ครั้งนี้โม่เสวี่ยถงพาโม่หลัน โม่อวี้และสาวใช้อีกสองคนมาด้วย
สาวใช้อีกสองคนที่ตามมาเป็คนที่ฟางอี๋เหนียงจัดหามาเพิ่มให้โม่เสวี่ยถง คนที่หน้าตาสะสวยชื่อว่าซวงเยี่ย ส่วนอีกคนที่ดูระมัดระวังตัวทุกฝีก้าวคือชิวหลิง เนื่องจากเมื่อคืนไม่ได้หลับอย่างเต็มที่ โม่เสวี่ยถงจึงเอนกายหลับพักสายตาบนรถ โม่หลันซึ่งอยู่อีกด้านก็พิงกรอบหน้าต่างงีบหลับ มีเพียงโม่อวี้ที่ยังมีสติแจ่มใสนั่งอยู่อีกด้านหนึ่ง
เนื่องจากเ้านายนอนหลับ สาวใช้สองสามคนที่ไม่ได้หลับก็ไม่ได้คุยกัน
“พี่โม่อวี้ เหตุใดคุณหนูสามจึงดูเหนื่อยล้าเช่นนี้ สุขภาพไม่ค่อยดีหรือ” ซวงเยี่ยที่นั่งอยู่อีกด้านเห็นสีหน้าขาวกระจ่างของโม่เสวี่ยถงแลดูซีดเซียวลงอีกหลายส่วน ก็อดใจไม่ไหวกระซิบถามเสียงเบา
“คุณหนูสุขภาพไม่ดีมาั้แ่ไหนแต่ไรแล้ว ไปวัดเป้าเอินครานี้ก็นึกกังวลจนเมื่อคืนนอนไม่หลับ” โม่อวี้เหลือบตาขึ้นตอบเสียงเรียบ ไม่มีความรู้สึกดีต่อสาวใช้ที่ชื่อซวงเยี่ยผู้นี้สักนิด
“อ้อ... พี่โม่อวี้...” ซวงเยี่ยยังอยากคุยต่อ แต่โม่อวี้ยกมือขึ้นโบกและชักสีหน้าเข้มให้นางหยุดพูดมาก
ซวงเยี่ยอ้าปากค้าง เมื่อไม่มีทางเลือกก็จำต้องหุบปากลง
ตลอดการเดินทางไร้บทสนทนาใดๆ เมื่อมาถึงประตูด้านหน้าหุบเขา โม่เสวี่ยถงก็เกาะมือของโม่อวี้ประคองตัวลงมาจากรถม้า ยามนี้ยังเช้าอยู่ บรรยากาศภายในลานวัดเงียบสงบอย่างยิ่ง ผู้มาจุดธูปไหว้พระยังไม่มาก มีเพียงเหล่าหลวงจีนน้อยที่กวาดลานวัดอยู่โดยรอบ เนื่องจากมีการแจ้งไว้ก่อนล่วงหน้า ทางวัดจึงส่งหลวงจีนน้อยอายุเจ็ดแปดขวบมารอที่หน้าประตู เมื่อเห็นคนมาก็หัวเราะหน้าชื่นกระวีกระวาดเข้ามาต้อนรับ
โม่หลันพาซวงเยี่ยกับชิวหลิงไปจัดของเข้าห้องพัก ครั้งนี้โม่เสวี่ยถงจะบำเพ็ญภาวนาเป็เวลาสามวัน ดังนั้นนางจะต้องพักที่นี่สองคืน
โม่เสวี่ยถงพาโม่อวี้เข้าไปในวิหารด้วย
แสงแรกแห่งอรุโณทัยจับขอบฟ้า สรรพสิ่งในพสุธาราวกับถูกคลี่คลุมด้วยแสงสีส้มอ่อน ย่างเข้าสู่ปลายฤดูใบไม้ร่วงแล้ว สายลมโบกโบยพัดพาความหนาวเย็นมาด้วย เสียงกวาดลานวัดที่ปัดผ่านใบหูสะท้อนถึงความว่างเปล่าของวิหารแห่งนี้ ทั่วทั้งสี่ทิศสงบร่มเย็นราวกับวิสุทธิภูมิ[1]
