อันธพาล 17 คนนอนกองอยู่บนพื้นในคลังยา แม้จะยังมีแรงมากพอจนสามารถลุกยืนขึ้นได้ ก็ทำได้เพียงนอนโอดโอยแกล้งตายอยู่บนพื้น
เพราะ ‘หมัดตั๊กแตน’ ของฉินหลางทรงพลังมากเกินไปจริงๆ!
ั้แ่เขาลงมืออย่างเป็ทางการ ผ่านไปเพียงไม่ถึงสองนาที เขาก็ได้ส่งอันธพาลทั้ง 17 คนลงไปนอนกองกับพื้นเรียบร้อยแล้ว
รายที่โดนเบาเอ็นกระดูกเคลื่อน รายที่โดนหนักกระดูกแตกละเอียด!
แต่ทว่าสิ่งที่ทำให้คนพวกนี้ไม่เข้าใจก็คือ ฉินหลางที่ตอนนี้ยืนอยู่ตรงกลางห้อง ไม่ขยับเขยื้อน ปิดตาทั้งสองข้าง ไม่เอ่ยปากพูดอะไรเลยสักอย่าง ไม่มีใครรู้ว่าเขากำลังทำอะไรอยู่
ในเวลานี้กระทิงก็นั่งอึ้งราวกับถูกสะกดไว้แล้วเช่นเดียวกัน เขาอยู่ในวงการนี้มานาน แต่คนที่เก่งกาจมากขนาดนี้ในเมืองเซี่ยหยาง แถมยังเก่งหมัดตั๊กแตนอีกด้วยนั้น เขากลับไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย!
กระทิงลุกยืนขึ้นแล้วตอนนี้ แต่เขาไม่มีความกล้าที่จะจู่โจมฉินหลางแล้วจริงๆ จึงทำได้เพียงทิ้งมีดในมือแล้วค่อยๆ เดินมาหยุดตรงหน้าฉินหลาง ถามขึ้นอย่างเจียมตัว “พี่ฉิน พี่—”
กระทิงยังไม่ทันจะได้พูดจบ ฉินหลางก็เข่าลอยออกไปอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ร่างของกระทิงลอยไปชนกับประตูเหล็กม้วน และยังสลบเพราะแรงกระแทกอีกด้วย
“มารดาเถอะ! ไม่เห็นเหรอว่าบิดากำลังคิดไตร่ตรองปัญหาอยู่!” ฉินหลางสบถด้วยความไม่สบอารมณ์
ความจริงแล้ว ฉินหลางไม่ได้กำลังคิดไตร่ตรองปัญหา หากแต่เขากำลังตระหนักถึงความล้ำลึกของ ‘หมัดตั๊กแตน’ ที่เขาเพิ่งจะแตกฉานไปเมื่อครู่นี้
เื่นี้มันเกิดขึ้นอย่างกะทันหันมากจนเกินไป ทำให้ฉินหลางไม่รู้ว่าจะต้องรับมือต่อยังไง เพราะขนาดตัวเขาเองก็ยังไม่ชัดเจน ว่าเพราะเหตุใด เขานึกถึงฉากที่ตั๊กแตนสีเืต่อสู้กับงูใหญ่เพียงเท่านั้น เขาก็สามารถเข้าใจความล้ำลึกของมันอย่างแตกฉานได้รวดเร็วราวปาฏิหาริย์แบบนี้ นอกเสียจาก…
“อย่าบอกนะว่าฉันเป็อัจฉริยะในการฝึกฝนศิลปะวิชาการต่อสู้ในตำนาน ที่เล่ากันว่าในหมื่นคนก็หาไม่ได้สักคน?”
