งใบทำให้เขาโกรธ อยากให้ตายให้หมด น่ากลัวยิ่งนัก”
ในภาพความทรงจำของหลิวเต้าเซียง หลิววั่งกุ้ยเป็คนที่ไม่สนใจเื่รอบข้าง จิตใจมุ่งแต่เื่เล่าเรียนเอาไว้บังหน้า อ้อ ลืมไป ใช้เงินก็มือเติบนัก อีกทั้งยังหน้าหนา พอเงินหมดก็แบมือขอกับหลิวฉีซื่อ
หลิวเต้าเซียงรู้สึกว่าหลิววั่งกุ้ยเป็พวกล้างผลาญบรรพชนอย่างสมบูรณ์แบบ
“น้องรอง อาสี่เป็อะไรกันแน่?” หลิวชิวเซียงไม่กล้าพูดออกมาว่าที่สถาบันไม่ให้เขาเรียนต่อหรือ?
มิเช่นนั้น เขาจะมีท่าทางโหดร้ายเช่นนั้นได้อย่างไร?
“ข้าก็ไม่รู้ เราอย่าเพิ่งออกไปก็พอ ถึงอย่างไรก็กินอาหารเช้าแล้ว ท่านพี่ ก่อนหน้านี้เห็นบอกว่าอยากให้ท่านพ่อทำชั้นวางไม้ให้ไม่ใช่หรือ ป้าหลี่สอนงานเย็บแบบใหม่ให้อีกแล้วหรือ?”
หลิวเต้าเซียงเองก็ไม่ยินดีจะออกไปเป็ที่ระบายอารมณ์โมโหของหลิววั่งกุ้ย
นางคิดว่าจะให้พี่สาวกับแม่อยู่ในห้อง แล้วดูทั้งสองเย็บปักถักร้อย
ถูกต้อง หลิวเต้าเซียงเป็คนเกียจคร้านกับเื่นี้ นางคิดไว้ว่าต่อไปหากแยกบ้าน สิ่งแรกที่จะทำคือ ซื้อคนที่เก่งกาจเื่เย็บปักถักร้อยมาเลี้ยงไว้ที่บ้าน จากนั้นค่อยหาสาวใช้ที่มีไหวพริบมาเรียน รอจนพวกนางทำเป็แล้ว เื่เสื้อผ้าของทั้งครอบครัวก็จะได้หมดห่วง อืม ส่วนแม่กับพี่สาวก็ไม่ต้องหยิบเข็มมาใช้ให้ปวดตาอีก!
หลิวเต้าเซียงรู้สึกว่าตอนนี้มีนางที่แอบี้เีอยู่คนเดียว ตอนอายุยังน้อยคงไม่มีใครว่าอะไร แต่หากโตกว่านี้ เดาว่าคงถูกจางกุ้ยฮัวจับมาเรียนเย็บปักแน่นอน แต่นางไม่มีความอดทนกับงานนี้ และไม่ได้ชื่นชอบการเย็บปัก
หลิวเต้าเซียงคิดอย่างมีความสุข นางคือคนที่ชอบทำการค้าขาย เื่เย็บปักถักร้อยอะไรนั่นยกเป็หน้าที่สาวรับใช้ดีกว่า
สามแม่ลูกยังคงหลบอยู่ในห้อง เมื่อใกล้ถึงเวลาทำอาหารกลางวัน หลิวฉีซื่อก็เดินทางกลับมา
วันนี้นางไปที่บ้านของเซียงเซินผู้หนึ่งและโอ้อวดว่าหลานชายของตนเล่าเรียนดี
นิสัยของเซียงเซินท่านนั้นคงพอกันกับหลิวฉีซื่อ เมื่อได้ยินว่าบ้านของนางมีคนที่เรียนดี วิธีปฏิบัติกับแขกก็ดีขึ้นเป็เท่าตัว
หลิวฉีซื่อนั่งสักพักและเตรียมตัวลุกกลับบ้าน
ฮูหยินเซียงเซินกล่าวว่ามีคนเอาเป็ดเค็มมามอบให้บ้านนาง จึงให้เด็กรับใช้ไปเอามาให้หลิวฉีซื่อสี่ตัว บอกว่าให้นางเอาไปชิม
ของเหล่านี้ไม่อาจซ่อนไว้ในห้องตะวันออกได้ เดิมทีนางเคยซ่อนไว้ในโอ่ง แต่พออากาศร้อนก็เน่าเสียแล้วยังส่งกลิ่นเหม็น พอซ่อนอยู่ใต้เตียง ก็มีหนูที่เก่งกาจเกินไป ส่วนไส้อั่วเค็มกว่าครึ่งหนึ่งอยู่ในท้องของหลิวเสี่ยวหลัน และอีกครึ่งหนึ่งก็อยู่ในท้องของพรรคพวกน้องหนู
นับจากนั้นเมื่อหลิวฉีซื่อได้เนื้อหมูเค็มมา ก็จะแขวนรมควันไว้ในห้องครัว เหตุผลข้อหนึ่งคือเนื้อหมูเค็มที่รมควันมักจะมีกลิ่นหอมเข้มข้น อีกข้อหนึ่งคือเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้หนูมากิน
-----