มีหลวงจีนมาประจำอยู่ภายในวิหาร ผู้มาแสวงบุญซึ่งมาแต่เช้าจำนวนหนึ่งนั่งอยู่ด้านข้าง กำลังสวดมนต์เบาๆ ไปพร้อมกับหลวงจีนเ่าั้
โม่เสวี่ยถงหาเบาะรองนั่ง แล้วนั่งลงที่มุมหนึ่งของวิหาร หลับตาลงฟังเสียงสวด
เวลาผ่านไปครู่ใหญ่ หลังทำวัตรเช้าเสร็จสิ้น แขกผู้มาแสวงบุญต่างแยกย้ายกันไป โม่เสวี่ยถงพาโม่อวี้ออกมาจากวิหาร แล้วกลับไปยังเขตที่พักของสตรีซึ่งอยู่ด้านหลัง เนื่องจากบรรยากาศสภาพแวดล้อมที่เงียบสงบ โม่อวี้จึงค่อยคลายใจ เดินชมทิวทัศน์ระหว่างทางกลับเป็เพื่อนโม่เสวี่ยถง ทันใดนั้นก็มีคนผู้หนึ่งเดินพรวดพราดออกมาจากหัวมุมทางโค้ง เกือบชนถูกโม่เสวี่ยถง
โม่เสวี่ยถงใก้าวถอยหลังไปสองสามก้าวโดยฉับพลัน โม่อวี้เข้ามากันอยู่ด้านหน้านายตนแล้วะโด่าทอ “เ้าเป็บุรุษบ้ากามมาจากไหน”
คนผู้นั้นมีทักษะยุทธ์ไม่เลว ตั้งตัวได้อย่างรวดเร็ว หลังจากถอยหลังไปก้าวหนึ่งก็กลับมายืนนิ่ง “คุณหนูสามโม่?”
โม่เสวี่ยถงใจนตัวสั่นไปชั่วครู่ สีหน้าเปลี่ยนเป็ขาวซีด มือที่ซ่อนอยู่ภายใต้ชายเสื้อกำหมัดแน่น ดวงตาจับจ้องอยู่ที่คนผู้นั้น ใบหน้าคมสันหล่อเหลาเชิดขึ้นอย่างสง่างาม ดวงตาดำขลับฉายแววยิ้ม นุ่มนวลและเยือกเย็นดั่งดวงจันทร์มีเสน่ห์ดึงดูดผู้คนให้รู้สึกดีได้
คนผู้นี้ก็คือซือหม่าหลิงอวิ๋นอย่างไม่ต้องสงสัย
ภาพฟางอี๋เหนียงผุดขึ้นมาในหัวของนาง ไม่! ยามนั้นนางได้รับเลื่อนขั้นขึ้นมาเป็ภรรยาเอกแล้ว ฟางอี๋เหนียงกล่าวด้วยรอยยิ้มที่แฝงไปด้วยความเมตตาอ่อนโยน “ถงเอ๋อร์ ซื่อจื่อมาขอสู่ขอเ้า ด้วยเขากับเ้าเคยแตะเนื้อต้องตัวกันมาแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นเขาก็ยังพึงใจในความสามารถของเ้า ยินดีแต่งเ้าเป็ภรรยาเอก แม่ไปสอบถามมาแล้ว จนบัดนี้ข้างกายซื่อจื่อแม้กระทั่งสาวใช้ข้างห้องก็ยังไม่มีด้วยซ้ำ นับว่าเป็สามีที่ดีทีเดียว ทั้งยังหนุ่มแน่นเก่งกล้าสามารถ หลังเ้าแต่งให้เขาแล้ว จะต้องมีความสุขมากแน่นอน”
“น้องสามได้แต่งซื่อจื่อเป็สามี สตรีสูงศักดิ์ทั่วทั้งเมืองหลวงล้วนแต่ต้องอิจฉาเ้าแล้ว น้องสามช่างมีวาสนาโดยแท้” โม่เสวี่ยิ่ยิ้มงามเฉิดฉันปานบุปผา
แต่ผลสุดท้ายเล่า มีเพียงโลหิตไหลหลั่งกับความเคียดแค้นชิงชังอันไร้ขอบเขต...
