หลินต้าหลางได้ยินว่าปู่หลินและหลินต้าซานตั้งตารอดูบ้านใหม่ของบ้านสอง ยังรู้ว่าสร้างเกือบเสร็จแล้ว ดังนั้นเมื่อเห็นภาพบ้านสองที่ยังไม่เสร็จจึงได้มีแผนการในใจ
ไม่นึกว่าตัวเองคิดจะทำให้บ้านสองขายหน้า หลินฟู่อินกลับลงมือแก้ปัญหาให้โดยไม่เจ็บตัวแม้แต่น้อย
เขาเป็บัณฑิต แม้จะไม่รู้เื่ราคาเครื่องเทศ ข้าว น้ำมัน เกลือ เครื่องปรุง น้ำส้มสายชูและชา แต่เห็นสีหน้าโล่งใจของเฟิงซื่อก็เดาได้ว่าราคาการจัดสองงานกับการจัดหลิวสุ่ยสีคงเหมือนๆ กัน
ดังนั้นสายตาจึงฉายแววโมโห เขาแค่นเสียงเย็นก่อนสะบัดแขนเสื้อจากไป
หลินต้าเหอไม่เข้าใจว่าเหตุใดคนจึงดูหงุดหงิดอีกแล้ว
“เกิดอะไรขึ้น? เหตุใดต้าหลางดูไม่พอใจอีกแล้ว?” หลินต้าเหอมองหน้าภรรยาด้วยความงุนงง
เฟิงซื่อมองหน้าเขาอย่างดุดัน แอบทอดถอนใจเงียบๆ
เห็นภรรยาไม่มีความสุขอีกแล้ว หลินต้าเหอก็ยิ่งสับสน อดไม่หันไปขอความช่วยเหลือจากหลินฟู่อินไม่ได้ “ฟู่อิน บอกลุงสองทีเถอะ ต้าหลางเป็อะไรกันแน่?”
ให้เฟิงซื่อพูดเป็เื่ยาก แต่นางเป็คนสกุลหลิน นางจึงไม่ใส่ใจ ออกปากเตือนเขา “ท่านลุงสอง พี่ต้าหลางตั้งใจทำให้ท่านขายหน้านะเ้าคะ เื่หลิวสุ่ยสีน่ะจะเป็ท่านปู่ท่านย่าคิดหรือไม่ไม่สำคัญ ใช่แล้ว คนแก่ยึดถือประเพณีดั้งเดิม พวกท่านจะไม่รู้ได้ยังไงว่าคนทั่วไปจัดงานเลี้ยงหลิวสุ่ยสีนี้ไม่ไหว?”
หลินฟู่อินพูดจนจบแล้วหลินต้าเหอก็ยังคงงุนงง “เอ๋ แล้วทำไมต้าหลางต้องทำเช่นนั้นด้วย?”
หลินฟู่อินอยากจะเป็ลม ว่ากันว่าัมีลูกเก้าตัว แต่ละตัวล้วนแตกต่าง สามพี่น้องสกุลหลินก็เป็เช่นนี้…
“ข้าก็ไม่ทราบเ้าค่ะ ท่านลุงสองคงต้องลองไปถามพี่ต้าหลางเอาเองแล้ว” หลินฟู่อินกลอกตาแล้วจึงกล่าวยิ้มๆ
เมื่อเฟิงซื่อได้ยินเช่นนี้ก็ยิ้มอย่างอ่อนใจ ดึงมือหลินฟู่อิน “ไม่ต้องไปบอกลุงสองเ้าหรอก เขาไม่เข้าใจ ชีวิตนี้ข้าไม่เคยจัดงานเลี้ยงหลิวสุ่ยสีมาก่อน อย่างดีก็เพียงช่วยหยิบผักล้างจานในงานเลี้ยงเมื่อก่อนเท่านั้น เื่กะทันหันเช่นนี้หัวใจข้าเต้นเร็วจนนึกว่าจะตายแล้ว!”
หลินฟู่อินทราบว่าอีกฝ่ายกังวล ตัวนางเองก็ไม่เคยรับมือกับงานเลี้ยงเช่นนี้มาก่อน แต่สิ่งที่มนุษย์ทำ นางไม่เชื่อว่าพวกตนจะทำไม่ได้!
