นอกเหนือจากงานแต่งงานของหรงเยว่แล้ว ได้ยินว่างานแต่งงานของเฉิงเยว่กับเฉี่ยวเยว่ก็ใกล้จะแล้วเสร็จ
เฉียวเยว่รู้สึกจากหัวใจ ขิงยิ่งแก่ก็ยิ่งเผ็ดแท้ๆ นางมาแทบทุกวัน กลับไม่รู้เลยว่ากำหนดการจะเร็วขนาดนี้ ดูท่าคงจะสำเร็จไปแปดเก้าส่วนแล้ว ถึงจะพูดให้รู้กันในบ้าน แต่ข่าวสารจำพวกนี้ก็เหลือเกินจริงๆ เพียงกล่าวออกมาก็เหมือนปล่อยว่าวขึ้นฟ้า พริบตาเดียวคนก็รู้กันทั่ว
เช่นเื่ของเฉียวเยว่เป็ต้น ดูเหมือนว่าทั่วทั้งเมืองหลวงไม่มีใครที่ไม่รู้ และไม่มีใครที่ไม่เห็น
แม้แต่ยามไปสำนักศึกษา สายตาของทุกคนที่มองนางก็ดูผิดปรกติไป
โม่หลันแอบดึงนางมาคุยเป็การส่วนตัว "คนคำนวณมิสู้ฟ้าลิขิตจริงๆ ตอนแรกเ้ายังบอกว่าตนเองจะแต่งงานช้าหน่อย ดูตอนนี้สิ หมั้นหมายก่อนใครเลย ทุกสิ่งล้วนเป็ไปได้จริงเสียด้วย"
โม่หลันพูดมาถึงตรงนี้ก็ขนลุกทั่วสรรพางค์ "แต่อวี้อ๋องผู้นี้... คิดแล้วก็น่าแปลกอย่างไรก็ไม่รู้"
แม้ว่าอวี้อ๋องจะดีต่อเฉียวเยว่มาั้แ่เด็ก ทว่าก็ยังทำให้คนรู้สึกเห็นอกเห็นใจอยู่ดี
อวี้อ๋องอาจจะเป็บ้าจริงๆ ก็ได้
"เฉียวเยว่ เ้าแอบหนีไปดีหรือไม่ พกกระบี่ท่องยุทธภพเพียงลำพังก็ดีนะ อย่างน้อยก็ไม่ต้องแต่งให้กับคนจิตวิปริต" โม่หลันเสนอแนะ
เฉียวเยว่ขำพรืดกับถ้อยคำติดตลกของนาง "เ้านี่น่ารักยิ่ง แต่แม่สาวน้อยโม่หลัน เ้าลองคิดดู ข้ามิใช่เ้า ข้าเป็สตรีที่ไม่มีแม้แต่แรงมัดไก่ จะพกกระบี่พเนจรไปสุดหล้าฟ้าเขียวได้อย่างไร คนมิตายก่อนพอดีหรือ?”
ฟังเช่นนี้แล้ว โม่หลันก็รู้สึกว่ามีเหตุผลอยู่บ้าง นางเกาหัวแล้วเอ่ยว่า "่นี้ข้าหัวตื้อไปหน่อย เ้าอย่าใส่ใจคำพูดของข้าเลย"
โม่หลันหาใช่แม่นางที่ไม่รู้ว่าสิ่งใดควรไม่ควร เฉียวเยว่เห็นนางอารมณ์ไม่ดี ก็ถามกลับไป "เ้ามีเื่อันใดใช่หรือไม่?"
