เสียงคำรามทะลุแก้วหูสั่นะเืไปทุกทิศทาง ศิษย์สำนักชื่อหยวนปังกรีดร้องอย่างไม่ยินยอม หมัดขวาของเขาถูกทุบจนแตกเป็เสี่ยง ความเ็ปทำให้เขาโอดครวญออกมาอย่างดุเดือด
สถานการณ์ยังคงดำเนินไปเช่นเดิม หากมองในแง่ของระดับพลัง ขอบเขตผนึกดาราขั้นเก้ารวมกับทักษะของสำนักชื่อหยวนปังสามารถโจมตีหนิงเทียนได้ด้วยหมัดเดียว แต่สำหรับความแข็งแกร่งทางกายภาพแล้ว ก็ยังไม่มีผู้ใดเทียบเทียมกายาสุวรรณะนิรันดร์ของหนิงเทียนได้เลย
พลังหนึ่งหยวนของหนิงเทียนนั้นน่ากลัวอย่างยิ่ง หนึ่งหมัดมีพลังมหาศาลถึงหนึ่งแสนสองหมื่นเก้าพันหกร้อยจิน มันทั้งเกินขีดจำกัดหนึ่งแสนจินและเกินขีดจำกัดพลังร่างกายของมนุษย์ในขอบเขตจิตหยั่งลึกแล้ว
นี่คือพลังแห่งเนื้อหนังอันบริสุทธิ์ที่ผสานกับกายาสุวรรณะนิรันดร์ จนเปรียบเสมือนอาวุธิญญาที่มีเืเนื้อ ซึ่งคงกระพันต่ออาวุธทั้งปวง
“บ้าเอ๊ย!” ศิษย์หยวนซิวหลายคนอยากจะถลกหนังหนิงเทียน พวกเขาภูมิใจในตัวเองมาโดยตลอดจนไม่อยากเชื่อว่าพวกเขาต้องใช้ขอบเขตที่สูงกว่ามากำราบศัตรูเช่นนี้
จิติญญาแห่งการต่อสู้ของหนิงเทียนนั้นสูงส่ง พลังของทะลวงพันชั้นก็ยิ่งใหญ่ เขากล้าหาญมากเสียจนไม่กลัวความตาย และเข้าต่อสู้กับเหล่าศิษย์หยวนซิวแบบตัวต่อตัวครั้งแล้วครั้งเล่า เขาทุบตีศัตรูจนสูญเสียแขนขา และทำให้แต่ละคนต้องร่ำร้องหาบุพการีอย่างต่อเนื่อง
ศิษย์แต่ละสำนักต่างคำรามอย่างโกรธเคือง ผู้คนจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ล้อมรอบหนิงเทียน การโจมตีหลั่งไหลเข้ามาราวกับกระแสน้ำเชี่ยวโดยไม่คิดให้โอกาสหนิงเทียนได้พักหายใจจนเขาต้องโห่ร้อง
เมื่อเห็นเช่นนี้ ซูอวิ๋นก็หัวเราะเบาๆ แล้วพูดขึ้นว่า “พี่ชิวคิดว่าเขาจะอยู่ได้นานเพียงใด?”
“อย่างมากที่สุดก็หนึ่งก้านธูป ไม่มีใครสามารถรอดจากการโจมตีที่รุนแรงและต่อเนื่องเช่นนี้ได้หรอก” ชิวซานอวิ๋นตอบพลางหัวเราะเยาะ หนิงเทียนกล้าข่มขู่เขาก็ย่อมหมายความว่าไม่อยากมีชีวิตอีกแล้ว!
