“ดูดีหรือไม่?” ตู้ซิวจู๋เลิกคิ้วงามละเอียดขึ้น ดวงตาเรียวยาวชดช้อยราวกับสตรี
“ดูดี” หลินหวั่นชิวชื่นชมจากใจจริงพร้อมกับยกนิ้วหัวแม่มือให้เขา
หากเ้าไปประกวดความงาม ดาวหอคณิกาคงไม่ได้เกิด
นางเสริมอีกประโยคในใจ
ตู้ซิวจู๋ยิ้ม ดูดีก็ได้แล้ว
เขาลุกขึ้นรินชาให้หลินหวั่นชิว เป็ชาดอกกุหลาบ
หอมมาก
หลินหวั่นชิวมองถ้วยชาของตู้ซิวจู๋ ดอกมะลิสองสามดอกลอยอยู่เหนือน้ำชาสีเขียวอ่อน
“ชอบแบบข้าหรือ?” ตู้ซิวจู๋ถาม
หลินหวั่นชิวพยักหน้า “หิมะโปรยบึงมรกต เป็ชาที่ดีมาก แต่ข้าก็ชอบชาดอกกุหลาบเช่นกัน”
“หิมะโปรยบึงมรกต…ชื่อนี้ดี” ตู้ซิวจู๋มองน้ำในถ้วยชา นิ้วเรียวลูบวนไปบนขอบถ้วย
“ฮะฮะ…ฟังแล้วเหมือนได้ไปอยู่ในฉากนั้นเลยใช่หรือไม่?” หลินหวั่นชิวหัวเราะ มารดามันเถิด ความงามทำให้ทำผิดพลาด เจอเด็กหนุ่มหน้าตาดีเข้าหน่อยก็คุมปากไม่อยู่
ยุคโบราณมีชาที่ชื่อหิมะโปรยบึงมรกตหรือไม่ก็ไม่รู้…
“อื้ม เหมือนได้ไปอยู่ในฉาก ไว้ข้าจะบอกเถ้าแก่ว่าต่อแต่นี้ให้เรียกชานี้ด้วยชื่อนี้” ตู้ซิวจู๋พูดด้วยรอยยิ้มอย่างแฝงความหมาย
หลินหวั่นชิวมีไหวพริบ นางพูดว่า “อย่าเลย เ้าอย่าบอกเถ้าแก่ ความจริงข้าเคยดื่มชาชนิดนี้จากแม่ชีที่เจอบนเขาตอนเด็ก ท่านแม่ชีเป็คนชงชาให้ ข้าถามชื่อจากนาง นางตอบว่าหิมะโปรยบึงมรกต ข้ารู้สึกว่าชาของเ้าคล้ายคลึงกันแต่ไม่รู้ว่าใช่หรือไม่ หากเรียกผิดขึ้นมาคงไม่ดี”
“แม่ชี?” ตู้ซิวจู๋ยกหางเสียง ดวงตาปลายงอนมองหลินหวั่นชิวอย่างสืบเสาะ
หลินหวั่นชิวยกชาขึ้นมาดมและจิบหนึ่งคำ ลวกปากนางเล็กน้อย แต่รสชาติดีมาก
นางวางถ้วยชาลงและตอบว่า “เื่นี้เล่าแล้วยาว…บนูเาหลงเหว่ยมีอารามแม่ชีอยู่หนึ่งหลัง ในอารามมีแม่ชีนามว่าแม่ชีฮุ่ยอินอยู่หนึ่งรูป ตอนเด็กข้าโดนรังแกอยู่บ่อยๆ เก็บหญ้าจูเฉ่าแถวตีนเขาไม่ได้ ดังนั้นทุกวันจึงต้องตื่นเช้ามากเพื่อไปเก็บในที่ห่างออกไป… ท่านแม่ชีสงสารข้า มักมอบโจ๊กร้อนๆ ให้ข้าดื่ม… ต่อมาแม่ชีคงเหงา หันมาสอนสิ่งต่างๆ ให้ข้า ที่ข้าเขียนหนังสือและวาดรูปเป็ก็เพราะท่านแม่ชีสอนทั้งนั้น”