โม่หลันขบริมฝีปาก ลังเลใจว่าจะควรพูดดีหรือไม่ เฉียวเยว่ตีนางพร้อมกับเอ่ยว่า "ทุกคนล้วนเป็พี่น้องที่ดีต่อกัน อย่าทำเช่นนี้สิ มีอะไรก็ลองพูดออกมาให้ฟัง บางทีข้าอาจช่วยได้"
โม่หลันนิ่งไปพักใหญ่ ก็ตอบว่า "ก็บิดามารดาข้าน่ะสิ เพื่อให้ข้าสามารถแต่งเข้าจวนสกุลิ่อย่างราบรื่น ก็ไปประจบสอพลอิ่ฮูหยินทั้งวัน น่าขายหน้าจริงๆ ข้าอยากหนีออกจากบ้านให้รู้แล้วรู้รอด ตอนแรกใช่ว่าข้าไม่อยากแต่งกับิ่จื้อรุ่ย แต่สะดุดเพราะเื่เหล่านี้นี่แหละ ตอนนี้ข้าเลยไม่มีความคิดเยี่ยงนั้นอีกแล้ว"
นางถอนหายใจ "นึกดูแล้วก็น่าหงุดหงิดยิ่งนัก"
แม้เฉียวเยว่จะไม่มีประสบการณ์ แต่คล้อยตามได้ไม่ยาก "แท้จริงแล้วข้าเองก็ใช่ว่าจะไม่เข้าใจ"
โม่หลันพยักหน้า "จริงหรือ เ้าก็เข้าใจใช่หรือไม่ ข้าน่ะรำคาญจะตายอยู่แล้ว พวกพี่ชายต่างก็บอกว่าท่านพ่อท่านแม่ทำเพราะหวังดีต่อข้า แต่ข้าเบื่อมาก"
เฉียวเยว่ดึงมือโม่หลันมากุม "ข้าก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไรหรอกนะ ทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับตัวเ้าเอง รอเ้าอารมณ์ดีขึ้น ปรับสภาพจิตใจของตนเองได้ มองอย่างเยือกเย็นด้วยสติปัญญา ก็อาจจะไม่ได้เลวร้ายถึงขั้นนั้น สิ่งสำคัญคือต้องดูว่าิ่จื้อรุ่ยผู้นี้มีค่าพอหรือไม่ หากเ้ารู้สึกว่าไม่น่าจะไปกับเขาได้จริงๆ ก็ไปพูดเกลี้ยกล่อมบิดามารดาของตนเอง หากไม่สำเร็จ ก็ต้องตั้งสติมองดูสถานการณ์โดยรวมให้ดี อย่าวอกแวกหรือสับสนเป็อันขาด มิเช่นนั้นอาจพลาดพลั้งตัดสินใจผิดได้ง่าย"
เหมือนอย่าง... พี่หญิงสามของนาง
แม้ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะสบายดี แต่ก็ใช่ว่าจะไร้ความวิตกกังวล
โม่หลันไตร่ตรองคำพูดของเฉียวเยว่ดูแล้ว ก็ย้อนถามทันควัน "แล้วเ้าล่ะ? เ้าชอบอวี้อ๋องหรือไม่? พระราชทานสมรสครานี้ เ้ามีความคิดเห็นเช่นไร?"
เฉียวเยว่หัวเราะออกมา "พระราชทานสมรสหรือ? อยู่ไหนเล่า?"
นางทำตาปริบๆ อย่างไร้เดียงสา "เห็นชัดอยู่ว่าฝ่าายังมิได้พระราชทานสมรส พวกเ้าก็พูดกันเสียจนเป็เื่จริงไปแล้ว"
"แหม... ก็เป็เื่แค่ช้าหรือเร็วหรอกน่ะ เ้าอย่ามาเฉไฉออกนอกเื่ พูดมา พวกเราสนิทเยี่ยงนี้ แม้แต่ความลับของตัวเองข้ายังบอกเ้าเลย"
