เมิ่งอู่กล่าว “ยังมีความเป็ไปได้อีกอย่าง อาจเป็เพราะเขาว่างมากจนเบื่อหน่ายเกินไป”
ตรงหน้าเป็เรือนของชาวบ้านในหมู่บ้าน
ซวี่เฉินฟางลุกขึ้นนั่งบนเกวียนวัว จัดชายเสื้อให้เรียบร้อย ดูสง่างามและพยายามควบคุมอารมณ์ เขากล่าวว่า “ยิ่งใกล้บ้านเกิดยิ่งวิตกกังวล ญาติผู้น้อง ข้ารู้สึกประหม่าเล็กน้อย”
เมิ่งอู่เกาหัวด้วยความหงุดหงิด คันมือจนอยากจะผลักเขาตกคูข้างทาง แล้วฝังกลบเสียจริงๆ
เ้าจะประหม่าอันใดกัน ผู้ที่สมควรประหม่าคือนางต่างหาก!
ยิ่งเข้าใกล้เรือน เมิ่งอู่ยิ่งรู้สึกมั่นใจน้อยลงเรื่อยๆ
นางต้องยอมรับว่า ซวี่เฉินฟางผู้นี้รูปงามจริงๆ ดูเหมือนปีศาจจิ้งจอกที่ท่านแม่เคยเล่าให้ฟังมากกว่าอาเหิงเสียอีก ทันทีที่นางเข้าเมืองก็ถูกปีศาจจิ้งจอกหลอกหลอนตามติด เมื่อกลับไปแล้ว ยังไม่รู้ว่าอาเหิงที่บ้านจะโกรธหรือไม่...
ซวี่เฉินฟางใช้พัดคลี่ปัดมือที่กำลังเกาหัวของเมิ่งอู่ออก กล่าวว่า “ขืนเ้าเกาต่อไปอีก หัวเ้าก็จะล้านแล้ว”
เมื่อมาถึงหน้าเรือน เมิ่งอู่หารือ “ท่านลุงหลิว ท่านช่วยพาเขากลับเรือนไปได้หรือไม่เ้าคะ ข้ามอบญาติผู้พี่คนนี้ให้ท่าน หรือไม่ก็ถามชาวบ้านคนอื่นๆ ดูว่าครอบครัวใดขาดญาติผู้พี่ ก็ส่งไปให้ครอบครัวนั้น”
ลุงหลิวไม่ยอมเจรจาด้วย ปล่อยทั้งคนทั้งสินค้าทั้งหมดลงจากเกวียนวัว จากนั้นก็บังคับเกวียนจากไป
ซวี่เฉินฟางปัดเศษหญ้าที่ติดอยู่ที่ชายเสื้อออก ก่อนเงยหน้ามองประตูลานเรือนของเมิ่งอู่ ผลิยิ้มมีเสน่ห์ กล่าวว่า “นี่เป็เรือนของเ้าสินะ”
เขาเตรียมจะก้าวเท้าขึ้นหน้าไปเคาะประตู
เมิ่งอู่เคลื่อนไหวรวดเร็วกว่าเขาก้าวหนึ่ง พุ่งตัวไปยืนขวางหน้าประตูเรือนตนเอง
ซวี่เฉินฟางโบกพัดคลี่ ยิ้มตาหยีพลางขยับเข้าไปใกล้นาง “เ้ากลัวว่าข้าจะเข้าเรือนของเ้าหรือ? เพราะในเรือนมีบุรุษ จึงเกรงว่าเขาจะกินน้ำส้มสายชูหรือไร?”
เมิ่งอู่กล่าว “ในเรือนข้ามีผู้ใดก็ไม่ใช่เื่ที่เ้าจะต้องสนใจ ข้าแค่อยากจะห้ามเ้าเข้าเรือน”
ซวี่เฉินฟางมองเมิ่งอู่ก่อนยิ้มตาหยีดุจเดิม “ข้าเห็นเ้าแต่งกายเรียบง่าย แต่ยามอยู่ที่ร้านขายเสื้อผ้าสำเร็จรูปกลับใช้จ่ายเงินสุรุ่ยสุร่าย ท่านแม่ของเ้าประหยัดมัธยัสถ์ รู้หรือไม่ว่าเสื้อผ้าบุรุษสองชุดที่เ้าซื้อต้องจ่ายเงินหนึ่งถึงสองตำลึงเงิน”
เมิ่งอู่กล่าว “... อย่าคิดว่าเ้าหน้าตาดี และข้ามิอาจทุบตีเ้านะ”
ซวี่เฉินฟางยังคงยิ้มตาหยี “หากเ้าไม่ยอมให้ข้าเข้าเรือน ข้าจะบอกท่านแม่ของเ้าว่า เ้าใช้จ่ายฟุ่มเฟือยกับบุรุษ รวมถึงเื่ที่เ้าขายแม่เฒ่าคนนั้นในเมืองคราวก่อนด้วย”
เมิ่งอู่ “... ”
เมิ่งอู่รู้สึกอย่างสุดซึ้งว่าจะต้องไม่ให้บุรุษผู้นี้เข้าเรือนเด็ดขาด มิเช่นนั้นเท่ากับเชิญชวนภัยพิบัติเข้าเรือน
ดังนั้นคนหนึ่งอยากเข้า อีกคนหนึ่งไม่อยากให้เข้า ทั้งคู่จึงผลักกันไปมาอยู่หน้าประตูเรือน
ซวี่เฉินฟางยังคงรักษารอยยิ้มบนใบหน้า กล่าวว่า “ข้าแค่อยากขออาศัยอยู่สักพัก ต้องใจแคบถึงเพียงนี้เชียวหรือ?”
