ห้องโถงรับรองของเรือนหลักตระกูลหวังเครื่องใช้ภายในเรือนทั้งหมดนั้นทำขึ้นจากหยกเขียวอ่อนแกะสลักที่มีความงดงามอ่อนช้อย อีกทั้งยังประดับตกแต่งไปด้วยสิ่งของมีค่ามากมายบางชิ้นถึงกับมีอายุยาวนานหลายร้อยปีเลยทีเดียว ของทุกอย่างเหล่านี้ต่างเเสดงให้เห็นถึงความมั่งคั่งของตระกูลหวังสายหลักได้เป็อย่างดี
"ได้ยินว่าหนิงเอ๋อร์กับลู่เอ๋อร์จะทำการทดสอบเข้าร่วมสำนักศึกษาในอีกไม่กี่วันเช่นนั้นรึ?" หวังจิ่งหลงถามขึ้นมองไปทางฝั่งของหลานชายของตนทั้งสอง
"ขอรับท่านตา เพียงเเต่ว่าข้ากับลู่เกอยังไม่แน่ใจว่าจะเข้าร่วมสำนักศึกษาใด..." หนิงอ้ายตอบกลับผู้เป็ตาของตนไป
"การเลือกสำนักศึกษามีความสำคัญไปไม่น้อย ด้วยความแตกต่างของเเต่ละสำนักไม่ว่าจะเป็ที่ตั้งของสำนักที่เอื้อต่อการฝึกฝนตามพลังธาตุในร่างกายและทรัพยากรล้ำค่าที่จำเป็ในการเลื่อนระดับพลังิญญารวมไปถึงวิสัยทัศน์ของเ้าสำนัก สิ่งต่างๆ เหล่านี้นั้นล้วนมีผลในการบ่มเพาะทั้งสิ้น..."
"สำนักศึกษาในมหาทวีปบูรพานี้นับได้ว่ามีอยู่มากมายไม่น้อย เพียงเเต่สำนักใหญ่ที่มีชื่อเสียงและผู้คนในโลกยุทธภพให้การยอมรับมีเพียงห้าสำนักเท่านั้น นั่นคือสำนักศึกษาเวหาธารา์ สำนักศึกษาพิภพเทวะนิรันดร์ สำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ สำนักศึกษาหมื่นเพลิงอัสนีและสำนักศึกษาอาศรมบรรพต..." หวังจิ่งหลงอธิบายเพื่อให้ทั้งสองคนเข้าใจมากยิ่งขึ้น
"สำนักศึกษาเเรกนั่นคือสำนักศึกษาเวหาธารา์ สำนักนี้ตั้งอยู่ทางบริเวณมหานทีกว้างใหญ่อันเป็หัวใจหลักของทวีปบูรพาเเห่งนี้ พื้นที่โดยรอยหลายหมื่นลี้เต็มไปด้วยลมปราณอันบริสุทธิ์ของธาตุน้ำ เรียกได้ว่าพื้นที่โดยรอบนั้นเต็มไปด้วยผืนน้ำอย่างเเท้จริง การจะเข้าทดสอบนั้นไม่ง่ายเท่าใดนักด้วยเพราะการเปิดสำนักในเเต่ละครั้งเพื่อรับศิษย์ใหม่ค่ายกลใดก็ไม่สามารถใช้การได้ ดังนั้นวิธีการเดินทางเพียงอย่างเดียวนั่นคือการนั่งเรือมุ่งสู่ใจกลางของมหานทีอันเป็ที่ตั้งของสำนักศึกษาระหว่างทางนั้นไม่ได้ราบเรียบง่ายดายอย่างแน่นอน..."