ซิ่งอวี่เจวียนกรีดร้องด้วยความโกรธเมื่อเห็นหนิงเทียนติดอยู่ในวงล้อมของศัตรู นางอดไม่ได้ที่จะรีบเข้าไป ทว่ากลับถูกขวางไว้
“หากทอดทิ้งเขาไม่ได้ ก็จงไปตายไปกับเขาเสียเถอะ!” ศิษย์หยวนซิวหัวเราะอย่างดุเดือด พร้อมทุบตีซิ่งอวี่เจวียนจนนางกระอักเืและจำต้องถอยกลับไป ดวงหน้างามเต็มไปด้วยความเกลียดชังอย่างถึงที่สุด
ยามนี้หนิงเทียนตกอยู่ในความสิ้นหวัง การรุมล้อมของศิษย์หยวนซิวกว่าร้อยคนเช่นนี้เขาไม่มีโอกาสพักหายใจด้วยซ้ำ ไม่ต้องพูดถึงการหลบหนีออกไปเลย
“ไปลงนรกเสียเถอะ! ฮ่าๆๆ!” ศิษย์ของแต่ละสำนักหัวเราะเยาะ ในที่สุดชัยชนะก็มาถึงแล้ว และพวกเขาก็ตื่นเต้นเป็อย่างมาก
เมื่อมองใบหน้าเย่อหยิ่งเ่าั้ ดวงตาที่เ็าของหนิงเทียนก็ะเิแสงเย็นเยียบและเฉียบคมออกมา
“ยังเร็วเกินไปที่พวกเ้าจะภาคภูมิใจ!” เสียงเย็นะเืนั้นราวกับมีดน้ำแข็งกัดกร่อน พลันอสูรหลายสิบตนก็คำรามอย่างขุ่นเคือง เสียงนั้นทำให้จิติญญาแยกจากกัน ทั้งยังสั่นะเืไปทั่วบริเวณ
ขณะเดียวกัน ร่างสัตว์อสูรก็เพ่นพ่านไปทุกพื้นที่ พร้อมปลดปล่อยพลังอันท่วมท้นและเริ่มลงมือสังหารทันที
ผู้คนจำนวนมากถูกสัตว์อสูรฉีกเป็ชิ้นๆ และกลืนกินอย่างรวดเร็วจนพวกเขายังไม่ทันเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น
“โอ้์! หนีเร็ว...อ๊าก!”
“อย่า! ไม่!”
เสียงคำรามและเสียงกรีดร้องดังก้อง เหล่าศิษย์ของแต่ละสำนักที่เคยหัวเราะอย่างภาคภูมิใจ ยามนี้กลับต้องคร่ำครวญราวสุนัข
สีหน้าของซูอวิ๋นและชิวซานอวิ๋นเปลี่ยนไปมากเมื่อเห็นเหล่าอสูรเริ่มลงมือ และทั้งคู่ก็ตระหนักได้ทันทีว่ามีบางอย่างผิดปกติ
“บ้าเอ๊ย! เขายังควบคุมอสูรได้อีกหรือ?” ซูอวิ๋นลอบกัดฟัน หัวใจของนางเต้นรัวด้วยความเจ็บใจ
“ปลูกฝัง!” หนิงเทียนคำรามลั่น ยุทธศาสตร์ครอง์เริ่มบุกโจมตีร่างกายของศิษย์หยวนซิว พร้อมดูดซับพลังสายเืของพวกเขามารักษาอาการาเ็ของตน
ศิษย์หลายคนมีสายเืพิเศษ ดังนั้น เมื่อหนิงเทียนดูดซับพลังดั้งเดิมของพวกเขาแล้ว การเสริมสร้างร่างกายและฟื้นฟูพลังของหนิงเทียนจึงดำเนินไปอย่างยอดเยี่ยม
“วิชากระบี่เลื่อนลอยไร้แก่น!” หนิงเทียนโบกสะบัดกระบี่ไปมาท่ามกลางฝูงชนราวกับิญญา หลังจากวิถีแห่งธรรมชาติผสมผสานกับตัวเลขทั้งเก้า ก็ทำให้เขาเข้าใจรากฐานของตัวเองมากขึ้น ทั้งยังสามารถขัดเกลาแก่นแท้ของสายเืให้ดีขึ้นไปพร้อมกันด้วย
ยามนั้นที่สุ่ยหลิงบอกว่ารากฐานของเขายังไม่เข้าใกล้ความสมบูรณ์เลยแม้แต่น้อย มันทำให้หนิงเทียนสูญเสียมั่นใจอย่างยิ่ง
ยามนี้เขาเข้าใจคัมภีร์ทั้งเก้าบทแล้ว เขาจึงตระหนักว่ารากฐานที่ดูเหมือนจะสมบูรณ์แบบของเขายังมีข้อบกพร่องอยู่อีกมาก
