เสียงปรบมือดังดั่งห่าฝน แต่อารมณ์บนใบหน้าของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วและเยวี่ยเจาหรานกลับดูไม่ดีนัก โดยเฉพาะเยวี่ยเจาหราน ความเ็ปราวกับหว่างขาฉีกขาดทำให้แม้แต่รอยยิ้มปลอมๆ เขาก็ยิ้มออกมาไม่ได้ ไม่มีหนทางอื่นนอกจากก้มหน้าหลบต่ำอย่างอับอาย และกรีดร้องอยู่ในใจด้วยสีหน้าบิดเบี้ยว
เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วไม่ใช่คนโง่ นอกจากนี้นางยังได้ยินเสียงร้องราวกับหมูถูกเชือดของเยวี่ยเจาหราน รอยยิ้มนางเองจึงไม่ได้ดูดีอะไรนัก เสียงปรบมือยังไม่ทันหยุดลง เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วก็แหงนหน้าดื่มสุราในจอก จากนั้นนางก็พลิกข้อมือโยนจอกหยกกลับไป จอกลอยเป็เส้นโค้ง แล้วหล่นกลับไปยังตำแหน่งที่เพิ่งโยนออกมาพอดิบพอดี
“ขอบคุณสุราเลิศรสของใต้เท้าท่านนี้ ข้าน้อยขออำลา”
เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วไม่ได้โจมตีเพราะเห็นแก่หน้าเขา เพียงอดกลั้นความหงุดหงิดเอาไว้ในใจ นางประสานมือคารวะเบื้องบน แล้วค้อมตัวให้ตาแก่ขี้หลงขี้ลืมคนนั้นอีกครั้ง ก่อนจะลอบกลอกตาใส่เขาทีหนึ่ง
เยวี่ยเจาหรานยังคงฉีกขาอยู่ที่พื้น เจ็บจนไม่อาจเคลื่อนไหวได้ เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วลอบถอยหายใจ น่ากลัวว่าขานั่นคงจะพิการไปสองในสามส่วนแล้ว กลับไปก็คิดได้เลยว่าต้องตัดออกไปเท่าไรจึงจะเหมาะ
“เจ็บ...” เมื่อเห็นเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วก้มลงมามองตนด้วยสีหน้าเสียดาย เยวี่ยเจาหรานก็เบะปากอย่างน่าสงสารที่ไม่ได้รับความเป็ธรรม แม้เสียงจะเบา แต่ก็เข้าหูของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วที่เข้ามาใกล้อย่างแม่นยำ
เอาเถอะ คิดว่าข้าไม่รู้ความเ็ปของเ้าหรือ? เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วกลอกตาอย่างอดไม่ได้ แล้วจึงยื่นมือไปดึงเยวี่ยเจาหราน ช้อนตัวอุ้มเขาขึ้นมาด้วยแรงทั้งหมด เยวี่ยเจาหรานอย่างไรก็เป็บุรุษ น้ำหนักตัวย่อมไม่ได้เบาเหมือนรูปร่างที่ดูผอมบางนั้นแน่นอน ซึ่งความหนักนั้นทำเอาแขนทั้งสองของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วสั่นไม่หยุด แต่นางกลับยืดหยัดพยายามอุ้มเขาเดินไปข้างหน้า
“เอ๊ะ เกิดอะไรขึ้นหรือ?”
ฮ่องเต้หยุดปรบมือแล้วขมวดคิ้วเอนตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย เอ่ยถามด้วยเจตนาดี แต่ดวงตากลับหรี่ลงอย่างจับผิด ดูกระตือรือร้นราวกับพวกชาวกินเผือกที่เห็นเื่น่าสนุก… หากไม่ใช่เพราะเป็ฮ่องเต้ละก็ เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วก็อยากจะเตะกระบี่สองเล่มในมือไปปักบนหัวเขาสักสองรูซ้ายขวาเสียเดี๋ยวนั้นเลย!