เืทุกหยดที่ไหลรินกับภาพความทรงจำ ที่มีแต่ความหลอกลวง
หลังจากเก็บงำความชิงชังไว้ภายใต้ก้นบึ้งดวงตาแล้ว โม่เสวี่ยถงก็สูดหายใจลึก ค่อยรู้สึกถึงความอบอุ่นที่กลับมาในร่างกายใหม่อีกครั้ง ความเกลียดชังแบบนั้นฝังลึกถึงเืเนื้อและกระดูก ชาตินี้นางกลับมาเพื่อแก้แค้น นางจะกลัวพบเขาไปไย
“ที่แท้ก็ซื่อจื่อนี่เอง คารวะซื่อจื่อเ้าค่ะ” นางถอยห่างออกมาสองก้าว แล้วยอบกายคำนับอยู่ด้านหลังของโม่อวี้ จากนั้นก็จูงโม่อวี้ให้มายืนด้านข้าง ไม่คิดจะเสวนากับเขามากมาย ที่นี่อยู่ไม่ไกลจากวิหารนัก คนสัญจรไปมาค่อนข้างเยอะ ตนเองเป็สตรีในห้องหอ หากพูดคุยกับบุรุษนานเกินไปอาจเกิดข่าวลือในทางเสียหายได้
“ช่างประจวบเหมาะจริงๆ ไฉนคุณหนูจึงมาที่นี่ได้ มีธุระอันใดหรือ ไม่สู้ให้ข้าอยู่เป็เพื่อน เื่บางเื่อาจจัดการได้สะดวกขึ้น” ซือหม่าหลิงอวิ๋นจ้องมองสาวน้อยตรงหน้าด้วยสายตาละโมบ ดวงตาคู่งามหยาดเยิ้มมีประกายหยดน้ำ ขนตายาวกะพริบถี่ดูใสซื่อ เป็ความงามที่ไม่อาจพรรณนาได้ แม้ว่าสีหน้าจะขาวซีด แต่กลับดูน่ารักน่าสงสาร แสงตะวันแห่งสารทฤดูที่ทอไล้ลงมาบนเรือนร่างยิ่งขับรัศมีให้นางดูเปล่งประกาย ชวนให้ััถึงความไร้เดียงสาผสมผสานกับเสน่ห์ดึงดูดอันน่าประหลาดที่ลวงล่อจิติญญาของผู้คน
“ข้ามาสวดอธิษฐานให้มารดา ไม่รบกวนซื่อจื่อหรอกเ้าค่ะ” เมื่อเห็นเขาไม่มีทีท่าว่าจะจากไป โม่เสวี่ยถงจึงคารวะอีกครั้งด้วยสีหน้าราบเรียบ “ข้ายังมีธุระ ไม่อยู่คุยเป็เพื่อนซื่อจื่อแล้ว”
กล่าวจบก็พาโม่อวี้เดินผ่านซือหม่าหลิงอวิ๋นไป
“อา... เช่นนั้นเชิญคุณหนูสามตามสบายเถิด หาก้าความช่วยเหลือ ข้าก็อยู่ที่นี่ ให้สาวใช้มาบอกกล่าวได้” เมื่อเห็นโม่เสวี่ยถงเป็เช่นนี้ ซือหม่าหลิงอวิ๋นก็ถอยหลังเปิดทางให้อย่างมีมารยาท ในเบื้องลึกดวงตาเผยความลำพองใจออกมาวูบหนึ่ง หญิงงามเยี่ยงนี้แม้ไม่ต้องเอ่ยถึงมูลค่าก็ยังทำให้เขาหัวใจสั่นไหวได้ ยิ่งไปกว่านั้นจวนฝู่กั๋วกงที่อยู่เื้ัของนางก็เป็ฐานสนับสนุนที่ตนเอง้า หากครั้งนี้ประสบผลสำเร็จ ทั้งคนงามทั้งอำนาจก็เข้ามาอยู่ในอ้อมแขนของตน
“คุณหนู....” โม่อวี้ซึ่งประคองโม่เสวี่ยถงอยู่อดใจไม่ไหวอยากเอ่ยปากพูด แต่โม่เสวี่ยถงกลับเขย่ามือนางไว้ให้หยุด