ในอดีตเขารู้จักเพียงการฝึกฝน ทั้งยังไม่รู้ว่าข้อบกพร่องของตนอยู่ที่ใด ทว่าตอนนี้เขาสามารถรับรู้ได้อย่างชัดเจน และด้วยความช่วยเหลือของพลังสายเืหยวนซิวกับแก่นแท้โลหิตในร่าง เขายังสามารถใช้ยันต์เต๋าอนันต์ที่สุ่ยหลิงทิ้งไว้มาเสริมสร้างรากฐานให้ตนเอง และค่อยๆ กำจัดจุดอ่อนไปทีละจุด
พลังแห่งสายเืของหยวนซิวเป็การเสริมสร้างพลังชั้นยอด เขาอาศัยจังหวะที่เหล่าศิษย์หยวนซิวตื่นตระหนกและสังหารไปทั้งหมดยี่สิบเจ็ดคนติดต่อกัน พลันรูขุมขนบนร่างกายของเขาก็เปิดกว้าง กระแสพลังและเืลมที่แข็งแกร่งก็พุ่งออกมาจนก่อเกิดเป็ชั้นเมฆสีแดงที่ปกคลุมไปด้วยรัศมีอันรุนแรง
“ทุกคนอย่าใไป รีบสร้างขบวนป้องกัน หรือไม่ก็ใช้อาวุธิญญาสังหารอสูรเถอะ” ชิวซานอวิ๋นสั่งการด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ ซึ่งทำให้เหตุการณ์ชุลมุนยิ่งกว่าเดิม
ซิ่งอวี่เจวียนตกอยู่ในอันตรายและส่งเสียงคร่ำครวญแสนเศร้าออกมา ทันใดนั้นหญ้าต้นเล็กๆ ก็ปรากฏขึ้น ปราณกระบี่ทำลายห้วงอากาศ และเข้าขวางเบื้องหน้าของนาง
วินาทีต่อมา หนิงเทียนก็พุ่งจู่โจมศัตรูด้วยหมัดเดียว ก่อนจะดึงร่างซิ่งอวี่เจวียนที่าเ็สาหัสออกมา
“พี่สาว ท่านหนีไปก่อนเถิด”
“ไม่! ข้าจะอยู่ช่วยเ้าต่อสู้กับพวกมัน”
“ท่านไปเถอะ ที่นี่มีเพียงข้าก็พอแล้ว!” หนิงเทียนกักร่างของซิ่งอวี่เจวียนด้วยยุทธศาสตร์ครอง์ จากนั้นก็ใช้ทักษะควบคุมิญญาเพื่อสั่งให้อสูริญญาช่วยพานางออกไปจากจัตุรัส
เขา้าต่อสู้เพียงลำพัง เพื่อจะได้ไม่ต้องพะว้าพะวังเื่อื่น อีกทั้งการฟาดฟันระหว่างทั้งสองฝ่ายก็มาไกลถึงจุดนี้แล้ว การยิงธนูป้องกันของซิ่งอวี่เจวียนนั้นก็ไม่ได้ช่วยอะไรมาก
ณ ลานจัตุรัส าระหว่างหยวนซิวกับเหล่าอสูรนั้นน่าใอย่างยิ่ง เดิมทีจำนวนของศิษย์หยวนซิวเก้าสำนักมีมากกว่าสี่ร้อยคน แต่ตอนนี้ส่วนใหญ่ล้วนเสียชีวิตจากการต่อสู้
หนิงเทียนเปิดกำไลหยกหยวนขึ้น เขาจ้องมองซากศพอสูรงูั์ซึ่งเป็อสูรระดับสามอย่างไม่วางตา จากนั้นก็ถือพู่กันในมือขวาและใช้ทักษะจิตรกรรมิญญาไร้ลักษณ์ ปลายพู่กันส่องแสงแวววาว และิญญาอสูรก็ค่อยๆ ทะลุเข้าไปในร่างของงูั์ทีละดวง
นี่เป็การประยุกต์ใช้ทักษะจิตรกรรมิญญาไร้ลักษณ์ อสูรที่ประกอบขึ้นจากรูปแบบิญญาผสานรวมเข้ากับศพของงู เมื่อิญญาทั้งเก้าซ้อนทับกัน ก็กลายเป็อสูรประจัญเก้าิญญา
อสูรประจัญเก้าิญญาช่างลึกลับอย่างยิ่ง เขาทำให้งูั์มีเก้าชีวิตและเป็ะ หากผู้ใดไม่เข้าใจความลึกลับนี้ คนผู้นั้นก็จะถูกงูั์ทรมานจนจิตใจวิปริต และการจะปลิดชีวิตของมันได้นั้นจะต้องสังหารทั้งหมดเก้าครั้งติดต่อกัน หลายคนที่สังหารไม่สำเร็จก็เพราะพวกเขาลงมือไม่ครบ ซึ่งกลายเป็สถานการณ์ตีกลองหนแรกฮึกเหิม ตีอีกครั้งเสียขวัญ ตีครั้งที่สามหมดกำลังใจ[1] และเมื่อจิติญญาแห่งการต่อสู้ลดลงอย่างรวดเร็ว พวกเขาก็ยอมพ่ายแพ้และไม่คิดต่อสู้อีก