“ท่านป้าสองไม่ต้องแตกตื่นไปเ้าค่ะ บอกข้ามาว่าจัดหลิวสุ่ยสีต้องใช้อะไรบ้าง ข้าขอกลับไปเอาพู่กันมาเขียนก่อน จากนั้นค่อยมาคุยกันช้าๆ” หลินฟู่อินกล่าวด้วยน้ำเสียงสงบ
เฟิงซื่อทราบว่าอีกฝ่ายไม่เร่งร้อน เห็นท่าทีมั่นใจและความสง่างามในหว่างคิ้วของหลานสาว หัวใจนางก็สงบนิ่งขึ้น
จากนั้นนางจึงค่อยๆ อธิบายกฎของการจัดหลิวสุ่ยสีในหมู่บ้านนี้ไปทีละข้อ
หลินฟู่อินฟังไปพยักหน้าไป
อย่างแรกคือต้องมีโต๊ะ เก้าอี้ ถาด ภาชนะในการรับประทานอาหารและจอกสุรา
ของเหล่านี้หายืมจากชาวบ้านได้ โต๊ะ เก้าอี้ ภาชนะและตะเกียบนี้แต่ละบ้านต่างก็มีทั้งนั้น ถึงเวลาจัดงานใหญ่ แต่ละบ้านต่างก็ช่วยกัน ดังนั้นไม่มีอะไรให้กลัว
หลินฟู่อินพูด “ให้ลุงสองไปยืมโต๊ะ เก้าอี้ ภาชนะ และตะเกียบมาเถอะเ้าค่ะ”
หลินต้าเหอพยักหน้าหงึกหงัก เื่พวกนี้เขาคุ้นเคยดี เมื่อก่อนเวลามีคนในหมู่บ้านจัดงานเลี้ยงเขาก็ไปช่วยเหลือแทบทุกครั้ง
น้ำมัน เกลือ ซีอิ๊ว น้ำส้มสายชูและใบชาเหล่านี้ไม่พอแน่นอน ต้องไปซื้อเพิ่ม เฟิงซื่อกับหลินต้าเหอไปซื้อด้วยกัน
ยังต้องซื้อเนื้อเพิ่มอีกเยอะ หลินฟู่อินกับเฟิงซื่อคุยๆ กันก็ตัดสินใจสั่งเนื้อติดมันมาอีกสิบห้าจิน
อาหารจานเนื้อต้องมีสองชนิด นางกับเฟิงซื่อตัดสินใจว่าจะซื้อไก่ตัวผู้ตัวใหญ่สี่ตัวกลับมา
เฟิงซื่อรู้สึกอายเล็กน้อย ไก่ตัวผู้จะไม่แพงเท่าไก่ตัวเมีย แต่ก็ยังราคาหนึ่งอีแปะต่อจิน ไก่ตัวใหญ่เช่นนี้ตัวหนึ่งหนักสี่ถึงห้าจิน ซื้อสี่ตัวหมดเงินไปถึงยี่สิบอีแปะ สิ่งที่น่ากลัวคือต่อให้ซื้อไก่สี่ตัวนี้มาก็ยังเกรงว่าจะไม่พอจัดงานหลิวสุ่ยสี
อย่างไรชาวบ้านต่างก็ทำงานหนักกันทุกวัน บ้านนอกเช่นนี้มีน้ำมันน้อยน้ำน้อย จะได้กินไก่ครั้งหนึ่งก็หายาก หากมีให้กินแล้วเหตุใดจะไม่แตะต้องเล่า?
โดยเฉพาะเด็กๆ ทั้งหลายที่ตลอดปีได้กินอาหารดีๆ น้อยนิด กระทั่งปีใหม่ยังอาจไม่มีอะไรดีๆ ตกถึงท้อง เฟิงซื่อจึงไม่ค่อยอยากซื้อนัก
หลินฟู่อินยิ้ม มองหน้าเฟิงซื่อ “ท่านป้าสอง ท่านจริงใจมากจริงๆ ซื้อไก่ก็จะใช้แค่ไก่หรือเ้าคะ? ข้าคิดวิธีเอาไว้แล้ว ไม่ใช่ว่ามันฝรั่งของเราก็กินได้หรือ? พรุ่งนี้ให้ท่านลุงสองเข้าหมู่บ้าน ถามดูว่าใครปลูกมันฝรั่งบ้าง หากมีก็รับซื้อมาเสีย ซื้อมาหลายๆ ลูก ทำไก่ย่างมันฝรั่งกัน!”
เฟิงซื่อไม่เคยได้ยินชื่ออาหารเช่นนี้มาก่อนจึงอดสงสัยมิได้ ใช้ไก่กับมันฝรั่งจะทำอะไรได้?
แต่นางก็ตกลงทันที อย่างไรซื้อมันฝรั่งสิบจินก็เพียงสองอีแปะเท่านั้น
“แต่ข้ายังไม่เคยทำไก่ย่างมันฝรั่งอะไรนั่นมาก่อน เคยกินยิ่งไม่ต้องพูดถึง มันอร่อยหรือ?” เฟิงซื่อถามด้วยความกังวล
ที่แท้ในต้าเว่ยนี้มีอาหารไม่กี่อย่าง แต่ละอย่างก็ทำเพียงขั้นตอนเดียว ไม่ต้องพูดถึงการทำอาหารหลายชนิดพร้อมกันเลย
หลังจากที่หลินฟู่อินมา นางก็มักจะทำอาหารจากของหลายๆ อย่างเอามาผัดรวมกัน
เฟิงซื่อยังคงกังวล หลินฟู่อินจึงยิ้มปลอบ “ท่านป้าสองเพียงเชื่อในตัวข้าก็พอเ้าค่ะ!”