ฉินหลางรู้สึกว่า ‘อัจฉริยะในการฝึกฝนศิลปะวิชาการต่อสู้’ เื่แบบนี้นั้นจะมีเกิดขึ้นแค่ในละครทีวีเท่านั้น เพราะถ้าหากเขาเป็อัจฉริยะในการฝึกฝนศิลปะวิชาการต่อสู้ั้แ่กำเนิดแล้วละก็ เขาคงไม่โดนตาเฒ่าพิษบังคับให้ยืนท่านั่งม้าเป็เวลาหลายปีอย่างนี้หรอก
ทว่าทำไมจู่ๆ เขาถึงเข้าใจ ‘หมัดตั๊กแตน’ อย่างแตกฉานล่ะแถมยังสามารถใช้ได้อย่างคล่องแคล่วด้วย?
หรือว่าลำดับขั้นที่สามของการฝึกฝนวรยุทธ์ ‘กระบวนท่า’ นั้น มันเรียนง่ายขนาดนี้เลยเหรอ?
หลังจากถีบกระทิงจนตัวปลิวไปอีกครั้งแล้ว ฉินหลางก็ได้เลิกล้มความตั้งใจที่จะหาเหตุผล เดินหาวัตถุดิบที่จะนำไปทำยาถอนพิษในร้านขายยา จากนั้นจึงพาอาหวู่และลูกสมุนอีกสามคนกลับออกไปด้วยความรวดเร็วราวกับเหาะ
เมื่อเห็นฉินหลางกับลูกสมุนกลับมาถึงร้านเหล้าหลานจ้วนอย่างปลอดภัย ฮานซานฉางจึงรู้สึกโล่งใจ
ตอนอยู่ระหว่างทางกลับนั้น หนึ่งในลูกสมุนได้โทรไปรายงานเื่ราวและความคืบหน้าให้ฮานซานฉางฟังแล้ว แถมยังเล่าเื่ที่ฉินหลางต่อสู้กับศัตรูอย่างละเอียดแล้วด้วย
ฉานซานฉางรู้ั้แ่แรกแล้วว่าฉินหลางเป็คนเก่งกาจมาก แต่ทว่าเขากลับคิดไม่ถึงว่าจะเก่งกาจได้มากถึงเพียงนี้ จัดการกระทิงกับพวกอีก 18 ให้ลงไปนอนกองกับพื้นได้ด้วยมือเปล่า ช่างแข็งแกร่งและทรงพลังมากจริงๆ!
อาหวู่หมดอาลัยตายอยาก เขารู้ได้เลยว่าตัวเองจะมีจุดจบยังไง
แต่ตอนนี้ฮานซานฉางกำลังเร่งรีบกับการถอนพิษ จึงยังไม่ได้สนใจที่จะจัดการกับอาหวู่
ฉินหลางยื่นยาที่เลือกมาให้ฮานซานฉาง “ยาห่อหนึ่งเอาไว้ต้มกิน ต้องกิน 3 ครั้ง อีกห่อหนึ่งเอาไว้แช่ตัวตอนอาบน้ำ ต้องแช่ 3 ครั้งเช่นเดียวกัน แช่ทุกๆ หนึ่งชั่วโมง พิษในร่างกายจะก็จะถูกขับออกไปได้จนหมด”
ฮานซานฉางเชื่อมั่นในคำพูดของฉินหลางเต็มร้อย อย่างไม่คิดคลางแคลงใจ จึงบอกให้หญิงสาวที่สวมชุดกี่เพ้ารีบไปเตรียมการทันที
“พี่ฉาง จัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ถ้างั้นผมกลับก่อนละนะ” ฉินหลางบอกกับฮานซานฉาง เื่ที่เหลือผมเชื่อว่าพี่จัดการเองได้”
“ขอบคุณมาก พี่ฉิน!” คำขอบคุณของฮานซานฉางพูดด้วยน้ำเสียงจริงใจอย่างสุดซึ้ง
ฉินหลางรีบกลับเข้าไปในโรงเรียน เพราะ้าทำความเข้าใจในปัญหาของ ‘หมัดตั๊กแตน’ ให้หายคาใจ เพราะนี่เป็เื่ที่เกี่ยวกับการเลื่อนลำดับขั้นในวรยุทธ์ของตนเอง จึงเป็เื่ธรรมดาที่ฉินหลางจะต้องทำทุกอย่างให้เข้าใจ
เมื่อถึงครึ่งทาง ฉินหลางอดไม่ได้ที่จะต้องโร่ไปหาตาเฒ่าพิษ เล่าเื่ราวที่ตนเข้าใจแตกฉานในหมัดตั๊กแตน ทว่ากลับไม่ได้พูดเื่ตั๊กแตนสีเืให้ตาเฒ่าพิษฟัง พูดเพียงท่าที่อยู่ๆ ก็เข้าใจขึ้นได้เอง
ตาเฒ่าพิษนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงดูถูก “ลำดับขั้นที่สาม ไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้น อย่าใช้คำว่า ‘เรียนรู้แล้ว’ เรื่อยเปื่อย เพราะเธอยังเรียนรู้ได้แค่ผิวเผินเท่านั้น!”