"สำนักศึกษาที่สองคือ สำนักศึกษาพิภพเทวะนิรันดร์ สำนักนี้ตั้งอยู่ตรงบริเวณส่วนทิศตะวันออกของทวีป แน่นอนว่าอากาศบริเวณนั้นค่อนข้างจะแห้งแล้งเต็มไปด้วยูเาสูงชันอันตรายไม่น้อย การเดินทางด้วยสัตว์อสูรที่บินได้และเคล็ดวิชาตัวเบาต่างถูกสะกดเมื่อเข้าสู่เขตพื้นที่ของสำนัก ดังนั้นกำลังกายอันเเข็งแกร่งและหัวใจที่มั่นคงเท่านั้นจะนำพาไปถึงที่ตั้งของสำนักศึกษาได้..."
"สำนักศึกษาที่สามคือ สำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ สำนักนี้ตั้งอยู่ตรงบริเวณทางตอนเหนือสุดของมหาทวีป โดยรอบเต็มไปด้วยความรุนแรงสายลมจนก่อเกิดพายุขนาดใหญ่ ตัวของสำนักเองตั้งอยู่บนธาราน้ำเเข็งขนาดใหญ่สภาพอากาศนั้นกล่าวได้ว่าเลวร้ายอย่างถึงที่สุด เหมันต์สีขาวบริสุทธิ์ตกอยู่ตลอดเวลาแต่ภายในสำนักได้ติดตั้งมหาค่ายกลเพื่อให้อากาศในสำนักนั้นอบอุ่นเย็นสบายไปไม่ต่างไปจากส่วนกลางของทวีป หากว่าผู้ฝึกตนใดที่มีพลังธาตุลมที่ไม่เเข็งแกร่งเพียงพอที่จะฝ่าฝันไปถึงที่ตั้งของสำนักศึกษานั้นย่อมหมายความว่าคนผู้นั้นไม่มีคุณสมบัติเริ่มต้นที่จะสามารถเข้าร่วมได้นั่นเอง..."
"สำนักศึกษาที่สี่คือ สำนักศึกษาหมื่นเพลิงอัสนี สำนักนี้ตั้งอยู่ตรงบริเวณทางทิศใต้ของมหาทวีปบูรพาเเห่งนี้ บริเวณโดยรอบเต็มไปด้วยหุบเหวลึกน้อยใหญ่ที่แผ่ความร้อนจากใต้พิภพออกมาอย่างต่อเนื่องรุนแรงในปีหนึ่งนับว่าหลายร้อยครั้งเลยทีเดียวด้วยสภาพอากาศที่โหดร้ายเช่นนี้หาได้ส่งผลต่อผู้ฝึกตนพลังธาตุไฟเเต่อย่างใด เพราะทางสำนักเองได้มีเคล็ดวิชาประจำสำนักที่สามารถชักนำเพลิงร้อนเ่าั้ยกระดับพลังวิญาณได้อย่างไร้ซึ่งผลกระทบทั้งสิ้น..."
"สำนักสุดท้ายนั่นคือ สำนักศึกษาอาศรมบรรพต สำนักนี้ตั้งอยู่ตรงบริเวณทางทิศตะวันตกของมหาทวีปแน่นอนว่าผู้ฝึกตนที่เข้าร่วมนั้นจะต้องออกบวชถือศีล อยู่ในศีลธรรมอันดีครองตนอยู่ในวิถีของบรรพชิตที่ยุ่งเกี่ยวกับทางโลก ปฏิบัติคำสอนที่ถูกถ่ายทอดในสำนักรุ่นต่อรุ่นอย่างเคร่งครัด เเต่ตาไม่แนะนำให้เ้าทั้งสองคนเข้าร่วม ฮ่าฮ่าฮ่า" หวังจิ่งหลงเอ่ยขึ้นอย่างอารมณ์ดี
"ตาคิดว่าพวกเ้าทั้งสองคนเหมาะสมที่จะเข้าร่วมกับสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ เหตุผลหลายอย่างไม่ว่าจะเป็ที่ตั้งของสำนักที่เป็ประโยชน์ต่อพวกเ้าทั้งสอง ความปลอดภัยก็นับว่าขึ้นชื่อยิ่งนักทั้งค่ายกลป้องกันระดับสูงนับไม่ถ้วนและสภาพอากาศโดยรอบที่เปรียบดั่งค่ายกลธรรมชาติอีกทั้งเ้าสำนักเองก็นับได้ว่าเป็ยอดฝีมือพลังิญญาระดับเทพ์ิญญาที่เเข็งแกร่งเต็มเปี่ยมไปด้วยคุณธรรมผู้หนึ่ง..."
