หลังจากที่หลัวเลี่ยก้าวข้ามขั้นมาได้แล้ว เขาก็ผ่อนแรงกดดันในการฝึกฝนของตัวเองลง
เมื่อเผชิญหน้ากับสตรีไร้เทียมทานเช่นไก้อู๋ซวง หากระดับพลังวรยุทธ์ต่ำกว่านางก็เป็ไปไม่ได้ที่จะเอาชนะนางอย่างแน่นอน ก่อนหน้านี้ความแข็งแกร่งของทั้งสองอยู่ในระดับที่ใกล้กันเกินไป และความแตกต่างเพียงอย่างเดียวระหว่างพวกเขาทั้งสองก็คือสมรรถภาพทางกาย ซึ่งแน่นอนว่าหลัวเลี่ยที่ฝึกฝนเคล็ดวิชาั์ย่อมมีพละกำลังเหนือกว่าไก้อู๋ซวง ทำให้เขาสามารถเอาชนะไก้อู๋ซวงมาได้
อย่างไรก็ตามการเกิดใหม่ในครั้งนี้ของไก้อู๋ซวงคงทำให้ความสามารถของนางเพิ่มขึ้นทุกด้านอย่างแน่นอน ซึ่งมันจะทำให้พลังวรยุทธ์ของพวกเขาแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดมากขึ้น
กล่าวได้ว่าเคล็ดวิชาั์ที่หลัวเลี่ยฝึกฝนเมื่อมีพลังวรยุทธ์อยู่ในระดับฝึกตนนั้นถูกกำหนดให้มีความได้เปรียบอย่างมากเมื่อเผชิญหน้ากับคนที่มีพลังวรยุทธ์ในระดับใกล้เคียงกัน แต่ไก้อู๋ซวงถือกำเนิดจากฟ้าดินซึ่งมีความพิเศษมากกว่าคนอื่น ทำให้หลัวเลี่ยกังวลว่าความได้เปรียบในข้อนี้ของเขาจะไม่ได้ผลอีกต่อไป
“จะชนะได้อย่างไร”
พลังวรยุทธ์ในร่างกายของหลัวเลี่ยยังคงไหลเวียนอย่างรวดเร็วผ่านเส้นลมปราณ ซึ่งวิธีนี้เป็การฝึกฝนอีกวิธีหนึ่ง
เขากำลังรวบรวมพลังลมปราณ
ในขณะเดียวกัน ในใจลึกๆ ของหลัวเลี่ยก็เริ่มคิดวิเคราะห์และเปรียบเทียบพลังของตนกับไก้อู๋ซวงในทุกๆ ด้าน
เมื่อหลัวเลี่ยมองไปยังไข่ับนแท่นเหยียนซินที่ตั้งอยู่ในฝั่งตรงข้ามกับตัวเอง เขาก็ััได้ว่าไข่ักำลังถ่ายเทพลังงานไปหล่อเลี้ยงไก้อู๋ซวงอยู่ ซึ่งมันคงจะส่งผลให้ไก้อู๋ซวงเกิดการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายครั้งใหญ่อย่างแน่นอน
“พลังวรยุทธ์ สมรรถภาพร่างกาย วิชายุทธ์ อาวุธ ประสบการณ์ และสภาพแวดล้อม สิ่งใดที่ควรจะเป็สายการโจมตีหลักของข้า”
ในขณะที่หลัวเลี่ยยังไม่ได้กำหนดทิศทาง
สายลมยามค่ำคืนก็พัดมาปะทะที่ใบหน้าของเขา ทำให้เขารู้สึกเย็นสบาย
หลัวเลี่ยมองขึ้นไปบนท้องฟ้า
จันทร์เต็มดวงเปรียบเสมือนดาราจักร ท้องฟ้ายามค่ำคืนเปรียบเสมือนกระดานหมากรุก และดวงดาวก็เปรียบเสมือนตัวหมากรุก ในคืนที่เงียบสงบหัวใจของหลัวเลี่ยก็ก้าวข้ามผ่านความตื่นตระหนกกลับมาสงบอีกครั้งดั่งสายน้ำที่หยุดนิ่ง เขาได้ตกผลึกความคิดแล้ว
เมื่อไตร่ตรองดูแล้ว ความคิดของหลัวเลี่ยก็เปลี่ยนไปจากการพัฒนาเมื่อเขาได้เข้าฌานไปมาก
นอกจากการทะลวงระดับพลังวรยุทธ์แล้ว หลัวเลี่ยได้รับสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่านั่นก็คือความเข้าใจอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้นเกี่ยวกับจักรพรรดิแดนประจิมไท่อีและระฆังจักรพรรดิประจิม
เดิมทีตอนที่หลัวเลี่ยฝึกฝนวรยุทธ์ในระฆังจันทรา เขาก็เริ่มมีความเข้าใจในระฆังจักรพรรดิประจิมมากขึ้นและมีััการรับรู้เกี่ยวกับตัวตนของระฆังจักรพรรดิประจิมที่ยอดเยี่ยมแล้ว แต่ในครั้งนี้เขาเข้าใจมากยิ่งขึ้นและััได้มากขึ้น
ดังนั้นเมื่อหลัวเลี่ยเห็นดวงจันทร์ ไม่รู้ทำไมถึงเริ่มมีตัวอักษรแปลกๆ ปรากฏขึ้นในใจของเขา ดูเหมือนว่าสิ่งที่เขาได้รับรู้มาจากการเข้าฌานทั้งสองครั้งนั้นจะกระจัดกระจายกันอยู่ เมื่อเขารวมคำเข้าด้วยกัน เขาก็พบว่ามันคือรากฐานที่ไม่สมบูรณ์ของวิชายุทธ์ชนิดหนึ่ง
“วิชายุทธ์ใหม่ที่สร้างขึ้นจากจักรพรรดิประจิมไท่อีหรือ?”