เมื่อพูดจบ ตาเฒ่าพิษก็กดวางสายไป
ฉินหลางรู้สึกหดหู่ใจเล็กน้อย ถึงแม้ว่าตาเฒ่าพิษจะไม่สบอารมณ์กับความคิดของเขานัก แต่ฉินหลางรู้สึกคลับคล้ายคลับคลาได้ว่า ตาเฒ่าพิษค่อนข้างจะแน่ใจในความก้าวหน้าของเขา นอกจากนี้ ตาเฒ่าพิษยังแอบเปิดเผยให้ฉินหลางรับรู้ว่า ตอนนี้เขายังเรียนรู้ได้เพียงผิวเผินเท่านั้น!
ถึงแม้ว่าตัวของฉินหลางจะนั่งอยู่ในห้องเรียน แต่คาบเรียนหลังจากนี้ เขาแทบจะไม่ได้ฟังเข้าไปในหัวเลยด้วยซ้ำ เพราะในสมองของเขาเต็มไปด้วยภาพตั๊กแตนกำลังออกล่าหาอาหารแต่เพียงอย่างเดียว ตาเฒ่าพิษบอกว่าฉินหลางเรียนรู้ได้แค่ผิวเผินเท่านั้น ถึงอย่างนั้นฉินหลางเป็คนที่แพ้ไม่เป็ เพราะฉะนั้นเขาจึงตัดสินใจว่าจะฝึกฝนเพลงหมัดนี้จนสำเร็จขั้นสูงสุดในจงได้
ฉินหลางมีความรู้ในด้านชีววิทยาอยู่เต็มเปี่ยม และยังเคยดูสารคดีที่เกี่ยวกับสิ่งมีชีวิต (ทั้งพืชและสัตว์) มาเยอะแยะมากมาย และในสารคดีพวกนั้นมีอยู่หลายสารคดีที่พูดเกี่ยวกับการออกล่าหาอาหารของตั๊กแตน ในสายตาของฉินหลางนั้น ตั๊กแตนเป็นักล่าชั้นยอดในอาณาจักรของแมลงแน่นอน ท่าทางของมันตอนล่าเหยื่อ มีความลึกลับบางอย่างแอบแฝงอยู่ แล้วจุดกำเนิดของหมัดตั๊กแตนนั้น มาจากอาจารย์ที่มีความช่ำชองในศิลปะวิชาการต่อสู้ท่านหนึ่งได้ดัดแปลงมาจากท่าทางของตั๊กแตนเวลาออกล่าหาอาหารนั่นเอง
ดูไปแล้ว การที่จะฝึกฝนหมัดตั๊กแตนนี้ให้ถึงขั้นล้ำลึก ฉินหลางจำเป็ที่จะต้องเอาตั๊กแตนมาเป็ ‘ครู’ เพื่อนำเอาท่าทางตอนที่ตั๊กแตนออกล่าเหยื่อ เป็ทักษะเป็เพลงหมัด โดยเฉพาะจะต้องเอาเ้าตั๊กแตนสีเืตัวนั้นมาเป็ครู เพราะว่าเ้าตัวนี้จะต้องเป็ตั๊กแตนที่ช่ำชองศิลปะการต่อสู้มากกว่าตั๊กแตนตัวอื่นๆ แน่นอน
※※※
หลังจากเลิกเรียนตอนเย็น ฉินหลางกลับไปยังร้านเหล้าหลานจ้วนอีกครั้งหนึ่ง