เฉียวเยว่ป้องปากหัวเราะ หลังจากนั้นก็เอ่ยว่า "ข้ารู้สึกว่าดีมาก"
โม่หลันเบิกตากว้างร้องอุทาน "ดีมาก? เ้า เ้า เ้า เ้า..." แต่กลับไม่รู้จะพูดอะไรต่อไป
"พี่จ้านดีกับข้ามากั้แ่ยังเล็กแล้ว เขาหน้าตาดี ชาติตระกูลก็ดี หนำซ้ำยังรักข้า ไยข้าจะไม่รู้สึกว่าดีมากเล่า ข้ามิใช่คนเขลาเบาปัญญาเสียหน่อย"
คำอธิบายนี้ดูเหมือนไม่มีปัญหา แต่โม่หลันบอกไม่ถูกว่ามันทะแม่งตรงไหน
นางเกาศีรษะแกรกๆ นิ่งคิดอยู่พักใหญ่ ก่อนที่จะเอ่ยว่า "เอ๋ ไม่ถูกสิ ระหว่างสามีภรรยาควรต้องพิถีพิถันใส่ใจเื่ความรักเป็พิเศษมิใช่หรือ เหตุใดถึงพิจารณาแต่เื่ภายนอกเล่า ไม่เห็นจะสำคัญเลย"
เฉียวเยว่มองสาวน้อยที่กำลังสับสนตรงหน้าแล้วเอ่ยว่า "เ้าน่ะ คิดมากไปแล้ว หากไม่พิจารณาเื่ภายนอก มารดาเ้าคงให้เ้าแต่งงานกับขอทานข้างถนนไปแล้วล่ะ"
คำกล่าวนี้แม้จะฟังดูไร้สาระ แต่โม่หลันกลับจับใจความได้ เฉียวเยว่ของพวกนางถนัดเื่ใช้เหตุผลบิดเบี้ยวมาล่อลวงคนเป็ที่สุด
"ต้องเป็เพราะเ้าเองก็ชอบอวี้อ๋องมากอยู่แล้วเป็แน่" โม่หลันเอ่ยอย่างมั่นใจและจริงจัง
หากไม่ใช่ ก็คงไม่เป็เช่นนี้ แต่ว่า... โม่หลันพลันหน้าเปลี่ยนสี ขบริมฝีปากละล่ำละลัก "แต่ว่า... แต่ว่ายังมีปัญหาใหญ่อีกข้อหนึ่งนะ"
นางนึกถึงข้อสำคัญอีกอย่างหนึ่งขึ้นได้ รีบคว้าชายเสื้อของเฉียวเยว่ทันควัน ท่าทางเป็กังวลอย่างมาก "หมดกัน หมดกัน พวกเราลืมไปได้อย่างไร อวี้อ๋องมีดวงพิฆาตภรรยา!"
พูดมาถึงตรงนี้ ใบหน้าก็ขาวซีดไปจริงๆ "จะทำเยี่ยงไรดีล่ะทีนี้"
โม่หลันเห็นเฉียวเยว่เป็สหายด้วยใจจริง ย่อมไม่อาจปล่อยวางได้เป็ธรรมดา "จะทำเยี่ยงไร?"
นางร้อนรนกระวนกระวายพูดวกไปวนมา
เฉียวเยว่ดึงมือของโม่หลันมากุม แล้วเอ่ยเสียงเบา "เื่นี้ ข้าสามารถควบคุมได้ เ้าวางใจก็พอ"
โม่หลันกระทืบเท้า "ข้าวางใจลงที่ไหนกันเล่า"
"เ้าดูตนเองสิ ตื่นตระหนกยิ่งกว่าข้าเสียอีก" เฉียวเยว่ปลอบโยนนาง
โม่หลันทำสีหน้าจริงจัง "เพราะเ้าเป็สหายที่ดีของข้า ข้าผู้นี้แม้จะมีมิตรสหายเยอะ แต่คนที่คบหาจนรู้ใจกลับมีไม่มากนัก ข้าไม่อยากให้เกิดเื่กับเ้าจริงๆ"
โม่หลันจับมือเฉียวเยว่ไว้ไม่ปล่อย "ข้าอยากให้เ้าสุขสบายดีในทุกสิ่งทุกอย่าง"
มุมปากของเฉียวเยว่โค้งขึ้น...