แต่อย่างไรเขาก็คือฮ่องเต้ จะไม่ไว้หน้าได้หรือ? เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วที่เดิมทีแขนก็สั่นไม่หยุดอยู่แล้วจำต้องหยุดเดิน เอ่ยตอบอย่างนอบน้อม “เมื่อครู่ฮูหยินาเ็ที่ขา กระหม่อมไม่อาจทนให้นางต้องเดินมากได้ ขอฝ่าาโปรดอภัย”
ว่าไปแล้วก็หายากนักที่เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วจะเอ่ยเช่นนั้นออกมา ขณะที่เอ่ยอย่างนอบน้อมนั้น ในใจนางกลับอึดอัดอย่างมากจนเกือบจะกัดลิ้นอยู่หลายที
เยวี่ยเจาหรานเม้มปากเผยรอยยิ้มเกรงใจออกมาอย่างถูกจังหวะ นัยว่า ‘ใช่แล้ว ข้าเจ็บมากจริงๆ รีบปล่อยเราไปซะ!’
แต่ชัดเจนว่าฮ่องเต้นั้นไม่ได้สนใจสีหน้าเ็ปของเยวี่ยเจาหรานเลย ยังนึกว่านี่คือวิธีแสดงความรักอันเป็เอกลักษณ์ของพวกเขาสามีภรรยา...
ด้วยเหตุนี้จึงโบกมือแล้วหัวเราะเบาๆ “ลำบากเ้าแล้วๆ รำกระบี่วันนี้น่าตื่นตามาก ตกรางวัล!”
เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วที่กำลังจะได้รับรางวัลกลับไม่รู้สึกตื่นเต้น อย่างไรเสียถ้าหากฮ่องเต้ยังจะมอบรางวัลต่ออีก แขนของตนและขาของเยวี่ยเจาหรานคงจบเห่ไปพร้อมกัน! ทว่าเมื่อเหลือบมองไปยังบิดาของตนอย่างดูแคลน นางจึงอดกลั้นความโกรธเกรี้ยวที่กำลังเดือดพล่านในใจ แล้วคุกเข่าลงข้างหนึ่งอย่างเชื่อฟัง
“ขอบพระทัยฝ่าา” คำพูดสั้นๆ เพียงประโยคเดียว เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วกลับเอ่ยออกมาราวกับกำลังนั่งอยู่บนพรมเข็ม เยวี่ยเจาหรานเองก็ยับยั้งไม่ให้ตนแยกเขี้ยวออกมา แล้วเอ่ยขอบคุณเบาๆ
ฮ่องเต้นั้นดูเหมือนจะพึงพอใจกับปฏิกิริยาของทั้งสองในตอนนี้อย่างมาก ใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง จึงเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “บุตรชายของแม่ทัพเยี่ยนยังไม่มีตำแหน่งทางทหาร ไม่ควรให้รางวัลเกินงาม เช่นนั้นเราขอมอบทองคำร้อยตำลึง คฤหาสน์หนึ่งหลัง ส่วนภรรยาของเ้า… แต่งตั้งเป็เก้ามิ่ง [1] ก็ยังไม่เหมาะสม ดังนั้นก็เพิ่มบรรดาศักดิ์ให้มารดาของเ้าเป็เก้ามิ่งขั้นสองแล้วกัน”
ว่ากันตามตรง รางวัลเหล่านี้ล้วนไร้ค่า นอกเสียจากทองจริงเงินแท้ที่พอใช้ได้อยู่บ้าง ส่วนที่เหลือนั้นไม่มีประโยชน์อะไรเลยแม้แต่นิดเดียว เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วรวบรวมกำลังช้อนตัวเยวี่ยเจาหรานในอ้อมแขนขึ้นมา แล้วเอ่ยขอบคุณอย่างเ็า “ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ”
จากนั้นก็รีบจรลีหนีอย่างไม่รั้งรอ
……
ระหว่างทั้งสองคนถูกกั้นไว้ด้วยผ้าม่านผืนหนึ่ง ด้านนอกคือเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วที่เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้ว ส่วนด้านในคือเยวี่ยเจาหรานที่ยังคงโอ้เอ้ เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วรัดเชือกผูกแขนเสื้อสองรอบเป็ปมแน่น จากนั้นจึงะโไปด้านใน “ผู้ชายอย่างเ้า เหตุใดจึงเปลี่ยนเสื้อผ้าอืดอาดยืดยาดไม่เสร็จสักที?”