เมื่อกลับมาถึงที่พักของตนเอง โม่เสวี่ยถงพบว่าเรือนที่อยู่ด้านข้างของตนก็มีคนอยู่ เห็นประตูเรือนเปิดอยู่แต่กลับไม่เห็นคน หัวคิ้วนางมุ่นขมวด เท้าหยุดชะงัก มองโม่หลันที่เดินออกมาต้อนรับที่หน้าประตูแล้วเอ่ยถาม “คนที่อยู่ที่นี่คือผู้ใด”
“บ่าวก็ไม่ทราบเหมือนกันเ้าค่ะ ตอนที่มาถึง ประตูเรือนหลังนี้ก็เปิดอยู่แล้ว สอบถามจากหลวงจีนน้อยก็บอกแต่ว่าเป็ผู้สูงศักดิ์คนหนึ่ง และยังกำชับพวกเราว่าอย่าไปรบกวน เพื่อมิให้คนผู้นั้นโกรธเอาได้เ้าค่ะ” โม่หลันเข้าใจความหมายของโม่เสวี่ยถง
ภายใต้ก้นบึ้งดวงตามีไอเย็นะเืวูบผ่าน ขอแค่อย่าเป็ซือหม่าหลิงอวิ๋นก็พอ!
เมื่อมีสถานะเป็ผู้สูงศักดิ์ก็ย่อมมิใช่ซือหม่าหลิงอวิ๋น แม้ว่าเขาจะเป็รัฐทายาทเจิ้นกั๋วโหว แต่ใครๆ ก็รู้ว่าจวนเจิ้นกั๋วโหวตกต่ำลงแล้ว แม้ว่าท่านโหวเฒ่าจะเสียชีวิตไปแล้ว แต่ซือหม่าหลิงอวิ๋นกลับยังคงเป็เพียงแค่ซื่อจื่อ สถานะอิหลักอิเหลื่อเหลือทน เล่ากันว่าเพราะท่านโหวเฒ่าเคยมีความเกี่ยวข้องกับการก่อฏของจิ้นอ๋อง จักรพรรดิทรงไม่พอพระทัย ดังนั้นจึงปล่อยให้มีฐานะเพียงซื่อจื่อเท่านั้น
จะสามารถขึ้นมาเป็เจิ้นกั๋วโหวได้หรือไม่ก็ยังไม่แน่
ชาติภพก่อน ซือหม่าหลิงอวิ๋นอาศัยนางให้ไปขอร้องบ้านท่านยาย เขาจึงได้สืบทอดบรรดาศักดิ์ต่ออย่างราบรื่น
ชาติภพนี้ที่ซือหม่าหลิงอวิ๋นมาทำดีเอาอกเอาใจนางตลอดเวลา ย่อมเป็เพราะเหตุผลเดียวกัน แต่นางไม่เชื่อว่าคนอย่างซือหม่าหลิงอวิ๋นจะหยุดอยู่แค่นี้ การที่เขามาปรากฏตัวขึ้นที่นี่ ก็แสดงว่าฟางอี๋เหนียงกับเขาต้องวางแผนขั้นต่อไปไว้เรียบร้อยแล้ว
ชาตินี้นางจะไม่ยอมให้พวกเขาทำอะไรตนเองได้อีก
ริมฝีปากยิ้มเยาะอย่างไร้สุ้มเสียง แล้วพาโม่หลันกับโม่อวี้เข้าไปในเรือนของตน
พวกนางเพิ่งพ้นประตูไป ก็มีหลวงจีนรูปหนึ่งเข้าประตูเรือนด้านข้างมาอย่างเร่งร้อน ด้านนอกประตูดูเหมือนไม่มีอะไร ที่หน้าประตูก็ไม่มีคนเฝ้า แต่หลวงจีนล้วนทราบดีว่าทุกจุดของที่นี่มีองครักษ์เงาเฝ้าอยู่ บนต้นไม้ใหญ่หน้าประตูหลักมีองครักษ์เงาสองคนที่เฝ้าจับตามองหน้าประตูอยู่ ด้านในก็มียอดฝีมือแฝงกายอยู่ทุกที่
อย่าว่าแต่คนทั้งคนเดินเข้ามา แค่นกบินผ่านยังถูกจับได้