ตอบเสียงเบา "ได้"
พอเห็นโม่หลันทำสีหน้างุนงง นางก็พูดต่อไปว่า "ข้ารับปากเ้า ข้าจะมีชีวิตที่ดี"
โม่หลันเข้าไปกอดเฉียวเยว่ แล้วพูดอย่างจริงจัง "หากเกิดเื่อันใด ข้าจะให้พี่ชายข้าไปช่วยเ้า บ้านข้ามีพี่ชายเยอะ"
เฉียวเยว่ขำพรืด หัวเราะเสียงดังลั่น
หรงจ้านมองสถานการณ์ทางนี้อยู่ไกลๆ ก็ถอนหายใจแ่จางออกมาเฮือกหนึ่ง แม้ระยะทางจะห่างมาก ไม่สามารถฟังสิ่งที่พวกนางคุยได้ชัดเจน แต่กลับเห็นความเคลื่อนไหวของพวกนางได้
"บุรุษจะมาแย่งชิงกับข้าก็แล้วไปเถอะ นี่สตรีก็ยังมิวาย ช่างน่าเบื่อจริงๆ" หรงจ้านบ่นพึมพำ
อาจารย์กู้กลัวว่าเขาจะขาดสติไปทำอะไรกับลูกศิษย์ของตน ก็รีบท้วงติงทันที "ท่านอ๋องโปรดระวังคำพูดและการกระทำของตนเองด้วย อย่าผลีผลามทำสิ่งใดโดยขาดสติ"
หรงจ้านเลิกคิ้ว "ข้าดูเหมือนคนเยี่ยงนั้นหรือ? คำพูดของเ้าทำให้ข้าอดเสียใจไม่ได้"
อาจารย์กู้มุมปากกระตุกเล็กน้อย "พอดีข้ารู้สึกว่าสิ่งที่ตนเองพูดล้วนเป็ความจริง"
"ดูท่า คงต้องเร่งให้หยางโม่หลันแต่งออกไปโดยเร็วเสียแล้ว" หรงจ้านเอ่ยอย่างช้าๆ
อาจารย์กู้อับจนถ้อยคำจริงๆ
"ท่านทำเช่นนี้ไม่ดีอย่างยิ่ง เื่บุพเพสันนิวาส์ลิขิตไว้แล้ว หากท่านเข้าไปแทรกแซงจนเกิดความวุ่นวาย ชีวิตคู่ของนางไม่มีความสุขจะทำเช่นไร ท่านก็รู้ ลูกศิษย์ก็เหมือนบุตรของข้า ข้าคงไม่อาจนิ่งดูดายปล่อยให้ท่านทำอะไรส่งเดช การกระทำเช่นนี้..."
หรงจ้านแคะหู พูดอย่างจนปัญญา "เคยมีใครบอกหรือไม่ ว่าเ้าหัวโบราณคร่ำครึและชอบพูดจู้จี้น่ารำคาญเป็ที่สุด?"
"ข้าทำเพื่อเด็กๆ" อาจารย์กู้เอ่ยอย่างจริงจัง
ทั้งสองต่างไม่ยอมลงให้กัน
"เอ๋? พี่จ้าน!" เฉียวเยว่หันกลับมาเห็นหรงจ้าน ก็โบกมือให้ พลางยิ้มทักทายอย่างกระตือรือร้น
หรงจ้านไม่สนใจอาจารย์แก่ขี้บ่นข้างกายอีกต่อไป เขาเดินเข้าไปหาเฉียวเยว่ด้วยรอยยิ้มบางๆ "เหตุใดเฉียวเยว่ยังไม่กลับอีกเล่า?"
บัดนี้ถึงเวลาเลิกเรียนแล้ว
"ข้าคุยกับโม่หลันอยู่เ้าค่ะ พี่จ้านเสียอีก มาที่นี่ได้อย่างไร?"
หรงจ้านยิ้มกระจ่างพร่างพราย "ข้าย่อมมาหาอาจารย์กู้ แต่ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ต้อนรับข้าเท่าไรนัก"
"อาจารย์กู้ของพวกเราดีมาก พี่จ้านอย่าว่าร้ายเขาเป็อันขาด" เฉียวเยว่รีบปกป้องอาจารย์ของตนเองทันควัน
หรงจ้านเลิกคิ้ว "เ้ารู้สึกว่านี่ถือเป็การว่าร้ายหรือ?"
เฉียวเยว่ตอบทันที "แน่นอนสิเ้าคะ เป็อาจารย์หนึ่งวันผูกพันดั่งบิดาชั่วชีวิต ท่านทำเช่นนี้ไม่ได้"
ดวงตากลมโตของเฉียวเยว่มองกลับไปกลับมาระหว่างหรงจ้านกับอาจารย์กู้อยู่หลายรอบ จากนั้นก็ยิ้มเอ่ยว่า "พี่จ้านกับอาจารย์กู้สนิทกันมากหรือเ้าคะ?"