เยวี่ยเจาหรานยังรู้สึกเจ็บที่ขาอยู่ ยามนี้จึงคลี่ผ้าผูกที่บิดม้วนของชุดอย่างเชื่องช้า ทั้งยังมาถูกใครบางคนต่อว่าอีก ย่อมต้องรู้สึกโกรธเป็ธรรมดา เขาเอ่ยอย่างไม่ยอมแพ้ “อย่างไรเ้าก็เป็สตรี ไม่เข้าใจหรือว่าชุดกระโปรงตุ้ยจิน [2] ที่มีหลายชั้นหลายซ้อนมันวุ่นวายแค่ไหน? ตัวข้าเองก็อยากจะใส่ชุดกางเกงแบบเ้าเช่นกัน!”
เมื่อเห็นว่าเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วไม่พูดอะไรอีก เยวี่ยเจาหรานก็บ่นเสียงเบาอีกครั้ง “น่าจะให้เ้ามาลองความร้ายกาจของการใส่ชุดกระโปรงบ้างจริงๆ ฮึ!”
“รู้แล้วๆๆ เ้านี่พูดมากจริง หากเ้าไม่ได้งดงามสะดุดตาขนาดนี้ แล้วจะให้เ้ามาใส่ชุดกระโปรงหรือ? ขี้บ่นอย่างกับผู้หญิง!”
เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วไม่ยอมถอยให้ แล้วจิกกัดว่าเยวี่ยเจาหรานเป็ ‘สาวงาม’ ด้วยความตั้งใจและไม่ตั้งใจ จากนั้นด้านในก็นิ่งเงียบไปพักหนึ่ง จนทำให้เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วประหลาดใจ ‘เหตุใดรอบนี้ถึงหุบปากไปง่ายดายนัก?’ หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง รองเท้าปักลายข้างหนึ่งก็ลอยทะลุม่านออกมา กระแทกที่ด้านหลังศีรษะของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วอย่างเหนือคาด...
“เ้า!” เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วโกรธเป็ฟืนเป็ไฟนิ้วมือกำเป็หมัดแน่น แต่กลับอดกลั้นคำพูดข้างหลังเอาไว้ ‘เ้าโยนข้าวของแม่นขนาดนี้ั้แ่เมื่อไหร่?’
หลังจากงุ่มง่ามอยู่พักหนึ่ง เยวี่ยเจาหรานก็เปลี่ยนชุดเสร็จและออกมาในที่สุด ทั้งสองคนก็นั่งเคียงไหล่กันบนพื้นทอดสายตามองออกไปข้างนอก ปรากฏว่าเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วนั้นนั่งอ้าขาไม่น่าดู ส่วนเยวี่ยเจาหรานก็ชันเข่านั่งราวกับกุลสตรี...
“เ้าว่าฮ่องเต้องค์นี้ เหตุใดจึงมีความคิดบ้าๆ มากมายนัก แถมยังไม่ยอมเสียเปรียบเลยสักนิดเดียว รางวัลก็ไร้ประโยชน์ทั้งนั้น?”
“นั่นน่ะสิ อย่างไรเสียก็เป็ถึงจักรพรรดิของแว่นแคว้น ขาข้าแทบจะหักอยู่แล้ว เพิ่งจะเพิ่มบรรดาศักดิ์เก้ามิ่งให้ท่านแม่ข้าขั้นเดียว ช่างเป็ตาแก่ปีศาจเ้าเล่ห์จริงๆ !”