บนพื้นมีเืสีแดงฉานหลั่งนอง หมอกโลหิตเข้าปกคลุมงูั์ ทันใดนั้นดวงตาสีแดงเข้มคู่หนึ่งก็เปิดขึ้น
หนิงเทียนยืนอยู่บนหัวงูและพุ่งสังหารทันที งูั์ยาวร้อยจั้งเข้าเขมือบทุกชีวิตในระยะสายตาราวกับัลงทะเล[2]
ทันใดนั้นก็มีแสงกระบี่ปรากฏขึ้น พร้อมกับศิษย์หยวนซิวที่เข้ามาขวางเขาไว้ ซึ่งทำให้หนิงเทียนรู้สึกถึงอันตราย
นั่นคือศิษย์หลักหยวนซิวจากสำนักกระบี่คู่แห่งจักรวรรดิเชียนซาน ในมือของเขามีกระบี่อันแหลมคมที่เย็นเยียบราวกับหิมะ ซึ่งกำลังปลดปล่อยพลังิญญาอันเดือดดาลออกมา
นี่เป็อาวุธิญญาที่ร้ายแรงอย่างยิ่ง
“ความเกลียดชังในดวงตาของเ้าบ่งบอกว่าเ้ากำลังนึกเสียใจอยู่สินะ? แล้วก่อนหน้านี้ที่เ้าสังหารศิษย์จื๋อซิวทั้งแปดสำนัก เ้าเคยคิดบ้างหรือไม่ว่าพวกเขาจะมีความเกลียดชังอยู่ในใจเช่นกัน!”
หนิงเทียนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเ็าและโเี้ ทั้งยังส่อแววดูถูกถากถาง
“การสังหารเ้าจะทำให้ทุกอย่างคุ้มค่า”
เตาจิ้งอู่จากสำนักกระบี่คู่กล่าวตอบ เขาอายุยังไม่มากนักแต่กลับมีความชำนาญด้านกระบี่ค่อนข้างสูง ระดับพลังของเขาก็อยู่ในขอบเขตผนึกดาราขั้นเก้า ซึ่งถือได้ว่าเป็อัจฉริยะอันดับหนึ่งแห่งสำนักกระบี่คู่
“หากเ้าคิดเช่นนั้น ข้าคงต้องทำให้เ้าผิดหวังแล้ว” หนิงเทียนเดินเข้าไปหาเตาจิ้งอู่แล้วแกว่งพู่กันในมือ พลันิญญาอสูรก็ปรากฏตัวขึ้นทีละตนและคำรามอย่างเกรี้ยวกราด
ดวงตาของเตาจิ้งอู่มืดมนทันที จากนั้นเขาก็พึมพำว่า “ถ้าเ้าแน่จริงก็จงสู้กับข้าอย่างเปิดเผย”
“ยามที่เ้าสังหารเหล่าจื๋อซิวทั้งแปดสำนัก เ้าเคยให้โอกาสพวกเขาหรือไม่?”
เตาจิ้งอู่เงียบไปครู่หนึ่ง สัตว์อสูรสี่ตนและิญญาอสูรหกตนล้อมรอบเขา ทำให้เขาต้องกรีดร้องเสียงดังสนั่น ยามนี้ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเกลียดชัง ทว่าหนิงเทียนกลับไม่คิดจะเหลียวมองแม้แต่น้อย
การต่อสู้ดำเนินไปอย่างดุเดือด และท้ายที่สุดอัจฉริยะของสำนักกระบี่คู่ก็จบชีวิตลง ณ ที่แห่งนี้ ลำคอของเขาถูกเถาวัลย์เขียวทิ่มแทงจนทะลุ และร่างไร้ิญญาก็ลอยคว้างอยู่กลางอากาศ
จิตใจของศิษย์แต่ละสำนักสั่นไหวมากขึ้นเรื่อยๆ ดวงตาของหนิงเทียนยามกวาดสายตาไปโดยรอบนั้นเ็าดุจคมมีด ส่งผลให้ทุกคนสั่นสะท้านไปจนถึงกระดูกสันหลัง ราวกับพวกเขากำลังตกเป็เป้าหมายของยมทูต
สัตว์อสูรคำรามอย่างเกรี้ยวกราด ซากศพนอนเกลื่อนทั่วบริเวณ และเหล่าอสูริญญาก็แผดเสียงอย่างเดือดดาล
กลางจัตุรัส งูั์ยังคงเลื้อยกวาดไปทั่วทุกทิศทาง ทั้งยังโจมตีเหล่าศิษย์หยวนซิวจนพวกเขาสิ้นหวัง
“งูตัวนี้ฆ่าไม่ตาย! รีบหนีเร็ว!”