"ไหนเลยจะใช่ ข้าเป็สามัญชน มิอาจเอื้อมเป็สหายของอวี้อ๋อง" อาจารย์กู้ปฏิเสธทันควัน
หลังจากนั้นก็สะบัดแขนเสื้อเดินไปเลย
เฉียวเยว่อ้าปากค้าง เงียบไปครู่ใหญ่ "นี่คืออาการของเด็กที่กำลังแง่งอน"
โม่หลันขำพรืดออกมา แล้วกระซิบเสียงเบา "หากอาจารย์กู้รู้ว่าเ้าพูดถึงเขาเช่นนี้ ได้ผ่าเ้าออกเป็แปดส่วนแน่"
เฉียวเยว่แบมือทั้งสองออกอย่างไม่ยี่หระ
หรงจ้านยิ้มมองเฉียวเยว่อย่างพินิจ วันนี้แม้ว่านางจะสวมชุดของสำนักศึกษาแสนจะธรรมดา แต่ยังยากจะซ่อนเร้นความงดงามและความน่ารักมีเสน่ห์ของนางไว้ได้
"ข้าส่งเ้ากลับจวนดีหรือไม่" เขาเอ่ย
เฉียวเยว่พยักหน้าตอบตกลง "ดีเ้าค่ะ"
นางจูงมือโม่หลัน "พวกเราไปด้วยกัน"
โม่หลันมีสีหน้าเก้อเขิน ตอนนี้ดูเหมือนจะไม่สะดวกกระมัง?
แต่นางไม่รู้จะบอกออกไปอย่างไร จำต้องเดินตามทั้งสองออกไปจากสำนักศึกษา
"เดี๋ยวพี่จ้านส่งโม่หลันแล้ว พาข้าไปร้านตำราหน่อยนะเ้าคะ ข้าอยากซื้อตำราสักสองสามเล่ม ได้ยินว่ามีสินค้าใหม่เข้ามา ข้าอยากดูสักหน่อยมีตำราดีๆ อันใดหรือไม่ จะได้ส่งไปให้พี่สาวเ้าค่ะ"
เอ่ยถึงชายารัชทายาท ั์ตาของหรงจ้านก็วูบไหวเล็กน้อย แล้วอมยิ้ม
หลังจากโม่หลันลงจากรถม้า เฉียวเยว่ก็ถามทันที "พี่สาวของข้าเกิดเื่อันใดใช่หรือไม่ นางไม่ยอมบอก แต่ปิดข้ามิได้หรอก"
สิ่งที่เฉียวเยว่เก่งที่สุดคือการสังเกตคนจากสีหน้าและวาจา นี่คือประสบการณ์ของนางในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าเมื่อชาติก่อน สถานที่แห่งนั้นสอนให้นางรู้ว่ายิ่งฉลาดมีไหวพริบและรู้จักสังเกตสีหน้าคนมากเท่าไร ชีวิตก็จะยิ่งดีขึ้นเท่านั้น และในชาตินี้ความทรงจำในอดีตก็ยังติดตัวนางมาั้แ่เป็ทารก ในเวลานั้นนางยังทำอะไรไม่ได้ นอกจากสังเกตสีหน้าของผู้อื่น
ด้วยเหตุนี้ แม้เื่อื่นจะทำไม่ได้ แต่เื่จับสังเกตคนจากสีหน้าและถ้อยวจีเฉียวเยว่ย่อมชำนาญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะคนใกล้ตัวที่รู้จัก
หรงจ้านไม่เคยปิดบังอยู่แล้ว เขาเอ่ยเพียงว่า "นางกำนัลข้างกายรัชทายาทตั้งครรภ์แล้ว"
เฉียวเยว่ตกตะลึง แล้วหรี่ตาน้อยๆ เสียงของนางไม่มีความฉุนเฉียว แต่ทำให้คนรู้สึกเย็นะเื "ข้าจำได้ ฝ่าาตรัสว่าภายในสามปีรัชทายาทไม่อาจมีสตรีอื่นมิใช่หรือ?"
หรงจ้านยักไหล่ก่อนตอบกลับมา "ใครจะไปรู้เล่า อย่างไรเสียเื่เหล่านี้ก็มิได้เรียบง่ายอย่างที่คิด"
เฉียวเยว่หัวเราะเยาะหยัน "แล้วตอนนี้เล่า พวกเขาคิดจะทำเยี่ยงไร?"
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้