ใกล้ๆ กรงแพนด้ามีศูนย์บริการนักท่องเที่ยวซึ่งมีชุดแพนด้าสำหรับเด็กวางขาย ซูอินกับอวี๋ฉิงจูงมือซ้ายและมือขวาของเ้าตัวน้อยเดินเข้าไปอย่างกระตือรือร้น
หมวกที่มีหูสองข้าง เสื้อคลุมแขนยาวที่มีหาง และยังมีอุ้งเท้าแมวที่มีจุดสีดำห้าจุด…
แขวนเรียงรายอยู่หลายชุด เด็กชายตัวน้อยกลายร่างเป็สมบัติของชาติที่น่ารักบ้องแบ๊ว
“น่ารักมาก!”
หญิงสาวที่เป็พนักงานเก็บเงินพยายามพูดเสียงเบา แต่ก็ยังได้ยินชัดเจน
ซูอินและอวี๋ฉิงไม่สามารถห้ามความรู้สึกที่เอ่อล้น พร้อมกับแววตาที่เป็ประกาย
เ้าตัวน้อย : …
เขาััได้ถึงความผิดปกติโดยสัญชาตญาณ เมื่อหันไปมองตัวเองในกระจกจึงเห็นหูนุ่มนิ่ม อุ้งเท้า ร่างกายของเขาในเวลานี้เหมือนกับแพนด้าไม่มีผิด
น่าสนุกจัง!
ดวงตาโตราวกับผลองุ่นเปล่งประกาย
ดูเหมือนพี่สาวจะมีความสุขมาก สิ่งนี้ยิ่งทำให้เด็กชายตัวน้อยมีความสุขยิ่งกว่า
“พี่ครับ”
อุ้งเท้านุ่มนิ่มััมือของซูอิน ยิ่งเห็นใบหน้ามีความสุขเหลือล้นของเด็กชายตัวน้อยทำให้ซูอินอดหัวเราะไม่ได้
“พรืด!”
“ไปดูแพนด้ากลิ้งๆ กันไหมครับ”
“ตกลง พวกเราไปกันเถอะ”
ทั้งสามคนกลับไปยังกรงแพนด้าอีกครั้ง พวกเขามองแพนด้าจากด้านนอก เด็กชายตัวน้อยกระตือรือร้นมาก โบกมือไปมาด้วยท่าต่างๆ ให้เ้าแพนด้า
แม้ว่าฝนที่ตกจะทำให้คนมาเที่ยวสวนสัตว์น้อยลง แต่รอบๆ กรงแพนด้าก็มีนักท่องเที่ยวจำนวนไม่น้อยที่ยืนรวมกันอยู่ การแต่งตัวที่โดดเด่นจึงตกเป็เป้าสายตา ทำให้นักท่องเที่ยวบางคนพาลูกๆ ของตนไปแต่งตัวบ้าง
จากนั้นไม่นานใกล้ๆ กรงแพนด้าก็ค่อยๆ ปรากฏแพนด้าน้อยน่ารักออกมาทีละตัว
ซูอินดูพวกมันอย่างมีความสุขท่วมท้น แต่มองไปมองมาอย่างไรน้องชายของเธอก็น่ารักที่สุดอยู่ดี ไม่ใช่เพราะเธอเป็พี่สาวของเขา แต่ไม่ค่อยจะมีเด็กชายคนไหนที่มีความน่ารักอย่างเป็ธรรมชาติและเชื่อฟังแบบนี้ต่างหาก
โดยไม่ต้องสั่ง เขาก็เลียนแบบเ้าแพนด้า ปีนขึ้นไปบนก้อนหินที่ประดับอยู่บนสนามหญ้า ขนนุ่มนิ่มและหางโผล่จากด้านหลัง ก่อนที่เสียงเล็กไร้เดียงสาจะเอ่ยออกมา
“พี่ ผมเหมือนไหม”
มุมปากของซูอินที่กระตุกยิ้มอดไม่ได้ที่จะฉีกยิ้มก่อนจะพยักหน้า “เหมือน อันอันเก่งมาก”
อวี๋ฉิงมีปฏิกิริยาตอบสนองมากกว่าซูอินเสียอีก เธอยกกล้องดิจิทัลขึ้นมาถ่ายภาพในมุมต่างๆ
“รีบลุกขึ้นเถอะ บนก้อนหินมันเย็นนะ”
เพื่อนสนิททั้งสองคนพาเ้าแพนด้าตัวน้อยเดินเที่ยวในสวนสัตว์ต่อ นี่เป็ครั้งแรกที่มาสวนสัตว์ อีกทั้งยังได้เจอเพื่อนที่อายุเท่าๆ กัน ทำให้วันนี้เ้าตัวน้อยมีความสุขมาก สวมชุดนุ่มนิ่มและแสดงท่าทางน่ารักมากมาย