"ในสำนักศึกษามีผู้าุโที่มีความสามารถมากมายหลายด้านการจัดการภายในค่อนข้างดี ยุติธรรมไม่น้อย แม้กระทั่งผู้ฝึกตนที่มีชื่อเสียงอย่าง 'เ้ายุทธภพหยางเซิง' หนึ่งในห้าของเ้ายุทธภพสูงสุดในมหาทวีปบูรพาเเห่งนี้ยังรั้งอยู่ในตำแหน่งผู้าุโประจำการ ไม่รวมไปถึงผู้ฝึกตนที่มีชื่อเสียงอีกมากที่อยู่ในนั้น หากว่าเ้าทั้งสองคนสามารถเข้าร่วมเป็ศิษย์ของสำนักศึกษานี้ได้นอกจากความก้าวหน้าของระดับพลังิญญาเเล้วนั้น พวกเ้ายังมีโอกาสได้ศึกษาเรียนรู้ศาสตร์ต่าง ๆ เพิ่มเติมอีกด้วย..."
"เพียงเเต่ว่าการเข้าร่วมทดสอบเข้าสำนักนี้ไม่ได้ง่ายดายเท่าไหร่ รูปแบบของการทดสอบยังแปรเปลี่ยนไม่เหมือนเดิมในทุกปี นั่นจึงทำให้ในการเปิดรับศิษย์ใหม่ ผู้ที่ผ่านการทดสอบมีเพียงไม่ถึงยี่สิบคนนับว่าเป็จำนวนที่น้อยจนน่าใเเต่นั่นก็คือสุดยอดผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์อย่างเเท้จริง แม้จะลำบากไม่น้อยเเต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์จำนวนมากเลยทีเดียวที่้าเข้าร่วมสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้..."
หนิงอ้ายกับลู่ซีนั้นคิดตามคำแนะนำที่ท่านตาของตนบอกกล่าวมาทั้งหมดก็รู้สึกเห็นด้วยเป็อย่างมาก เห็นได้ชัดว่าท่านตาของพวกเขานั้นต่างคิดอย่างรอบคอบถี่ถ้วนดีแล้วถึงสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับพวกเขาทั้งสอง "พวกข้าทั้งสองคนจะเข้าร่วมสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ขอรับ...''
หวังจิ่งหลงเมื่อได้ยินคำตอบหลานชายทั้งสอง ใบหน้าหล่อเหลาที่ภายนอกยังดูเป็เพียงชายวัยกลางคนได้เผยรอยยิ้มออกมาแสดงความพึงพอใจยิ่ง ด้วยเพราะว่าสิ่งที่ตนได้พูดออกไปในก่อนหน้านี้คือความเป็ห่วงหวังดีที่ตัวเขานั้นเต็มใจมอบให้กับเด็กหนุ่มทั้งสองคนโดยไม่หวังสิ่งใดตอบเเทนทั้งสิ้น
ทางฝั่งของเหมยฮวาและเยว่ซินนั้นส่งสายตาหันมองไปทางฝั่งของบุรุษต่างวัยทั้งสามคนตรงหน้า ที่ในตอนนี้ต่างพากันพูดคุยเเลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันอย่างถูกคอ เสียงหัวเราะที่พวกนางได้ยินตลอดการสนทนาในห้องโถงแห่งนี้ ภายในใจของพวกนางนั้นเต็มไปด้วยความสุขเป็อย่างมาก ภาพในวันวานที่มีพวกเขาสามคนพ่อ เเม่ ลูกตระกูลหวังที่ในเวลาว่างมักจะนั่งพูดคุยสอบถามความเป็ไปต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นและปรึกษากันในทุกเื่ เเต่ทว่าวันนี้ภาพในอดีตวันวานครั้งนั้นได้ถูกเเทนทับด้วยภาพตรงหน้าที่มีพวกเขาทั้งห้าคนเเทนช่างเป็เื่สิ่งที่ดียิ่งนัก...
"ทางสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์จะเปิดให้ผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ได้ร่วมทดสอบเข้าสำนักในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้านี้ จากแคว้นเต่าดำนั้นต้องใช้เวลาหลายสิบวันเลยทีเดียวกว่าที่พวกเ้าทั้งสองคนจะเดินทางไปถึงหมู่บ้านที่อยู่ติดกับเขตชั้นนอกของสำนักเพื่อเตรียมตัวเข้าร่วมทดสอบ..."
"พรุ่งนี้เ้าทั้งสองคนยังต้องเข้าร่วมพิธีนำรายชื่อเข้าเเผนผังตระกูลหวังสายหลักของเราอีกด้วย ดังนั้นหลังจากเสร็จงานพิธีนี้อีกเพียงสองวันเวลาที่เหลือจากนี้ตาจะช่วยพวกเ้าทั้งสองคนให้ทะลุอีกขั้นของเคล็ดวิชาสยบอัสนีเมฆาให้ได้เเล้วกัน..." หวังจิ่งหลงเอ่ยขึ้นด้วยความกังวลเล็กน้อย ด้วยเพราะทุกสิ่งนั้นดูกระชั้นชิดเป็อย่างมาก
หลังจากพูดคุยกันเสร็จสิ้น ทางฝั่งของหวังจิ่งหลง หนิงอ้ายกับลู่ซีทั้งสามคนต่างขอเเยกตัวเพื่อจะไปยังหอตำราและคลังยุทธ์ของตระกูล ทางฝั่งของเหมยฮวากับเยว่ซินเองก็ได้เเยกตัวไปตรวจความเรียบร้อยของงานพิธีที่จะถูกจัดขึ้นตรงหอบรรพชนของตระกูลหวังในวันพรุ่งนี้ อีกทั้งยังให้บ่าวอีกส่วนหนึ่งเตรียมข้าวของต่าง ๆ ที่จำเป็สำหรับเด็กหนุ่มทั้งสองคนในการเดินทางไปเข้าร่วมทดสอบของสำนักศึกษาอีกด้วย
หวังจิ่งหลงเดินนำเด็กหนุ่มทั้งสองมุ่งตรงไปยังหอตำราในทันที ภายในพื้นที่ของตระกูลหวังนั้นมีพื้นที่กว้างใหญ่ มีอาคารต่าง ๆ มากมาย รูปทรงสวยงามพิถีพิถัน ดอกไม้หลากสายพันธ์สีสันต่างชูช่ออย่างสวยงามเเสดงถึงความใส่ใจของผู้ดูเเล อีกทั้งภายในจวนต่างมีต้นไม้น้อยใหญ่มากมายให้ความร่มรื่นสร้างความสดชื่นอยู่ไม่น้อย สระบัวขนาดใหญ่กลางจวนที่มีศาลาแปดเหลี่ยมอยู่โดยรอบสองถึงสามหลัง ช่างสมกับที่ได้ชื่อว่าเป็หนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ของแคว้นเต่าดำยิ่ง หลังจากเดินทางด้วยเวลาเพียงครึ่งก้านธูปพวกเราทั้งสามคนก็มาถึงจุดหมายพอดี...