หลินหวั่นชิวแต่งเื่โกหกจากประสบการณ์ของเ้าของร่างเดิม เอาเื่จริงเื่โกหกมาปนกันแล้วจะกลายเป็จริง
อย่างไรเสียแม่ชีก็ตายไปแล้ว ไม่มีผู้ใดตรวจสอบกระไรได้
เป็เื่จริงที่หลินหวั่นชิวเคยได้รับเมตตาจากแม่ชีฮุ่ยอินตอนเด็ก เคยกินโจ๊กและหมั่นโถวของแม่ชี
เ้าของร่างเดิมเป็คนซื่อตรง กินอาหารของแม่ชีแล้วต้องช่วยแม่ชีทำงาน
ด้วยเหตุนี้ทั้งคู่จึงรู้จักกัน
แต่ไม่ได้สนิทสนมมากนัก เ้าของร่างเดิมมีงานกองเป็ูเาทุกวัน ไม่มีเวลาไปเรียนนู่นเรียนนี่จากแม่ชี
นางเล่าอย่างสบายๆ แต่ใจตู้ซิวจู๋กลับราวกับโดนค้อนทุบ
เขาตรวจสอบภูมิหลังเจียงหงหย่วน ย่อมตรวจสอบหลินหวั่นชิวด้วยเช่นกัน รู้ว่านางมีชีวิตอย่างไรก่อนมาเจอเจียงหงหย่วน
นี่เองเป็สาเหตุว่าเหตุใดเขาต้องลงมือหนักกับหลินกุ้ยฮวาและหลินฉิน
แม่ชีฮุ่ยอินบนูเาหลงเหว่ยมีประวัติไม่ธรรมดา หากหลินหวั่นชิวร่ำเรียนวิชาความรู้จากนาง เช่นนั้นจะเขียนหนังสือสวยและภาพวาดมีเอกลักษณ์เฉพาะก็ไม่แปลก
เพียงแต่ นางจะลำบากเกินไปแล้ว
ยากจะจินตนาการว่าเด็กหญิงคนหนึ่งต้องอดทนขนาดไหน โดนรังแกทุกวัน มีงานกองเป็ูเาให้ทำทุกวันแต่ยังต้องแบ่งเวลาไปฝึกคัดอักษรและวาดภาพอีก
คงเพราะนางมีเวลาฝึกฝนไม่พอ ตัวหนังสือและภาพของนางถึงได้มีแนวทางเป็ของตัวเองแบบตอนนี้
เรียบง่ายสบายตา
ตู้ซิวจู๋ทั้งสงสารทั้งนับถือหลินหวั่นชิว
ความจริงเขาก็เหมือนนาง ต้องอดทน แอบเรียนวรยุทธ์จากท่านอาจารย์ เผชิญความยากลำบากทุกรูปแบบ…
แต่หลินหวั่นชิวมีโอกาสะโออกมา การเตรียมการที่นางเตรียมไว้ก็มีประโยชน์
แต่เขาะโออกมาไม่ได้
มิอาจเห็นแสงสว่าง
หากคิดจะออกไป…
คงมีแต่ความตายเท่านั้น
“สามีเ้าเล่า?” ตู้ซิวจู๋ถาม เขาถามด้วยน้ำเสียงสบายๆ เพื่อผ่อนคลายบรรยากาศ “เขาวางใจให้เหนียงจื่อที่เกือบดูดีเท่าข้าออกจากบ้านเพียงลำพังหรือ?”
“พรืด…” หลินหวั่นชิวถูกเขาแหย่ให้หัวเราะ “มีกระไรให้ไม่วางใจกัน…ประเดี๋ยวนะ นี่เ้ากำลังชมตัวเองหรือชมข้า?”