หมู่พฤกษารอบจัตุรัสล้วนเรืองแสง ใบไม้ปลิวหมุนราวกับเสามีดและเข้าขัดขวางจากทั้งสี่ทิศ
หนิงเทียนยืนอยู่ในจัตุรัสและหันมองชิวซานอวิ๋นอย่างเ็า “ถึงตาของเ้าแล้ว”
ชิวซานอวิ๋นไม่พอใจอย่างยิ่ง เขาโกรธที่อีกฝ่ายกล้าดูิ่ตนเอง
ก่อนหน้านี้มีศิษย์หยวนซิวจากเก้าสำนักมากกว่าสี่ร้อยคน ทว่ายามนี้กลับเหลือเพียงไม่กี่สิบคนเท่านั้น
หลายคนนึกเสียใจและกรีดร้องอย่างสิ้นหวัง พร้อมเผยความเกลียดชังอันรุนแรงออกมาจากดวงตา
“หนิงเทียน เ้าปีศาจ! เ้าโหดร้ายเกินไปแล้ว!”
“ก่อนหน้านี้พวกเ้ามีเมตตามากนักหรือ? ข้าบอกไปแล้วว่าวันนี้ทุกคนจะต้องตายที่นี่!” หนิงเทียนเหลือบตามองอย่างอำมหิต จากนั้นเขาก็พุ่งร่างออกไปทันที เมฆสีทองบานสะพรั่งบนกำปั้นราวกับดวงอาทิตย์ที่ส่องสว่างสดใสด้วยพลังอันร้ายกาจ
ด้วยการผสมผสานวิชากระบี่เลื่อนลอยไร้แก่นและทะลวงพันชั้น หมัดของหนิงเทียนจึงแข็งแกร่งอย่างยิ่ง ทั้งยังน่าอัศจรรย์จนไม่อาจจินตนาการได้
เสียงกรีดร้องดังขึ้นตามเสียงหมัด หนิงเทียนสังหารคนเจ็ดคนได้ในหมัดเดียว ความแข็งแกร่งของเขาช่างน่ากลัวยิ่งนัก
ศิษย์ที่าเ็สาหัสคนหนึ่งะโขึ้นด้วยความโกรธ “พลังหมัดของเขาคล้ายเข็มที่ทะลวงแนวป้องกันของพลังหยวน! มันจะเจาะเข้าไปในร่างแล้วะเิออกเป็เสี่ยงๆ!”
คนผู้นี้เปิดเผยลักษณะของวิชากระบี่เลื่อนลอยไร้แก่นที่สามารถเจาะทะลุทุกรู ก่อนจะปะทุและะเิอวัยวะในร่างกาย
“ข้าจะจัดการเขาเอง!” อู่เจี้ยนหงพูดพร้อมก้าวไปข้างหน้า จากนั้นเขาก็เปิดใช้ระฆังทองเปลวเพลิงสีชาดซึ่งเป็ทักษะป้องกันที่ทรงพลังอย่างยิ่ง เมื่อผสานกำลังกับชุดเกราะเหล็กแล้วก็ไม่มีจุดอ่อนหลงเหลืออยู่เลย
หนิงเทียนกล่าวเย้ยหยัน “ต่อให้เ้าจะอยากสู้ แต่ข้าจะไม่สู้กับเ้า! ข้าจะทำให้เ้าหายใจไม่ออกจนตายไปเอง!”