หอตำราและคลังยุทธ์ของตระกูลหวังเป็อาคารจีนทรงห้าเหลี่ยมห้าชั้น ทำขึ้นจากหินหยกผลึกธารา์สีเขียวอ่อนแซมขาวไปทั้งตัวอาคารส่งกลิ่นอายล้ำลึกออกมาจนสามารถััได้ หินหยกธารา์ที่นำมาสร้างหอตำรานี้ต่างเป็วัสดุก่อสร้างที่ล้ำค่าหายากยิ่งในยุทธภพ ดังนั้นด้วยความพิเศษพิศดารเช่นนี้จึงทำให้หินหยกนี้เป็ที่้าเป็อย่างมากหาได้ยากที่จะมีในได้ในสายตาของคนทั่วไป...
สำหรับหอตำราและคลังยุทธ์ของตระกูลหวังทั้งห้าชั้นนั้นประกอบไปด้วยดังนี้
โดยชั้นที่หนึ่งจะเป็ชั้นของตำราศึกษารวมไปถึงเคล็ดวิชาหลากหลายรูปแบบโดยถูดจัดเเยกเป็หมวดหมู่เพื่อง่ายต่อการค้นหาซึ่งมีตำราที่เป็ประโยชน์ทั้งตำราพื้นฐานและตำราหายากเช่นตำราพลังิญญา เคล็ดวิชาของพลังธาตุในแต่ละสายรวมไปถึงตำราการศึกและการต่อสู้ต่าง ๆ ถูกจัดเก็บไว้ในชั้นนี้
ชั้นที่สองจะเป็ชั้นที่เก็บยันต์เวทย์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็ยันต์โจมตี ยันต์ค่ายกลหรือ ม้กระทั่งยันต์ทำความสะอาดรวมไปถึงของวิเศษเสริมพลังธาตุต่าง ๆ ก็อยู่รวมในชั้นนี้ ถึงแม้ว่าธาตุหลักประจำตระกูลหวังจะเป็ธาตุน้ำเเต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีลูกหลานในตระกูลที่มีพลังธาตุอื่นเช่นกันดังนั้นของวิเศษมากมายเหล่านี้จึงมีพลังธาตุที่หลากหลายให้เลือกสรรนั่นเอง
ชั้นที่สามจะเป็คลังยุทธ์ไม่ว่าจะเป็เสื้อเกราะป้องกัน เสื้อเกราะโจมตี เสื้อเกราะเสริมพลังธาตุหรือพวกอาวุธวิเศษรวมไปถึงพวกอาวุธทั่วไปเช่นกระบี่ ดาบ ธนูซึ่งมีตั้งเเต่ระดับต่ำไปถึงระดับสูงแต่ถึงอย่างนั้นชั้นที่สามของหอตำราและคลังยุทธ์จะเปิดก็ต่อเมื่อมีการประลองแย่งชิงตำแหน่งผู้นำตระกูลหรือยามมีเหตุจำเป็เท่านั้นหรือบางทีหากว่ารุ่นเยาว์ในตระกูลหวังที่มากไปด้วยความสามารถก็อาจจะได้รับของรางวัลในชั้นนี้ได้เช่นกันเเต่สุดท้ายแล้วจะได้สิ่งใดก็ขึ้นอยู่กับการยอมรับของเหล่าอาวุธวิเศษเหล่านี้นั่นเอง
ชั้นที่สี่จะเป็พวกโอสถั้แ่ระดับต่ำไปถึงระดับสูงที่มีคุณสมบัติธรรมดาสามัญไปตั้งเเต่โอสถเเก้ฟกช้ำ โอสถห้ามเื โอสถแก้พิษรวมไปถึงโอสถสูตรพิสดารที่สามารถช่วยยกระดับพลังิญญาสองถึงสามขั้นชั่วคราวหรือโอสถเเปลงร่าง แน่นอนว่าสมุนไพรหายากต่าง ๆ อีกทั้งสิ่งของที่จำเป็สำหรับการปรุงโอสถก็มีในชั้นนี้ด้วยเช่นกัน
ชั้นสุดท้ายหรือชั้นที่ห้านี้จะเป็ชั้นที่มีการเก็บรวบรวมผลึกธาตุ ที่มีตั้งเเต่ระดับต่ำไปถึงระดับสูงซึ่งนับว่าเป็สิ่งที่จำเป็สำหรับผู้ฝึกตนยิ่งนัก เพราะในการเพิ่มระดับพลังิญญาในระดับที่สูงขึ้นนอกจากจะต้องอาศัยพร์และความมุ่งมั่นของผู้ฝึกตนเเล้วนั้นปัจจัยภายนอกเหล่านี้นับว่าเป็อีกหนึ่งส่วนที่สำคัญไปไม่น้อยเช่นเดียวกัน...