พิษสารหนูบนร่างกายของฮานซานฉางได้ถูกถอนไปเรียบร้อยแล้ว แต่มันกลับไม่ได้ทำให้เขารู้สึกสบายใจมากขึ้นเลย สิ่งที่ฉินหลางได้คาดเดาไว้ไม่มีผิดเพี้ยน มีคนจ้องที่จะเล่นงานเขาจริงๆ ฮานซานฉางได้รับเบาะแสมาบ้างแล้วจากคำบอกเล่าของอาหวู่
“พี่ฉาง พิษในร่างกายของพี่ได้ถูกขับอกมาจนไม่เหลือแล้ว พี่สบายใจได้” ฉินกลางพูดกับฮานซานฉาง หลังจากเดินเข้ามาในร้านเหล้า
“พี่ฉิน ผมเป็หนี้บุญคุณพี่จริงๆ!” ฮานซานฉางกล่าวด้วยท่าทีจริงจัง “ต่อไป พี่เรียกชื่อของผมหรืออาฉางชื่อเล่นของผมก็ได้ ถ้าไม่อย่างนั้น ผมจะรู้สึกละอายใจอย่างมาก”
คำพูดนี้ออกมาจากใจของฮานซานฉาง ถึงแม้เ้าหมอนี้จะไม่ใช่คนดีอะไร แต่ก็เป็คนที่จงรักภักดีมาก ฉินหลางช่วยชีวิตของเขาไว้ ฮานซานฉางจึงระลึกถึงพระคุณของฉินหลางอยู่ตลอด ที่ยิ่งไปกว่านั้น ฮานซานฉางยังรู้สึกยกย่องในมันสมองและวรยุทธ์ของฉินหลางอีกด้วย
“พี่อายุมากกว่าผม…”
“อยู่ในวงการนี้ ไม่ได้ดูกันที่อายุ ดูเพียงความสามารถเท่านั้น พี่ฉิน ถ้าพี่ยังไม่ตอบตกลง แสดงว่าพี่ดูถูกผมแล้วนะครับ” ฮานซานฉางพูดด้วยความมุ่งมั่น
“งั้นก็ได้” ฉินหลางก็ไม่อยากที่จะต่อล้อต่อเถียงกับฮานซานฉางในประเด็นนี้ต่อแล้ว จึงเริ่มเปลี่ยนเื่พูด “รู้ตัวคนที่คิดไม่ซื่อกับนายแล้วหรือยัง?”
“มีเบาะแสบ้างแล้ว” ฮานซานฉางพยักหน้าพลางกล่าว “เ้าโง่อาหวู่ มันรู้เื่ไม่มาก แต่กระทิงเป็คนของแก๊งตะวันออก ดูไปแล้วเื่นี้น่าจะเกี่ยวกับพี่ใหญ่ของพวกมัน ส่วนเื่รายละเอียด ผมจะไปทำให้เข้าใจเอง! เื่ของวันนี้ ต้องขอบคุณพี่ฉินมากนะครับ!”
“คำขอบคุณต่อไปก็อย่าพูดถึงอีกเลย” ฉินหลางพูดขึ้น “ใช่ อีกอย่างหนึ่ง นายเคยได้ยินชื่อ อันเต๋อเซิ่ง บ้างรึเปล่า?”