“ต้องชมเ้าอยู่แล้ว!” ตู้ซิวจู๋ตอบอย่างภูมิใจ “รูปลักษณ์ของเปิ่นกงจื่อล่มชาติล่มเมืองเสียขนาดนี้”
“ใช่ๆ เ้างดงามเป็อันดับหนึ่งในใต้หล้า มิมีผู้ใดเปรียบเทียบได้ ที่สุดในจักรวาล… เ้าอยากงดงามอย่างไรย่อมได้ อย่ามาแย่งสามีข้าเป็พอ! อีกอย่าง เหตุใดวันนี้เ้าจึงเรียกข้าออกมา?”
ตู้ซิวจู๋งอปาก “อย่างสามีเ้าน่ะหรือ หน้าตาดิบเถื่อน คงมีแต่เ้านั่นแหละที่หวงเป็สมบัติ โยนทิ้งข้างถนนยังไม่มีผู้ใดเอาด้วยซ้ำ ข้าต้องตาบอดขนาดไหนถึงจะแย่งสามีกับเ้า… ถุยๆ! โดนเ้าพาเกเรแล้ว เปิ่นกงจื่อเป็บุรุษทั้งแท่ง ชอบสตรี”
“เ้านี่ตลกเสียจริง” หลินหวั่นชิวพูด นางค้นพบจุดเด่นอื่นที่นอกเหนือจากความหลอกง่ายของตู้ซิวจู๋
“ฮะฮะ…หาความบันเทิงให้ตัวเองก็เท่านั้น” ตู้ซิวจู๋ตอบ ในเสียงหัวเราะมีร่องรอยของความจนใจและโดดเดี่ยว
หลินหวั่นชิวนึกถึงเื่ที่เถ้าแก่ร้านหนังสือเล่าให้ฟัง ตู้ซิวจู๋เป็คุณชายสูงศักดิ์จากเมืองหลวง ต้องมาใช้ชีวิตในชนบทเพียงลำพัง…ดูแล้วคงจะไม่ได้เป็ที่โปรดปรานของที่บ้าน หรืออาจถึงขั้น…โดนรังเกียจ มิเช่นนั้นจะถูกเนรเทศมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร
“ข้าไม่มีเพื่อน หวั่นชิว ข้าเห็นเ้าเป็เพื่อน” จู่ๆ ตู้ซิวจู๋ก็พูดกับนาง
หลินหวั่นชิวรู้สึกว่าคำพูดเขาหนักหน่วงเล็กน้อยแต่ไม่ได้คิดกระไรมาก “พวกเราย่อมเป็เพื่อนกันอยู่แล้ว ความจริงข้าก็ไม่มีเพื่อนเช่นกัน”
“ดูเหมือนพวกเราจะคล้ายกัน” ตู้ซิวจู๋ยิ้ม “ในเมื่อเป็เพื่อน เช่นนั้นข้าจะบอกความลับหนึ่งอย่าง”
เขากดเสียงลงต่ำ
หลินหวั่นชิวถูกเขาดึงความสนใจ “ความลับกระไรหรือ? ถ้าพูดไม่ได้ก็ไม่ต้องพูด ข้าไม่อยากฟังถ้าเ้าพูดแล้วข้าต้องโดนฆ่าปิดปาก ชีวิตน้อยๆ ของข้าสำคัญกว่ามิตรภาพ”
“เชอะ…” ตู้ซิวจู๋เหลือบตามองนางอย่างไม่พอใจ พูดเสียงเบาว่า “วางใจเถิด ขอแค่เ้าไม่เอาไปป่าวประกาศให้รู้กันทั่วใต้หล้าย่อมไม่โดนฆ่าปิดปากเป็แน่”
หลินหวั่นชิวมองเขา “หากข้าเก็บความลับไม่อยู่เล่า ต้าเกอ พวกเราไม่คุยเื่ความลับได้หรือไม่?”
“ข้าคือจอมยุทธ์พเนจร!” ตู้ซิวจู๋โพล่งออกมาตรงๆ
“กระไรนะ?” หลินหวั่นชิวคิดว่าตัวเองฟังผิด
“ข้าคือจอมยุทธ์พเนจร!” ตู้ซิวจู๋ยืดอกขึ้น แต่หลินหวั่นชิวกลับพ่นน้ำชาใส่หน้าเขาพอดีด้วยความใ