" คารวะท่านประมุขตระกูลหวัง คุณชายใหญ่ คุณชายเล็ก มิทราบว่ามีสิ่งใดให้รับใช้หรือขอรับ..." ภายในหอตำราเเห่งนี้มีผู้าุโคอยดูเเลอยู่ เมื่อเห็นผู้เข้ามาใหม่ทั้งสาม จึงรีบเข้ามาต้อนรับด้วยความยินดี
"ข้าเพียงมาส่งหนิงเอ๋อร์กับลู่เอ๋อร์หาตำราเท่านั้น ไม่รบกวนผู้าุโ..." หวังจิ่งหลงตอบกลับไป
"เช่นนั้นเชิญทั้งสามท่านด้านในขอรับ ขาดเหลือสิ่งใดสามารถแจ้งข้าได้ขอรับ!!" ผู้าุโเอ่ยขึ้นอีกครั้ง
หวังจิ่งหลงแนะนำอีกเล็กน้อยว่าตำราประเภทใดอยู่ตรงไหน เเต่ละชั้นมีความสำคัญอย่างไรแล้วจึงขอตัวกลับไปก่อน ปล่อยให้ทั้งสองคนอยู่ในหอตำราต่อไป ซึ่งหนิงอ้ายกับลู่ซีนั้นต่างเเยกย้ายกันดูตำรา เคล็ดวิชาที่ตนสนใจไปกันคนละชั้นและนัดเจอกันตรงชั้นล่างในอีกหนึ่งชั่วยามหลังจากนี้
สำหรับหนิงอ้ายนั้นเขามีคัมภีร์เบญจธาตุที่ได้รับมาพร้อมกับการปลุกพลังเวทย์ในตอนนั้นเเล้ว เเต่ด้วยความพิเศษพิศดารจึงทำให้เขายังไม่สามารถเข้าศึกษาได้เพราะนอกจากผู้ที่ศึกษาคัมภีร์เบญจธาตุนั้นจะต้องมีสายเืตระกูลหวังที่เข้มข้นเเล้ว หากมีพลังิญญายังไม่ถึงระดับจักรพรรดิก็จะไม่สามารถศึกษาเนื้อหาภายในได้ เเต่ว่าในตอนนี้เขานั้นมีคุณสมบัติที่จะศึกษาได้เเล้ว ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะศึกษาคัมภีร์เบญจธาตุเล่มนี้เพียงอย่างเดียวเท่านั้นเพราะเขาคิดว่าหากศึกษาได้สำเร็จมีความเป็ไปได้สูงทีเดียวที่เขาจะสามารถใช้พลังธาตุได้ทั้งห้าธาตุตามตำรานั่นเอง...
ดังนั้นหนิงอ้ายจึงเลือกที่จะศึกษาเกี่ยวกับความรู้พื้นฐานของพลังลมปราณ พลังิญญา และพลังธาตุก่อนด้วยเพราะเขาพึ่งฝึกตนได้เพียงปีกว่าเท่านั้น ถึงแม้จะได้ศึกษาบทเวทย์ เคล็ดวิชาระดับสูงเเต่ความรู้พื้นฐานเขายังไม่ได้ลงลึกเท่าไหร่ เพราะหนิงอ้ายเชื่อหากหากเข้านั้นมีความเข้าใจในพื้นฐานของทุกอย่างนั้นก็จะง่ายต่อการพัฒนาได้อย่างมั่นคงเเข็งแกร่ง...
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้