“ให้เ้าเข้าไปรึ เป็ไปไม่ได้” เมิ่งอู่ปฏิเสธอย่างเด็ดเดี่ยว “ข้าบอกนานแล้วว่าข้าไม่เห็นด้วย”
“เ้าเข้าใกล้ข้าเช่นนี้อันตรายมากนะรู้หรือไม่” ซวี่เฉินฟางหรี่ตากล่าว “ข้าไม่เคยปฏิเสธอ้อมกอดของสตรี”
เมิ่งอู่ดึงข้อต่อนิ้วดังกรอบแกรบ “ข้าเองก็ไม่เคยปฏิเสธผู้ที่เข้ามาให้ข้าทุบตี”
ซวี่เฉินฟางโน้มตัวเข้าหานางโดยไม่มีการเตือนล่วงหน้า ก่อนเมิ่งอู่จะออกหมัด เขาก็บีบมือเมิ่งอู่ไว้ แล้วยื่นถุงหนักอึ้งใบหนึ่งให้นาง “ข้าแสดงความจริงใจแล้ว นี่เป็ค่าครองชีพของข้า”
เมิ่งอู่เปิดถุงออกดูอย่างไม่ใส่ใจ ภายในถุงเต็มไปด้วยลูกปัดทองสุกปลั่ง
เมิ่งอู่มองเขาก่อนกล่าว “เ้าถูกขับไล่ออกจากเรือนมิใช่หรือ ยังมีเงินมากมายเช่นนี้?”
ซวี่เฉินฟางกล่าว “ปกติเก็บเงินส่วนตัวไว้ด้วย มากน้อยก็ต้องมีเงินเก็บอยู่บ้าง”
เมิ่งอู่รวบมัดปากถุง กำลังจะส่งคืนให้เขา ทว่าขณะนั้นเสียงของนางเซี่ยดังมาจากหลังประตู “อาอู่ เ้ากลับมาแล้วหรือ?”
กล่าวจบ ประตูเรือนก็ถูกผลักเปิดออก
ชั่วขณะนั้นซวี่เฉินฟางตอบสนองเร็วรี่ยิ่งกว่านาง เขารีบอุ้มนางแล้วหมุนตัวหันหลัง จากนั้นก็ไม่มีผู้ใดขวางทางเขาอีก เขาจึงรีบสาวเท้าไปข้างหน้า ยิ้มเกลื่อนหน้าก่อนกล่าวกับนางเซี่ย “ท่านป้า”
เมิ่งอู่หัวหมุนอลหม่านท่ามกลางพายุ
นางเซี่ยที่ยืนอยู่ตรงประตูตกตะลึงพรึงเพริดครู่หนึ่ง นางมองซวี่เฉินฟางครั้งแล้วครั้งเล่า เมื่อให้แน่ใจว่านางไม่เคยเห็นบุรุษผู้นี้มาก่อน จึงเอ่ยถาม “เ้าคือ?”
ซวี่เฉินฟางจึงบอกนามปลอมของตนเอง และเล่าที่มาที่ไปของทั้งสองครอบครัว เื่นี้ต้องเล่าย้อนไปถึงยามที่ผู้าุโเซี่ยยังหนุ่ม
เขากล่าวว่า ผู้าุโเซี่ยมีน้องสาวคนหนึ่งที่พลัดพรากจากกันั้แ่ยังเยาว์ น้องสาวคนนั้นก็คือท่านยายของเขา หลายปีมานี้ครอบครัวของเขาพยายามตามหาญาติ ในที่สุดก็ตามมาจนถึงที่นี่
เื่ราวที่เขาเล่าฟังแล้วสมเหตุสมผล ไร้ช่องโหว่
หากเมิ่งอู่ไม่รู้มาก่อนว่าเขาแอบสอบถามเื่ราวทุกอย่างของครอบครัวนางกับลุงหลิว นางคงเกือบโดนเขาหลอกแล้ว
เขายังรู้จักผู้าุโเซี่ยจากการบอกเล่าของลุงหลิวมากกว่านางซะอีก! บางเื่นางยังไม่รู้ด้วยซ้ำ
ด้วยวิธีนี้ แน่นอนว่าเื่ราวของเขาย่อมน่าเชื่อถือมาก
เมื่อเมิ่งอู่หันมองนางเซี่ย ก็รู้สึกว่าสถานการณ์ไม่ค่อยดี ดวงตานางเซี่ยแดงก่ำ เริ่มปาดน้ำตา!