เมื่อหลัวเลี่ยเริ่มคิด เขาก็รับรู้ถึงพลังจากระฆังจันทราที่อยู่ในกระเป๋าเฉียนคุณของตัวเอง
รากฐานที่ไม่สมบูรณ์ของวิชายุทธ์อันประกอบไปด้วยคำที่ไม่ครบถ้วนเหล่านี้ยังคงปรากฏอยู่ในใจของหลัวเลี่ย
ทันใดนั้นระฆังจันทราก็เริ่มสั่นะเืส่งพลังมาถึงจิตใจของหลัวเลี่ย
“ที่แท้จักรพรรดิประจิมไท่อี้าสร้างวิชายุทธ์วิชาใหม่ขึ้น ซึ่งคงจะเป็วิชายุทธ์ที่สามารถฝึกฝนครอบคลุมจากพลังวรยุทธ์ในระดับหยินหยางไปจนถึงระดับเทพ แต่หลังจากที่สร้างได้เพียงรากฐานของวิชายุทธ์ ตัวเขากลับเสียชีวิตไปก่อน”
“ชิ้นส่วนทั้งเก้าของระฆังจักรพรรดิประจิมคงจะเป็สิ่งที่เก็บความรู้รากฐานที่เขาสร้างเอาไว้”
เมื่อหลัวเลี่ยนึกถึงเนื้อหารากฐานที่ไม่สมบูรณ์ของเคล็ดวิชายุทธ์นี้และมองไปยังดวงจันทร์ที่สว่างไสวบนท้องฟ้าพร้อมกับทำความเข้าใจเคล็ดวิชาจักรพรรดิฟ้าแดนประจิมและจักรพรรดิประจิมไท่อี เมื่อเขาเข้าใจระฆังจักรพรรดิประจิมมากขึ้น หลัวเลี่ยก็มีความรู้สึกว่าบางทีเขาอาจใช้ความรู้ในรากฐานนี้สร้างวิชายุทธ์ของตนเองขึ้นมาได้
วิชายุทธ์สร้างหยินหยาง?
ฟังดูไม่น่าเชื่อว่าจะเป็ไปได้
แต่หลัวเลี่ยกลับรู้ว่ามันเป็โอกาสที่ดีสำหรับเขา หากเขาทำมันได้
ทั้งหมดเป็เพราะสมองและความเข้าใจเชื่อมโยงเนื้อหาได้อย่างรวดเร็วที่ไม่ธรรมดาของเขา
ความเข้าใจนี้เป็ผลมาจากการเดินทางข้ามมิติ การดับสูญของจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ที่ทำให้เกิดการหลอมรวมของอนุภาคเล็กๆ มากมาย
ในเวลานั้นอนุภาคเล็กๆ ถูกแบ่งออกเป็สามส่วน ส่วนหนึ่งซึมเข้ามาในหัวของหลัวเลี่ยและส่วนนี้ก็เป็ส่วนที่ลึกลับที่สุดด้วยเช่นกัน จนถึงตอนนี้หลัวเลี่ยก็ยังรู้สึกว่าเขาไม่สามารถค้นพบการทำงานทั้งหมดของมันได้
หลัวเลี่ยนั่งลงขัดสมาธิอีกครั้งเพื่อทำความเข้าใจทุกอย่างมากกว่าเดิม
พูดตามตรง แม้ว่าเนื้อหาในเคล็ดวิชายุทธ์นี้จะมีเพียงความรู้ขั้นพื้นฐาน แต่ความรู้พื้นฐานนี้ก็มีรากฐานมาจากเคล็ดวิชาจักรพรรดิฟ้าแดนประจิมซึ่งนับว่าเป็เคล็ดวิชาที่ทรงพลังที่สุดในบรรดาเคล็ดวิชาที่ใช้ฝึกฝนของระดับหยินหยาง ดังนั้นเมื่อมีแรงผลักดันจากเคล็ดวิชาจักรพรรดิฟ้าแดนประจิมบวกกับเนื้อหาพื้นฐานของเคล็ดวิชาที่ไม่สมบูรณ์นี้แล้ว นับว่าเขายังมีโอกาสที่จะทำสำเร็จ