“ฮึ! จะว่าไปข้าก็อุ้มเ้าจนแขนจะหักอยู่แล้ว ได้ทองคำแค่ร้อยตำลึง ทำอย่างกับข้าเป็ขอทานอย่างนั้นแหละ!”
ทั้งสองที่สงบลงแล้วอดที่จะบ่นจิกกัดฮ่องเต้เบาๆ ไม่ได้ ไม่รู้ว่าผู้ที่นั่งตำแหน่งประธานในโถงจัดเลี้ยงนั้นกำลังจามไม่หยุดอยู่หรือไม่นะ?
จะว่าไปฮ่องเต้ก็ดีดลูกคิดรางแก้วมาอย่างดีเยี่ยมจริงๆ การรำกระบี่ของเยี่ยนเยวี่ยในวันนี้เป็การให้หน้าฮ่องเต้อย่างเพียงพอแล้ว ในสายตาของคนนอกและคนทั่วไป สองตระกูลที่อาฆาตมาดร้ายกันมานาน บัดนี้มีท่าทางสมานฉันท์กลมกลืนต่อหน้าพระพักตร์ นั่นก็นับว่ายอมจำนนต่อการปกครองของเขาแล้ว
ฉะนั้นยามนี้เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วและเยวี่ยเจาหรานจึงหมดประโยชน์ ต่อให้จะนั่งอยู่หลังเวทีไม่ปรากฏตัวอีกก็ไม่มีความจำเป็อีกแล้ว
ไม่รู้เพราะอะไร ทันใดนั้นเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วก็รื้อค้นคลังความรู้ในหัวจนพบกับสำนวนหนึ่งเข้า แล้วหันไปขมวดคิ้วให้กับเยวี่ยเจาหรานอย่างไม่เข้าใจ “เ้าว่าการกระทำของฮ่องเต้ผู้นี้ ใช่ที่เขาเรียกกันว่า ฆ่าลาเมื่อเสร็จงานโม่แป้ง [3] หรือไม่?!”
“เ้าอย่าว่าเลย ก็จริง...” เยวี่ยเจาหรานเองก็ขมวดคิ้วเช่นกัน เกือบจะขานรับเห็นด้วย แต่ชั่วครู่ก็ตอบกลับมาอีกครั้ง แล้วยกมือขึ้นแพ่นกบาลเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วอย่างแรง “เ้าอยากเป็ลาก็เป็ไปคนเดียวเลย ข้าไม่ใช่ลา!”
เชิงอรรถ
[1] เก้ามิ่ง หรือ ฮูหยินเก้ามิ่ง (诰命夫人) เป็บรรดาศักดิ์ที่ฮ่องเต้จะแต่งตั้งเป็พิเศษให้กับภรรยาขุนนางที่มีความชอบ โดยมีลำดับขั้นหนึ่งถึงห้า
[2] ชุดกระโปรงตุ้ยจิน หรือ ตุ้ยจินหรูฉวิน (对襟襦裙) เป็ชุดกระโปรงที่นิยมใส่กันในสมัยราชวงศ์ถัง ่บนใส่เสื้อรัดอกข้างในและเสื้อแขนยาวคลุมทับอีกหนึ่งชั้น ส่วนหน้าของเสื้อชั้นนอก (衣襟) จัดลงมาในแนวตรงไม่ทับกัน ชายเสื้อสอดไว้ในกระโปรงและมีเชือกผูกที่เอว ส่วนล่างเป็กระโปรงยาวเลยข้อเท้า เป็ชุดที่เห็นได้บ่อยๆ ในหนังจีนกำลังภายใน
[3] ฆ่าลาเมื่อเสร็จงานโม่แป้ง (卸磨杀驴) ตรงกับสำนวน "เสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพล" เปรียบได้กับการที่ละทิ้งบุคคลสำคัญที่ช่วยเหลือตนหลังจากบรรลุภารกิจ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้