แน่นอนว่าเฟิงซื่อเชื่อนาง จึงได้พยักหน้ารับ
หลินฟู่อินเรียบเรียงกฎงานเลี้ยงหลิวสุ่ยสี ใครต้องทำอะไรก็จัดการไปด้วย
พอคำนวณเล็กๆ น้อยๆ เสร็จ นอกจากเงินแปดสิบตำลึงเงินที่บ้านสองเตรียมเอาไว้เพื่องานเลี้ยงวางคาน ก็ยังขาดอีกประมาณห้าตำลึงเงิน
เพราะเงินที่จะเอาไว้ใช้จัดรับขวัญหลินซานหลางนั้นบ้านสองยังไม่มี
เมื่อสองสามีภรรยาฟังที่หลินฟู่อินคำนวณแล้วก็คิดว่ายังขาดอีกมาก ทำให้ทั้งคู่ร้อนใจจนหน้าแดง
“นี่… ยังขาดอีกตั้งเยอะ ข้าจะทำยังไงดี?” หลินต้าเหอมองภรรยา สายตาหงุดหงิดยิ่ง
เฟิงซื่อไม่ได้โมโห ผลักหลินต้าเหอแล้วพูดเสียงแข็ง “เ้าคิดว่าข้าจะทำยังไงล่ะ? ไม่รู้จักการยืมเงินหรือ? ไปขอยืมจากพ่อแม่กับพี่ชายเ้านู่น ดูว่าปกติอยู่กับพวกนั้นแล้วเป็ยังไง คิดว่าจะยืมได้เท่าไรกันเชียว?”
หลินต้าเหอถูกผลักเช่นนี้ก็ลงไปนั่งกับพื้น ยกสองมือยกขึ้นกุมหัวโดยไม่พูดอะไรอีก
เฟิงซื่อมีท่าทีหม่นหมอง
นางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วยิ้มให้หลินฟู่อิน “ให้ฟู่อินเห็นเื่ขบขันแล้ว! ข้ากังวลเกินไป ท่านย่าเ้าก็ส่งเงินห้าสิบอีแปะมาแล้ว ต่อให้ไปขอยืมก็คงไม่ได้ ประเดี๋ยวข้าไปบ้านแม่ข้าดีกว่า ขอให้ทางนั้นช่วยคิดหาหนทาง”
เฟิงซื่อเองก็้าหน้าตา ในเมื่อบอกหลินต้าหลางให้กลับไปบอกบ้านเดิมว่าจะจัดงานหลิวสุ่ยสีไปแล้ว ต่อให้ต้องให้ทางบ้านหายืมมาก็ต้องจัดงานให้ได้
หลินฟู่อินจับมือผู้เป็ป้าเอาไว้ ที่จริงนางคิดวิธีออกแล้ว
พอดีว่านางเพิ่งจะขายไข่เยี่ยวม้ากับไข่ดอกสนชุดแรกไปได้ ยังเหลืออยู่อีกยี่สิบตำลึงเงิน
“ท่านลุงท่านป้าไม่ต้องกังวลเ้าค่ะ” หลินฟู่อินมองเฟิงซื่อ “เดิมทีข้าตั้งใจจะรอให้ท่านลุงกับท่านจัดการเื่บ้านให้เสร็จเรียบร้อยแล้วมาช่วยข้ารับซื้อไข่ ข้าให้ค่าแรงวันละห้าอีแปะ ก็ตกเดือนละสามตำลึงเงินกระมัง? ให้ข้าจ่ายค่าแรงล่วงหน้าสองเดือนก่อนได้เ้าค่ะ”
เฟิงซื่อตกตะลึง นางรีบโบกแขนไปมา “เช่นนี้ไม่ได้! จะได้ได้ยังไง? เราได้เงินล่วงหน้ามาเยอะมากแล้ว!”
“ท่านป้าสอง ท่านลุงสอง เรามาจากครอบครัวเดียวกัน หากข้าไม่ช่วยท่านจะให้ข้าช่วยผู้อื่นหรือเ้าคะ?” หลินฟู่อินยิ้ม เฟิงซื่อยังไม่ทันกล่าวะอะไร นางก็พูดต่อด้วยน้ำเสียงจริงจัง “แต่ข้ามีเื่สำคัญต้องคุยกับท่านลุงท่านป้าเ้าค่ะ”