หลัวเลี่ยเข้าฌานอีกครั้งและนึกทบทวนข้อมูลที่ได้รับมา พร้อมกับแสงจันทร์ที่ส่องตรงลงมาจากดวงจันทร์ที่ลอยสว่างไสวบนท้องฟ้าตกลงมายังร่างของหลัวเลี่ย
เคล็ดวิชาจักรพรรดิฟ้าแดนประจิมที่สร้างขึ้นโดยจักรพรรดิประจิมไท่อีดูเหมือนจะเป็การผสมผสานระหว่างหยินและหยาง แต่ในความเป็จริงแล้วเขากำลังเดินตามเส้นทางของความรุนแรงในพลังหยาง ดังนั้นมันจึงไม่ใช่ความสมดุลที่สมบูรณ์แบบของหยินและหยางอย่างแท้จริง
ดังนั้นเมื่อหลัวเลี่ยพิจารณาเนื้อหาพื้นฐานที่ไม่สมบูรณ์ของเคล็ดวิชายุทธ์ที่เขาเพิ่งค้นพบนี้ เขาก็จะสามารถรู้ได้ว่าอะไรคือความสมดุลที่สมบูรณ์แบบอย่างแท้จริง
หลัวเลี่ยเริ่มฝึกจากหยินก่อนจนนำไปรวมกับหยาง
การเข้าฌานในครั้งนี้ทำให้หลัวเลี่ยเข้าใจลึกซึ้งมากขึ้น ตอนนี้เขารู้สึกคล้ายกับว่าความรู้ทั้งหมดได้มาอยู่ในมือของเขาแล้ว ส่วนเนื้อหาที่ไม่สมบูรณ์นั้น เขาได้พบกับจุดเชื่อมโยงที่จะทำให้มันครบถ้วนสมบูรณ์ได้แล้ว
ใน่เวลานั้นหลัวเลี่ยรู้สึกว่าเขาไม่ใช่หลัวเลี่ยอีกต่อไป แต่กลับกลายเป็จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์พระองค์หนึ่ง
เื่บางเื่ที่ก่อนหน้านี้หลัวเลี่ยไม่เข้าใจ ตอนนี้เขาใช้โอกาสนี้ทำความเข้าใจใหม่อีกครั้งแล้ว
ยกตัวอย่างคือตอนที่หลัวเลี่ยต่อสู้กับเมิ่งชิงหลงในภพจิตัและได้เผชิญหน้ากับหมัดประกายดำ แม้ว่าตอนนั้นหลัวเลี่ยจะมีความรู้น้อยนิด แต่เขากลับลอบจดจำส่วนที่สำคัญของวิชายุทธ์นั้นมาได้ แม้เขาจะจำได้ไม่ครบถ้วนจนไม่สามารถแสดงพลังออกมาได้อย่างสมบูรณ์ แต่ถึงอย่างไรวิชายุทธ์นี้ก็ถูกบันทึกลงในสมองของเขาแล้ว
นอกจากนี้ยังมีเศษข้อมูลของเคล็ดวิชา์ทมิฬผืนดินสุพรรณประดับจตุรทิศของไก้อู๋ซวงอีก
ความรู้ที่หลัวเลี่ยได้ลอบศึกษาจดจำมาตลอดทางดูเหมือนจะค่อยๆ รวมกันราวกับลำน้ำเล็กๆ หลายสายที่ไหลมาเป็แม่น้ำสายใหญ่
จนสุดท้ายหลัวเลี่ยก็ค่อยๆ ร่างโครงเนื้อหาใหม่ให้เนื้อหาพื้นฐานของเคล็ดวิชาจักรพรรดิฟ้าแดนประจิมที่ไม่สมบูรณ์เงียบๆ
เมื่อโครงร่างเนื้อหานี้เริ่มเป็รูปเป็ร่าง หลัวเลี่ยก็พบว่าหมอกที่เขานั่งขัดสมาธิอยู่นั้นเต็มไปด้วยความน่าอัศจรรย์บางอย่างราวกับว่ามันถูกทิ้งไว้โดยจักรพรรดิประจิมไท่อี
แต่เดิมเคล็ดวิชาที่หลัวเลี่ยอยากสร้างขึ้นอาจใช้ระยะเวลาสร้างประมาณหนึ่งถึงสองปี แต่เมื่อเป็เช่นนี้หลัวเลี่ยก็รู้สึกว่าบางทีเขาอาจทำสำเร็จได้รวดเร็วกว่ากำหนดการเดิมแล้ว