“ขอเข้าเฝ้าองค์ชาย มีเื่ต้องกราบทูล” หลวงจีนรูปนั้นยืนนิ่งที่หน้าประตู ไม่กล้าเข้าไปข้างใน ก้มศีรษะหันไปทางเรือนที่ว่างเปล่าและกล่าวด้วยความเคารพ
“คอยก่อน” เสียงเข้มดุดันลอยมาในอากาศ หลังจากนั้นชั่วครู่ องครักษ์ในชุดรัดกุมก็ปรากฏตัวใต้ชายคา ให้สัญญาณกับหลวงจีนรูปนั้นแล้วกล่าวอย่างเรียบง่าย “เข้ามา”
ภายในห้องแขวนม่านไม้ไผ่ มองทะลุเข้าไปก็จะเห็นมีเงาร่างของคนผู้หนึ่งยืนเอามือไพล่หลังอยู่ด้านใน
“เื่อะไร” น้ำเสียงเฉื่อยชาราวกับคนเมาสุราทำให้ผู้ฟังราวกับถูกมอมให้มึนเมาไปด้วย แต่ก็ทำให้คนอยากรู้ว่า ผู้ที่อยู่ด้านในจะหล่อเหลาเอาการเพียงใด
“องค์ชาย จดหมายคำสั่งลับปรากฏขึ้นแล้ว เชิญองค์ชายโปรดตรวจสอบให้กระจ่าง” หลวงจีนรูปนั้นไม่กล้ารอช้า รีบรายงานด้วยความเคารพ ผู้ที่อยู่ด้านในมิใช่คนที่เขาจะเข้าไปสอดส่องดูตามใจได้
“พบที่ไหน” ชายหนุ่มเหมือนคิดใคร่ครวญชั่วครู่ก่อนเอ่ยถาม
“ที่ตัวของคุณหนูจวนโม่แขวนถุงหอมใบหนึ่งปักลายตราประทับแบบเดียวกับที่อยู่ในจดหมายคำสั่งลับ เมื่อครู่ตอนที่นางเข้ามา อาตมาสังเกตเห็นพอดี ดังนั้นพอเสร็จจากทำวัตรเช้าก็รีบมารายงานองค์ชายทันที”
เมื่อหลวงจีนรูปนั้นเห็นดรุณีน้อยผู้มีหน้าตาสะสวยผู้นั้นแล้ว ก็สอบถามกับหลวงจีนน้อยทันที จึงรู้ว่านางเป็คุณหนูจากจวนโม่มาสวดภาวนาให้มารดาผู้ล่วงลับ เนื่องจากมีการจองไว้ั้แ่วันก่อนในวัดจึงมีการลงบันทึกไว้ แค่ตรวจสอบก็รู้ได้
“คุณหนูจวนโม่คนไหน” ม่านถูกเลิกขึ้น บุรุษผู้หนึ่งเดินออกมา สิ่งแรกที่พุ่งเข้าสู่สายตาก็คืออาภรณ์สีม่วงตัวหลวมกว้าง ปลายแขนเสื้อปักลายัอย่างประณีตงดงาม เข้ากับรูปร่างสง่างามและคล่องแคล่วปราดเปรียวของเขา ั์ตาดำขลับเป็ประกายระยิบระยับ ดวงตาหงส์ยาวเรียวเฉียงขึ้นยิ่งดูมีเสน่ห์ชวนมอง
ใบหน้าคมสันหล่อเหลาเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์แห่งความชั่วร้าย ด้วยใบหน้าที่งดงามไร้ที่ติเช่นนี้เอง เพียงแค่มองก็่ชิงจิติญญาของคนไปได้โดยง่าย
แม้ว่าหลวงจีนจะเคยเห็นเ้านายผู้นี้มาสองสามครา ก็ยังไม่กล้ามองหน้าเขาตรงๆ ความงามสง่าเยี่ยงนี้ รูปโฉมงดงามยิ่งกว่าสตรีเยี่ยงนี้ กล่าวได้ว่าเป็ความงามที่สร้างหายนะได้อย่างแท้จริง แต่เขาก็ทราบดีว่า บุรุษหล่อเหลาที่อยู่เบื้องหน้ามิได้ไม่มีอันตรายอย่างที่ตาเห็น
