ซิงเยียนเปิดหน้าต่างรถม้ามองไปข้างนอก ที่มีแต่ป่าเขาทั้งนั้น“ สว่างแล้วนี่นาได้ยินว่าเดินทางเจ็ดวันก็ถึงแล้ว นี่เป็เช้าวันที่หกแล้วแสดงว่าต้องเดินทางอีกหนึ่งคืน จะไปถึงชายแดน”
“ เดินทางช้ามากโลกที่ไปอยู่มา มีทั้งรถเรือเครื่องบินสะดวกสบาย เรายังเคยเกาะกระเป๋าสะพายของหญิงสาวผู้หนึ่งที่ทุกคนเรียกว่าคุณหนูท่องเที่ยวไปทั่วเลย”
“ สงสัยที่เจ็บเนื้อเจ็บตัวไม่ใช่เป็เพราะิญญาหลอมรวมกัน แต่เป็เพราะรถม้านี้เป็แน่ที่วิ่งะเืไปหมดทั้งตัวแบบนี้” เด็กน้อยนั่งมองดูนอกหน้าต่างรถม้า ปล่อยความคิดลอยล่องไปกับป่าสองข้างทาง
“นังเด็กปัญญาอ่อน ตื่นแล้วรึนอนหลับได้อยู่คนเดียวคนอื่นต้องนั่งหลับ เ้าออกไปนั่งข้างนอกเลยในนี้พวกข้าจะได้นอนหลับกันอย่างสบายเสียทีเจ็บเนื้อเจ็บตัวมาหลายวันแล้ว” เด็กสาววัยสิบสี่ปีพูดขึ้น
“ ในนี้ก็กว้างขวางทำไมถึงไม่นอนกันข้าก็ตัวไม่ได้ใหญ่ แล้วเลิกเรียกข้าว่าเด็กปัญญาอ่อนเสียที ถ้าปัญญาของเ้าไม่ได้มีมากกว่าข้า”
“ โอ้! น่าจะเป็เพราะรถม้านี้วิ่งกระแทกไปมาจนสมองของเ้าดีขึ้น แต่ปากของเ้าแย่ลง ข้าอายุมากกว่าเ้าตั้งหลายปีควรจะพูดดีๆกับข้า ระวังเมื่อไปถึงชายแดนเ้าจะถูกทิ้งอยู่คนเดียว”
“ ดีถ้าข้าถูกทิ้งจะได้หาเื่กลับบ้าน และอ้างว่าพวกเ้าเป็คนทิ้งข้าแบบนี้ก็ดี ข้าหาเื่กลับบ้านไปหา ครอบครัวได้แล้ว” สามสาวได้แต่มองหน้ากัน
“ เ้าไม่ได้เป็เด็กปัญญาอ่อนรึ หรือว่าแกล้งเพราะไม่อยากเดินทางกันแน่ ข้าเห็นเ้าเอาแต่นอนหลับ ั้แ่วันแรกยันวันนี้”
“ ไม่มีใครบอกพวกเ้าหรือ ว่าข้าถูกแม่ผึ้งต่อยแล้วข้าแพ้พิษผึ้งจึงนอนสลบไสลไป เหตุใดพวกเ้าถึงเรียกข้าว่าเด็กปัญญาอ่อนล่ะ พวกปัญญาแก่”
“ นางเด็กนี่อายุยังน้อยไม่มีสัมมาคารวะเลย ข้าก่อนจะถูกคัดเลือกตัวมาก็เป็ถึงคุณหนูใหญ่ แถมอายุยังเยอะกว่าเ้า”
“ อายุเยอะแล้วยังไง เ้ายังไม่ให้เกียรติข้าเลยเรียกข้าว่าเด็กปัญญาอ่อน เหตุใดข้าต้องทำตัวนอบน้อมกับเ้าด้วย” ตอนข้าไปอยู่อนาคตก็อยู่กับคุณหนูที่ดีมาเหมือนกัน ซิงเยียนคิดในใจ
“ พวกเ้าหยุดเถียงกันได้แล้ว ไม่อย่างนั้นมื้อเช้าก็ไม่ต้องกินกัน” เสียงชายบังคับรถม้าะโขึ้น ทำให้ทั้งสองคนเงียบเสียงลงต่างหันหน้าไปคนละข้าง