เมื่อพูดจบ เขาก็เคลื่อนตัวไปด้านข้างและเลือกเป้าหมาย ก่อนจะเริ่มการกวาดล้างศัตรูร่วมกับงูั์
“นี่ไม่ใช่วิธีที่ถูกต้อง เราต้องจำกัดการเคลื่อนที่ของเขาและดักจับก่อนจะสังหาร” ซูอวิ๋นเสนอแผนการขึ้นมาอีกครั้ง
ชิวซานอวิ๋นที่ได้ยินดังนั้นก็สั่งให้ศิษย์สำนักอินทนิลจัดตั้งขบวนทัพ ขณะที่กลุ่มสำนักอื่นๆ ยังตอบโต้กับหนิงเทียนอย่างแข็งขัน
ณ จุดนี้ ไม่ว่าจะเป็หรือตาย ฝ่ายหยวนซิวล้วนไม่มีทางเลือกแล้ว
“พี่น้องจากสำนักชื่อหยวนปังและโถงเพลิงทมิฬโปรดมาหารือกันหน่อยเถิด”
ซูอวิ๋นกล่าวขึ้นพลางก้าวไปข้างหน้า นางพยายามรวบรวมอัจฉริยะผู้ทรงพลังที่สุดจากสำนักอินทนิล สำนักชื่อหยวนปัง สำนักหานเทียน และโถงเพลิงทมิฬ เพื่อหารือเกี่ยวกับวิธีการสังหารหนิงเทียน
“ข้าคิดว่าหากทุกท่านช่วยกันส่งคนไปกักตัวหนิงเทียนไว้ และคนอื่นๆ ก็ร่วมมือกันทำลายเหล่าอสูรทั้งหมด ด้วยความช่วยเหลือจากพลังของอาวุธิญญา พวกเราจะสามารถจัดการความยุ่งเหยิงได้อย่างรวดเร็ว และสังหารเขาได้สำเร็จ”
นางอธิบายแผนการกำจัดหนิงเทียน และเฝ้ามองการตอบสนองของคนอื่นๆ ด้วยสายตาเ็า
“วิธีนี้เยี่ยมมาก! เราจะปล่อยให้เขาอาละวาดแบบนี้ต่อไปไม่ได้!”
“แต่ต่อให้เรากำจัดิญญาอสูรและสัตว์อสูรแล้ว หนิงเทียนก็ยังมีวิชาจิตรกรรมิญญาซึ่งรับมือได้ยากเช่นกัน”
ชิวซานอวิ๋นกล่าวว่า “จริงๆ แล้ววิชาจิตรกรรมิญญาเป็เพียงกระบวนการรวบรวมิญญาเท่านั้น ตราบใดที่มีธงแยกิญญาหยวนอยู่ เราก็สามารถยับยั้งมันได้”
หลิวจินอวิ๋นจากสำนักชื่อหยวนปังเหลือบมองชิวซานอวิ๋นเล็กน้อย แล้วพูดด้วยรอยยิ้มประหลาด “ดูเหมือนเ้าจะรู้จักอาวุธิญญาจากสำนักชื่อหยวนปังของข้าดีเหลือเกินนะ เ้ารู้ได้อย่างไรว่าเรามีธงแยกิญญาหยวนอยู่ด้วย?”
ชิวซานอวิ๋นตอบด้วยใบหน้ายิ้มแย้มว่า “เราต่างเป็ลูกศิษย์ของแดนศักดิ์สิทธิ์ การรู้เื่เช่นนี้ไว้สักหน่อยไม่นับว่าเป็เื่ปกติหรือ?”
สำนักชื่อหยวนปังและสำนักอินทนิลต่างเป็แดนศักดิ์สิทธิ์ของหยวนซิว และพวกเขาต่างก็ต่อสู้อย่างดุเดือดทั้งทางตรงและทางอ้อมมาตลอด
ซูอวิ๋นกล่าวเสริมว่า “ตอนนี้สิ่งสำคัญที่สุดก็คือการที่ทุกคนร่วมมือกันสังหารหนิงเทียนให้ได้”
หลิวจินอวิ๋นบ่นพึมพำ “แน่นอนอยู่แล้ว! หนิงเทียนเป็ศัตรูตัวฉกาจของสำนักชื่อหยวนปัง และวันนี้ข้าจะสังหารเขาให้จงได้!”
---------------------------------------
[1] ตีกลองหนแรกฮึกเหิม ตีอีกครั้งเสียขวัญ ตีครั้งที่สามหมดกำลังใจ (一鼓作气、再而衰,三而竭) หมายถึง ทำสิ่งใดต้องมุ่งมั่นให้สำเร็จในอึดใจเดียว ยิ่งเลื่อนหรือต้องทำใหม่หลายครั้งจะยิ่งเกิดผลเสีย
[2] ัลงทะเล (蛟龙入海) หมายถึง สภาพแวดล้อมที่เหมาะสมกับการแสดงความสามารถได้อย่างเต็มที่