สิ่งนี้ทำให้หลัวเลี่ยอดไม่ได้ที่จะล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเฉียนคุณและจับเข้าที่ระฆังจันทรา
ระฆังจันทราตอบสนองเขาทันที มันสั่นเล็กน้อย
หลัวเลี่ยไม่ต้องก้มมองก็รู้ว่าบรรดาลวดลายดอกไม้ นก แมลง ปลา ทิวเขา ลำน้ำ และก้อนเมฆที่อยู่บนระฆังจันทราต้องเปล่งแสงประกายเป็ชีวิตชีวาออกมาอย่างแน่นอนเพราะเขารับรู้ได้ถึงความรู้สึกอิ่มเอิบที่พุ่งเข้ามาเต็มตื้นภายในจิตใจ
หลัวเลี่ยค้นพบว่าระฆังจันทราไม่ใช่สิ่งที่จักรพรรดิประจิมไท่อีทิ้งไว้เพียงผู้เดียว เพราะจักรพรรดิไท่อีทิ้งความรู้ไว้ในนั้นเพียงส่วนเล็กๆ เท่านั้น ความรู้ส่วนใหญ่มาจากปรมาจารย์ในอดีตต่างหาก
เช่นปรมาจารย์คนที่เกือบจะสังหารหลัวเลี่ยด้วยดวงตาพิฆาตนั่นอย่างไรเล่า
แม้ว่าระดับพลังของพวกปรมาจารย์จะต่ำกว่าระดับพลังของจักรพรรดิประจิมไท่อีมาก แต่พลังของพวกเขาก็ถือว่าแข็งแกร่งกว่าหลัวเลี่ยมากเช่นกัน มันเหมือนกับเป็การผสานเชื่อมโยงของคนระหว่างยุคสมัยจนทำให้หลัวเลี่ยเข้าใจเนื้อหาที่มีได้ง่ายยิ่งขึ้นและทำให้หลัวเลี่ยที่ออกแรงพยายามเพียงเล็กน้อยก็สามารถค่อยๆ ทำความเข้าใจได้อย่างง่ายดาย
หลัวเลี่ยนำความรู้ที่ค่อยๆ เข้าใจมารวบรวมและพัฒนาขึ้นเอง
ยิ่งไปกว่านั้นพร์ความเข้าใจที่เหนือจินตนาการของหลัวเลี่ยยังได้รับมาจากจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์
หลังจากที่หลัวเลี่ยวาดโครงร่างไว้คร่าวๆ แล้ว เขาก็ยังไม่หยุดที่จะโคจรพลังไปตามแนวเส้นลมปราณให้มันค่อยๆ พัฒนาความแข็งแกร่งไปพร้อมๆ กัน
เมื่อหลัวเลี่ยได้เข้าฌานแล้วเขาก็คล้ายกับว่าจะลืมวันลืมคืน
ตอนที่หลัวเลี่ยลืมตาตื่นขึ้นมาจากการเข้าฌาน เขาก็ได้ดึงดูดความสนใจของปรมาจารย์มากมาย แต่เมื่อทุกคนเห็นว่าหลัวเลี่ยเข้าฌานอีกครั้ง ทุกคนก็ล่าถอยกลับไปอย่างเสียดายและผิดหวัง เพราะตอนแรกพวกเขาต่างคิดว่าหลัวเลี่ยจะนำพาเื่สนุกๆ มาให้ชมอีก
จัตุรัสเหยียนหลงยังคงเงียบสงบ
จนกระทั่งในตอนที่ดวงอาทิตย์ขึ้นและท้องฟ้าสว่างสดใสแล้ว ความเงียบงันในเมืองหลวงของแคว้นเหยียนหลงก็ถูกแทนที่ด้วยเสียงดัง
ใน่เวลานี้ผู้คนต่างใที่พบว่าดวงจันทร์ซึ่งแต่เดิมควรจะลาลับขอบฟ้าไปนานแล้วยังคงปรากฏอยู่บนท้องฟ้าและมีแสงจันทร์สาดส่องลงมาปกคลุมร่างของหลัวเลี่ย เหตุการณ์นี้ทำให้ทุกคนประหลาดใจมาก