การทรมานอยู่บนรถม้าสิ้นสุดลงเมื่อมาถึงชายแดนเมืองอี้เฉิง ทั้งแปดคนถูกพามาขึ้นเรือข้ามแม่น้ำไปยังเมืองต้าเจียง ซึ่งเป็ทางผ่าน
“ พวกเ้าตามข้ามาอย่าลืมเสบียงล่ะไม่งั้นจะไม่มีอะไรกิน เรือจะพาข้ามฟากไปใกล้กับเมืองต้าเจียงแต่จะไม่ได้แวะเข้าไปในเมืองให้พวกเ้าตั้งใจปฏิบัติภารกิจนี้ให้สำเร็จล่ะ อย่าคิดหนีให้คิดถึงคนในแคว้นตงหยางอี้ ที่รอคอยพวกเ้าด้วยความหวัง” หนึ่งในสองคนบังคับรถม้าพูดขึ้น
ทั้งแปดคนถูกพาข้ามแม่น้ำมาด้วยเรือขนาดใหญ่ของเมืองต้าเจียง ที่ใช้เวลานานถึงสามชั่วยามกว่าจะมาถึงชายฝั่ง เมืองท่า ที่มีชาวบ้านทำการประมงอยู่ประมาณยี่สิบหลังคาเรือน
“ ใครจะเดินทางไปก็ไป ข้าจะไม่ไปไหนทั้งสิ้น ข้ามีตำลึงจะสร้างอาชีพอยู่ในหมู่เกาะนี้” หญิงสาวทั้งสามคนยืนรวมกัน
“ วิชาการต่อสู้ก็ไม่มีแถมยังเป็ผู้หญิง พวกเ้าไปกันเถอะข้าทั้งสามคนไม่ไป” ไม่พูดเปล่าทั้งสามคนพากัน เดินออกไปทิ้งให้สี่ชายหนุ่มและซิงเยียนยืนมอง
“ พี่ชายทั้งสี่มีแผนที่อยู่ในมือไหมดินแดนที่พวกเราจะเดินทางไป ข้าอยากรู้ว่าไกลแค่ไหน”
“ เอ๊ะ! เด็กน้อยเ้าจะพูดได้แล้วรึ ปกติเห็นเ้าไม่พูดแถมยังเอาแต่นอน แผนที่ไม่มีหรอกเพราะยังไม่เคยมีใครไปถึง เพียงแต่บอกว่าให้มุ่งหน้าผ่านเมืองต้าเชียงไปทางทิศตะวันออก แต่ระยะทางไกลมากรู้มาเท่านี้แหละ”มู่เฉิงพูดตอบเด็กหญิง
“ พวกเราจะออกเดินทางกันแบบนี้รึ ไม่หาซื้อม้าเพื่อจะช่วยให้พวกเราเดินทางได้ไวขึ้น แถมพวกเรายังไม่ต้องเดินให้เมื่อยขาด้วย”
“ เด็กน้อยเ้าจะหาซื้อม้าดูตำลึงในถุงย่ามเ้าก่อน พวกเรามาจากแคว้นที่ยากจนไหนเลยจะมีตำลึงไปซื้อม้ากัน”เฉิงกวงพูดพร้อมกับเอามือตบถุงย่ามให้ดู
“ พวกพี่ชายก็ไม่มีรึ ข้าตัวเท่านี้ถ้าพวกท่านมีตำลึงซื้อม้า ข้าก็แค่อาศัยนั่งไปด้วยก็เท่านั้นเอง พวกท่านลองไปถามราคาม้าดูก่อนว่าเป็ยังไงพอซื้อไหม”
ตรงนี้เป็เกาะจึงไม่ม้าที่ราคาแพง ส่วนมากก็มีแต่รถม้าของพ่อค้าจากเมืองต้าเจียงเท่านั้น
“ ระยะทางหลายพันลี้ คงจะเดินไม่ไหวหรือพวกเราจะแวะเข้าไปที่เมือง ต้าเจียงเพื่อหาตำลึงซื้อม้าก่อน”ซิงเยียนยังไม่ละความพยายามพูดให้ทุกคนเห็นด้วยกับการซื้อม้า