กล้องดิจิทัลก็ตามถ่ายภาพ บันทึกรูปเ้าตัวน้อยน่ารักไปได้ไม่น้อย
จนเมื่อกลับถึงเมืองผิง ทั้งสามคนก็ยังจมอยู่กับความสุขอันท่วมท้นโดยไม่สามารถเรียกสติกลับมา
“เดี๋ยวไปส่งพวกเขาก่อน” อวี๋ฉิงหันไปบอกคนขับรถที่อยู่เบาะหน้า
ซูอินที่เล่นอุ้งเท้าแมวของเ้าตัวน้อยอยู่ถึงได้สติ “เมื่อเช้าตอนที่ลงจากรถ ฉันบอกคนขับไว้แล้วว่าตอนบ่ายจะรออยู่ที่สถานีขนส่งเฉิงเป่ย เมื่อใกล้ถึงเวลาไปส่งพวกเราที่นั่นก็พอแล้ว”
น้ำเสียงของคุณหนูเอ่ยด้วยความสนใจ “เธอโง่หรือเปล่า นั่งรถจากในเมืองสบายๆ ไม่นั่ง จะทรมานตัวเองทำไม”
ซูอินรู้ดีว่าอวี๋ฉิงไม่ได้มีเจตนาไม่ดี จึงอธิบายให้ฟังอย่างใจเย็น “ก็มาจากหมู่บ้านเดียวกัน หากไล่ดูก็ถือว่าเป็ญาติกัน หากทำธุรกิจย่อมต้องช่วยเหลือกัน อีกอย่างหากไปถึงหมู่บ้านก็คงมืดค่ำ ที่นั่นไม่มีไฟถนน มืดสนิท ไม่มีแสงสว่างเลย หากเธอกลับคนเดียวฉันไม่วางใจเท่าไร”
พูดจบเธอจึงกล่าวออกมากึ่งแหย่เล่น “คุณหนูอวี๋ เธอเป็ถึงทายาทของบริษัทใหญ่ในเมืองนี้เชียวนะ”
อวี๋ฉิงมุ่ยปากพร้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย่อหยิ่ง “ทายาทอะไรกัน พูดเป็ละครเกาหลีไปได้”
ถึงแม้จะเอ่ยเช่นนั้น แต่อย่างไรก็ถือว่าเป็เื่จริง คุณหนูอวี๋ชะงักเล็กน้อย ก่อนที่น้ำเสียงจะเปลี่ยนเป็แสดงความประทับใจ “คิดว่าเธอเปลี่ยนไปแล้ว ไม่คิดเลยว่าจะยังเหมือนเดิม บางคน…ได้คืบจะเอาศอก หากทำแบบนั้นต่อไปเรื่อยๆ วันหนึ่งคงต้องโชคร้าย”
บนโลกใบนี้มีคนไม่กตัญญูในบุญคุณ คนที่มอบข้าวหนึ่งถุงเป็บุญคุณ มอบข้าวหนึ่งกระสอบเป็ความโกรธแค้นมีมากมายไม่รู้เท่าไร อวี๋ฉิงแค่พูดออกไป ซูอินก็ไม่ได้เก็บมาใส่ใจ เธอยิ้มให้อย่างอ่อนโยนโดยไม่พูดอะไร ปล่อยให้มันผ่านไป
คนขับรถเลี้ยวโค้งก่อนจอดตรงจุดนัดหมาย
“นี่มันที่ไหนเนี่ย”
เมื่อเห็นพื้นที่รกร้างกว้างใหญ่บวกกับโรงงานหลายแห่งที่ถูกทิ้งร้าง ทำให้คุณหนูอวี๋อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว
ซูอินก็รู้สึกเหมือนกันว่าสถานที่แห่งนี้ทำให้ผู้คนหวาดกลัว แต่ที่ผ่านมาเธอใช้ชีวิตอยู่ในชนบท จึงคุ้นชินกับพื้นที่โล่งแบบนี้ ซูอินสะบัดหัวเพื่อไล่ความรู้สึกแปลกๆ ออกไป
“นัดกันไว้แล้วว่าเป็ที่นี่ อีกไม่นานก็น่าจะมารับฉัน เอาละ พวกเราจะลงที่นี่แหละ เธอรีบกลับบ้านเถอะ”
เธอจูงมือน้องชายลงจากรถ ก่อนจับอุ้งมือแมวที่เขาสวมอยู่ขึ้นโบกมือลาอวี๋ฉิงที่อยู่ในรถ รถค่อยๆ เคลื่อนห่างออกไป ซูอินจูงมือน้องชายตัวน้อยไปอยู่อีกฝั่งหนึ่ง ก้มมองเ้าตัวน้อยที่กำลังเล่นหูแพนด้าของตนเอง
พรืด…
เธอยิ้มออกมาอย่างอดไม่ได้