เมิ่งอู่รีบกล่าว “ท่านแม่ อย่าเชื่อเขา เขาเป็นักต้มตุ๋น!”
นางเซี่ยกล่าว “เ้าอย่าขัดจังหวะ!” นางหันไปกล่าวกับซวี่เฉินฟางอีกครั้ง “ไม่คิดเลยว่าญาติพี่น้องที่พลัดพรากจากกันนานหลายปียังมีวันได้พบกันอีก หลายปีมานี้พวกเ้าต้องเหนื่อยยากลำบากไม่น้อยกระมัง”
หางตาเมิ่งอู่กระตุก มองนางเซี่ยแล้วมองซวี่เฉินฟาง ตกลงผู้ใดกันแน่ที่ลำบากไม่น้อย!
ซวี่เฉินฟางกล่าว “ขอแค่ได้พบท่านป้าและญาติผู้น้องก็พอแล้ว”
นางเซี่ยกล่าว “อย่ายืนคุยกันอยู่หน้าประตูเลย ทุกคนเข้ามาข้างในก่อนเถิด ค่อยคุยกันข้างใน”
ซวี่เฉินฟางจึงช่วยขนของที่ซื้อกลับมาเข้าไปในลานเรือนทีละอย่าง เมิ่งอู่เตรียมจะยกฟูกและข้าวของอื่นๆ ที่นางซื้อมา แต่ซวี่เฉินฟางรีบเข้ามารับจากมือของนางพร้อมกับขยิบตาให้นาง แล้วยิ้มกล่าว “ญาติผู้น้อง ปล่อยให้ข้าจัดการเถิด”
เมิ่งอู่อยากจะกัดเขาสักทีจริงๆ
นอกจากข้าวของที่เมิ่งอู่ซื้อกลับมาแล้ว ซวี่เฉินฟางยังนำของขวัญมาด้วยมากมาย นางเซี่ยรับไว้จนมืออ่อน รู้สึกเกรงใจอยู่บ้าง พอได้ยินว่าเขาตั้งใจเดินทางไกลนับพันหลี่เพื่อเยี่ยมเยียนญาติโดยเฉพาะ และบ้านอยู่ห่างไกลจากที่นี่มาก นางเซี่ยจึงกล่าว “ขอเพียงเ้าไม่รังเกียจที่นี่ ก็พักอยู่ที่นี่อย่างสบายใจไปก่อนเถิด”
ซวี่เฉินฟางกล่าว “ขอบคุณท่านป้าขอรับ”
ปีศาจตนนี้เอาชนะใจท่านแม่ของนางได้สำเร็จอีกครา...
นางเซี่ยให้เมิ่งอู่ดูแลซวี่เฉินฟาง ส่วนตนเองรีบเข้าไปเตรียมอาหารเย็นในครัว ยามนี้มีคนเพิ่มอีกหนึ่งคน มื้อเย็นยังต้องทำอาหารเพิ่ม
อินเหิงอยู่ที่ลานเรือนมาโดยตลอด ซวี่เฉินฟางสังเกตเห็นเขาั้แ่แรก เพียงแต่ตอนแรกเขามัวแต่เอาใจนางเซี่ย จึงไม่มีเวลาสนทนากัน
เวลานี้ในลานเรือนเงียบสงบ
ซวี่เฉินฟางหันหลังกลับมาพลางลูบพัดคลี่ เขาจ้องมองอินเหิงในชุดขาวบนเก้าอี้เข็น หรี่ตาลงแล้วผลิยิ้มก่อนเอ่ย “เ้าคือคนที่อาอู่ซื้อเสื้อผ้าให้สินะ”
ซวี่เฉินฟางทำตัวสนิทสนม เรียกเมิ่งอู่ว่า “อาอู่” ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนและเป็กันเอง
อินเหิงเงยหน้ามองอีกฝ่ายด้วยสายตาเ็า กล่าวว่า “เ้าคือบุรุษชุดแดงผู้นั้น”
ซวี่เฉินฟางโบกพัดคลี่ ก่อนนั่งบนเก้าอี้ในลานเรือนอย่างสบายอารมณ์ กล่าวว่า “ข้าอยากรู้จริงๆ ว่าบุรุษในเรือนของอาอู่เป็ผู้ใด ถึงกับทำให้นางยอมสละเงินที่มีน้อยนิดซื้อเสื้อผ้าให้ เงินหนึ่งตำลึงสองตำลึงในชนบทไม่ใช่น้อยๆ ท่านป้าของข้าน่าจะยังไม่รู้เื่นี้กระมัง?”
อินเหิงยกริมฝีปากยิ้มเ็า เพียงแวบเดียวก็จางหายไป กล่าวว่า “ท่านป้ารึ? ที่แท้ท่านยายของคุณชายซวี่ก็เป็ญาติกับชาวบ้านในหมู่บ้าน”