“ผมรู้จัก” ฮานซานฉางพยักหน้าพลางกล่าว “อันเต๋อเซิ่ง คนนี้เขาก็เป็บุคคลที่มีชื่อเสียงในวงการนี้ แต่เขามีช่องทางทั้งสายขาว (ถูกกฏหมาย) และสายดำ (ผิดกฏหมาย) เ้าหมอนี่ค่อนข้างจะทำตัวลึกลับ น้อยครั้งมากที่จะเห็นหน้าเขา ผมก็ยังเคยเจอเขาแค่ครั้งเดียวเอง”
“เขาเป็คนยังไง?” ฉินหลางรู้สึกดีใจ เพราะเบาะแสช่างได้มาอย่างง่ายดายจริงๆ
“ชายวัยกลางคนอายุประมาณสี่สิบกว่าปี ดูเหมือนเป็นักธุรกิจ ตรงกันข้ามเป็มาเฟียในวงการ หลักๆ เ้าหมอนี่จะทำงานสายบันเทิง ธุรกิจสถานเริงรมย์ แต่กิจการที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากที่สุดก็คือ ‘บิวตี้คลับ’ ของเขา ที่ดังเป็ลำดับต้นๆ ของเมืองเซี่ยหยาง ขนาดในจังหวัดฮิระกะวะยังรู้จักกันเลย พี่ฉิน พี่ถามถึงเขาทำไมเหรอ?”
หลังจากฮานซานฉางถามประโยคสุดท้ายจบ เขาก็เหมือนจะนึกขึ้นได้ว่าเขาไม่ควรถาม จึงรีบอธิบายต่อ “พี่ฉินครับ ประโยคสุดท้ายนี้ พี่คิดซะว่าผมไม่ได้ถามละกันนะครับ”
“ไม่เป็ไร ฉันไม่ได้สนใจในตัวคนๆ นี้หรอก อาจารย์ฉันเป็คนสนใจ” ฉินหลางยิ้มจางๆ “ขอบคุณนะ ถ้าเป็ไปได้ ช่วยรวบรวมหาข้อมูลข่าวสารที่เกี่ยวกับคนๆ นี้ให้ฉันหน่อย”
“พี่ฉินวางใจได้ เื่นี้ผมจะเป็คนรับผิดชอบเอง” ฮานซานฉางรีบตอบรับ
หลังจากนั้นฮานซานฉางก็ได้ยื่นนามบัตรใบหนึ่งให้ฉินหลาง ให้ฉินหลางโทรหาเขาได้ทุกเมื่อที่้า
ฉินหลางเก็บนามบัตรดังกล่าว ก่อนจะเตือนฮานซานฉางให้ระวังตัวดีๆ อย่าให้ใครมีโอกาสลอบทำร้ายอีก แล้วจึงเดินกลับไปยังโรงเรียน
ทันทีที่มาถึงหน้าโรงเรียน ก็มีคนเดินออกมาจากด้านข้าง ร้องเรียกขึ้นว่า “พี่ฉิน”
คนที่เรียกฉินหลางไว้ก็คือจ้าวกวง ตอนนี้ทั่วทั้งใบหน้าของเ้าหมอนี่บวมช้ำจนแทบจะจำไม่ได้ เพราะหนุ่มผมยาวประกาศเอาไว้แล้วว่า ถ้าหากจ้าวกวงก้าวออกจากประตูโรงเรียน คนของเขาจะไม่ไว้หน้าแน่!