วันนี้ได้หัวเราะตลอด่บ่ายจนเธอปวดท้อง ยกมุมปาก มือข้างหนึ่งประคองท้องของตนเอง
“พี่ปวดท้องเหรอ”
เด็กน้อยไร้เดียงสาหันมามองพร้อมน้ำเสียงน่ารักน่าเอ็นดู ซูอินก้มศีรษะก็เห็นอุ้งมือแมวและหูหมีแพนด้า พร้อมกับดวงตาที่โตราวกับผลองุ่นมองเธอด้วยความเป็ห่วง
“นวดให้เอาไหมครับ”
ซูอินเผลอพยักหน้า อุ้งมือแมวปล่อยออกจากหูแพนด้าแล้วนวดหน้าท้องของเธอเบาๆ โดยมีเสื้อกั้น แรงของเ้าตัวน้อยมีไม่มาก อีกทั้งยังมีอุ้งมือแมวและเสื้อของเธอกั้นอยู่ ทำให้เวลานวดจึงรู้สึกจั๊กจี้ และคันยุบยิบนิดหน่อยเท่านั้น
เพียงชั่วขณะหัวใจของซูอินก็รู้สึกถึงความอ่อนโยน
เธออดรู้สึกไม่ได้ว่าตนเองโชคดี ที่เมื่อกลับมาเกิดใหม่ตัดสินใจยืนหยัดที่จะกลับไปอยู่ในชนบท
ไม่อย่างนั้นวันนี้เวลานี้ก็ยังไม่มั่นใจว่าตัวเธอจะอยู่ที่ใด ถูกสองแม่ลูกตระกูลหลิงทรมาน ไม่สามารถใช้ชีวิตอย่างสงบสุขสักวัน
เมื่อนึกถึงจุดนี้ เสียงของหลิงเมิ่งก็ดังมาจากเื้ั “ทำไม ถูกเอามาทิ้งไว้แถวนี้เหรอ”
ซูอิน : …
เมื่อหันไปมองด้านหลังก็เห็นหลิงเมิ่งเดินออกมาจากโรงงานร้าง พร้อมกับกลุ่มคนจำนวนมากที่มีรอยสักที่แขน ดูแล้วน่าจะเป็แก๊งเดียวกันแน่ๆ
ซูอินกวาดตามองรอบๆ นอกจากพวกอันธพาลที่เคยขวางเธอไว้เมื่อตอนวันสอบ ก็ยังมีชายแปลกหน้าอีกหลายคน อันที่จริงเรียกว่าคนแปลกหน้าก็ไม่เชิง เมื่อชาติก่อนตอนอยู่ที่โรงเรียนมัธยมลำดับที่แปด คนเหล่านี้ผลัดเปลี่ยนกันมาข่มขู่เธอโดยที่ครูไม่เห็น ไม่เพียงทำให้เธอเรียนไม่รู้เื่ แม้แต่ความปลอดภัยในวันที่มีเรียนหรือวันหยุดก็ทำให้เธอรู้สึกว่าเป็ปัญหา
เรียกได้ว่าเบื้องหน้าของเธอคือแก๊งัดำแบบเต็มรูปแบบ
คนที่อยู่ข้างหลังหลิงเมิ่งเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ พวกเขายืนห่างจากเธอสามก้าว กลุ่มคนมากหน้าหลายตายืนรายล้อมหลิงเมิ่งที่อยู่ตรงกลาง สายตาหลายคู่พากันจับจ้องมาที่เธอ
แย่แล้ว…
ความคิดนี้แวบขึ้นในใจ ปฏิกิริยาแรกของเธอคือให้เด็กชายตัวน้อยไปอยู่ด้านหลังเพื่อปกป้องเขา
ถึงจะบอกว่าที่นี่คือสถานีขนส่ง แต่ตรงจุดนี้คือด้านหลังของสถานี ใกล้ประตูทางเข้าหลักของสถานีมีผู้คนขวักไขว่ ไม่อนุญาตให้จอดรถตามใจชอบ บ่อยครั้งที่พื้นที่ร้างใกล้ๆ นี้จึงกลายเป็จุดพักรถชั่วคราว
ท้องฟ้ามืดแล้ว เป็ไปได้ยากที่จะมีคนสัญจรไปมา
ทำอย่างไรดี ซูอินขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว
หลิงเมิ่งที่มีคนมากมายยืนอยู่ด้านหลัง เมื่อเห็นซูอินแสดงท่าทีประหม่า ก็พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