เมื่อเห็นเขาออกมาก็ไม่กล้าเงยหน้าขึ้น และยิ่งระมัดระวังคำพูดมากกว่าเดิม “ทูลองค์ชาย แม้ไม่ชัดเจนว่าเป็คุณหนูคนใดของจวนโม่ แต่หลวงจีนน้อยกล่าวว่า พ่อบ้านที่มาจองห้องพักรับรองแขกกล่าวถึงคุณหนูใหญ่ ดังนั้นอาตมาคิดว่าก็น่าจะเป็คุณหนูใหญ่แห่งจวนโม่”
“คุณหนูใหญ่จวนโม่? สตรีที่ดูราวกับนกยูงรำแพน ยั่วยวนบุรุษไปทั่วผู้นั้นน่ะหรือ แค่เห็นก็รู้สึกเอียนแล้ว” มือของชายหนุ่มหยุดชะงัก ท่าทางสนอกสนใจหายไปในพริบตา แล้วยกม่านขึ้นกลับเข้าไปด้านในอีกครั้ง
“องค์ชาย เื่นั้น...” หลวงจีนเหงื่อซึมออกมาจากหน้าผากยังไม่กล้าเช็ด
“เลือกองครักษ์คนไหนก็ได้ให้นางไปสองคน นางปักถุงหอมมาเป็พิเศษแบบนั้น ย่อมรู้ความนัยของเื่นี้ดี ให้คนตามไปสืบด้วยว่านางไปได้ของสิ่งนั้นมาจากไหน” เสียงจากด้านในกล่าวอย่างรำคาญ
“พ่ะย่ะค่ะ” หลวงจีนไหนเลยจะกล้าปฏิเสธ หลังจากคารวะอำลาแล้วก็เดินตามองครักษ์ที่หน้าประตูออกไป
“ทูลองค์ชาย องค์ชายใหญ่ก็กลับเมืองหลวงแล้ว องค์หญิงตรัสว่าหากองค์ชายว่างเมื่อไรให้เข้าวังไปอยู่เป็เพื่อนพระองค์พ่ะย่ะค่ะ” องครักษ์นายหนึ่งเดินเข้ามายืนรายงานอยู่หน้าประตู
“ไปกราบทูลเสด็จอาว่าวัดเป้าเอินทิวทัศน์งดงามไม่เลว เชิญเสด็จมาเที่ยวเล่นดูสักคราเถิด ในวังวุ่นวายเพียงนั้น เสด็จอาจะต้องโปรดปรานสถานที่เงียบสงบเช่นนี้แน่นอน”
“พ่ะย่ะค่ะ แต่หากองค์หญิงเสด็จมาถึงแล้วจะให้ประทับที่ไหนพ่ะย่ะค่ะ สองวันนี้แขกที่มาวัดล้วนจองที่พักเต็มหมดแล้ว” องครักษ์กดเสียงต่ำกล่าวอย่างลำบากใจ
“ก็แค่ทำให้เรือนที่อยู่ติดกับข้าว่างลงก็ได้แล้วมิใช่หรือไร” น้ำเสียงที่ลอยมาจากด้านในแม้จะฟังดูนุ่มนวล แต่กลับไม่อาจขัดขืนได้ “ส่งคนที่อยู่ที่นั่นออกไปให้เร็วหน่อย”
“พ่ะย่ะค่ะ”
..............................................................................................................
คำอธิบายเพิ่มเติม
[1] วิสุทธิภูมิ หรือ พุทธเกษตร ตามความเชื่อของพุทธศาสนานิกายมหายานหมายถึงดินแดนที่พระพุทธเ้าทรงสร้างขึ้นด้วยปณิธานของแต่ละพระองค์ ไม่ใช่แดนนิพพาน แต่เป็สถานที่อันสุขสงบคล้ายแดน์ เป็ภูมิที่พุทธสาวกจะไปใช้ปฏิบัติธรรมหลังจากสิ้นชีวิตจากโลกนี้ไปแล้ว เพื่อบรรลุนิพพานต่อไป