แต่ก็เป็ไปไม่ได้ที่จ้าวกวงจะไม่ออกนอกประตูโรงเรียน นี่ก็เพิ่งจะออกไป ก็โดนคนของหนุ่มผมยาวรุมกระทืบแล้ว
จ้าวกวงคิดทบทวนดู สุดท้ายก็ตัดสินใจมาขอโทษฉินหลาง คนของหนุ่มผมยาวจะได้เลิกหาเื่เขาสักที
แม้ตอนอยู่ในโรงเรียนเขาจะค่อนข้างเหิมเกริม แต่หากออกนอกโรงเรียนแล้ว ในสายตาของพวกหนุ่มผมยาวนั้น เขาไม่ต่างจากอากาศเลยด้วยซ้ำ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงฮานซานฉางเลย จ้าวกวงได้ยินหนุ่มผมยาวพูดว่า ฮานซานฉางยังต้องเรียกฉินหลางว่า ‘พี่ฉิน’ ก็ไม่กล้าที่จะแก้แค้นฉินหลางต่อแล้ว ตอนนี้เขาหวังเพียงให้ฉินหลางปล่อยเขาไป
เทียบกับการแก้แค้นแล้ว จ้าวกวงกลัวว่าฉินหลางจะหาเื่เขาต่อมากกว่า
ฉินหลางไม่ได้ถือสาจ้าวกวงั้แ่แรกอยู่แล้ว ยิ่งตอนนี้จ้าวกวงมาเรียกเขาก่อนแล้วด้วย ฉินหลางพูดขึ้นเบาๆ “จ้าวกวง ขอโทษด้วยนะ ฉันจำนายแทบไม่ได้ นายเรียกฉันไว้มีเื่อะไรรึเปล่า?”
“ไม่…ไม่มีอะไร” จ้าวกวงตอบ “ก็แค่…พี่ฉินครับ ผมมีตาหามีแววไม่ จึงได้ล่วงเกินพี่ไป หวังว่าพี่จะไม่ถือสากับผมนะครับ ต่อไปถ้าผมเจอพี่อีก ผมจะรีบเดินหลบไปห่างๆ เอง”
“เื่แค่นี้เองเหรอ”
ฉินหลางนิ่งเงียบไปราวกับกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่ ไม่ได้แสดงอาการใดๆ นอกจากการจ้องมองจ้าวกวง สายตาจับจ้องของฉินหลางทำเอาจ้าวกวงหวาดกลัวจนใจสั่น สักพัก ก่อนจะพูดต่อ “ถ้านายไม่บอกฉันลืมไปแล้วด้วยซ้ำ จ้าวกวง ที่นายให้เ้าผมยาวมาสั่งสอนฉันนั้น แท้จริงแล้วมันคือความคิดของนาย หรือเป็ความคิดของคนอื่น?”
“คนอื่น…ความคิดของผมเอง!” จ้าวกวงปากไม่ตรงกับใจ
“เป็ความคิดของนายจริงๆ เหรอ?” ฉินหลางหัวเราะด้วยน้ำเสียงเย็นเฉียบ “งั้นก็ดี เป็คนจงรักภักดีดีนิ…เดี๋ยวฉันจะบอกเ้าผมยาวให้จับตามองนายอย่างใกล้ชิดมากกว่านี้หน่อย!”
“อย่านะครับ—พี่ฉิน ผมผิดไปแล้ว!” เมื่อจ้าวกวงเห็นว่าฉินหลางกำลังจะเดินจากไป จึงอ่อนยวบลงทันที “พี่ฉิน ผมผิดไปแล้ว… คุณชายไช้เป็คนยุให้ผมทำ ฉผมสมควรตาย!”
“แค่นี้ก็สิ้นเื่” ฉินหลางยิ้มจางๆ พร้อมกับตบไหล่ของเ้ากวง “นายเป็คนจงรักภักดี แต่ในยามที่นายโดนต่อยทำไมไม่มีใครมาช่วยนายล่ะ? ดีแล้ว เดี๋ยวฉันจะบอกกับเ้าผมยาวเอง”
“ขอบคุณครับพี่ฉิน…ขอบคุณ…” จ้าวกวงยังไม่หยุดขอบคุณฉินหลาง ในใจคิดเคืองตัวเอง ทำไมเราต้องมามีปัญหากับคนแบบนี้ด้วย