“เด็กน้อยเ้าดูถนนหนทางมีแต่ป่าเขาถ้าพวกเราเอาม้าไป มันจะช่วยให้พวกเราเดินทางได้ไวขึ้นจริงหรือ”
“ อย่างน้อยก็ช่วยพวกเราขนสัมภาระได้สิถุงเสบียงก็ใหญ่ ข้าจะแบกไหวหรือเปล่าก็ไม่รู้” ทั้งสี่หนุ่มเริ่มลังเล
“ ลองแวะไปดูคงไม่เสียเวลามากหรอก เพราะยังไงพวกเราอาจจะเดินทางไปไม่ถึงเหมือนรุ่นก่อนๆก็ได้”หวังเหว่ยพูดขึ้น
ทั้งห้าคนอาศัยรถม้าของพวกพ่อค้าเข้าไปยังเมืองต้าเจียงซึ่งต้องเสียค่าเดินทางไปคนละหนึ่งตำลึงเงิน ซิงเยียนค้นในถุงย่ามเจอตำลึงเงินอยู่ห้าสิบตำลึง ไม่รู้ว่าใครเป็คนให้มา
ใช้เวลาสองชั่วยามในการเดินทางไปยังเมืองต้าเจียง แต่เป็แค่ชายแดนเท่านั้นทั้งห้าคนเดินหาซื้อม้า ได้มาแค่หนึ่งตัวเพราะมีราคาแพงถึงหนึ่งตำลึงทอง ทั้งห้าคนต้องรวมเงินกันซื้อ
“ ได้มาแค่หนึ่งตัวราคาก็แพง พวกเราจำเป็ต้องมีตำลึงติดตัวไว้บ้าง เพราะทางที่เราผ่านอาจจะมีเมืองให้แวะ ซื้อเสบียงก็ได้ เด็กน้อยเ้าตัวเล็กก็นั่งไปบนหลังม้านี่แหละพวกข้าจะเดินเอง”มู่เฉิงพูดขึ้นพร้อมกับยก ซิงเยียนขึ้นหลังม้า
ม้าหนึ่งตัวที่ขนเสบียงของทั้งห้าคนและเด็กน้อยอีกหนึ่งคนที่นั่งอยู่บนหลังถูกพาเดินลัดเลาะออกจาก ชายแดนเมืองต้าเชียง
ถึงจะเป็เด็กหนุ่มที่ร่างกายแข็งแรงแต่ทั้งสี่คนไม่มีวรยุทธ ขณะเดินตัวเปล่ายังต้องหยุดพักกันบ่อยๆเพราะเหนื่อย
“ ถ้าเราเดินแบบนี้ไปเรื่อยๆสิ่งที่ขาดไม่ได้คือน้ำ พี่ชายทั้งหลายตอนนี้ยังมีน้ำอยู่ตัด ไม้ไผ่ทำกระบอกใส่น้ำเถอะแล้วห้อยไว้บนหลังม้าพวกเราจะได้มีน้ำกินกันตลอด”
ทั้งสี่คนเห็นด้วยกับซิงเยียน ตัดไม้ไผ่มาทำเป็กระบอกน้ำ เจาะกระบอกส่วนบนใช้เถาวัลย์ที่เหนียวห้อยกระบอกไว้สองข้างหลังม้า เกือบยี่สิบกระบอก
“เด็กน้อยเ้าไม่ขึ้นไปนั่งบนหลังม้าล่ะ ทำไมออกมาเดินข้างล่างแบบนี้เ้าไม่กลัวเมื่อยรึ”มู่เฉินพูดขึ้นด้วยความเป็ห่วงที่เห็นเด็กน้อยขาสั้นเดินอยู่ข้างหลังม้า
“ ไม่เป็ไรหรอกพี่ชายข้าเริ่มมีแรงแล้วอีกอย่างหนึ่งม้าก็บรรทุกหนักข้าสงสารมัน”
“ ดูเหมือนทางเดินจะเป็ป่า พี่ชายมีอาวุธอะไรที่ไว้ป้องกันตัวบ้าง พวกเราอาจเจอสัตว์ป่าที่ดุร้ายเข้าก็ได้”
“ นอกจากมีดแล้วพวกเราก็ไม่มีอะไรที่สามารถป้องกันตัวได้เลย พวกเราไม่ได้เป็ชาวยุทธที่ฝึกดาบและกระบี่จึงมีแต่มีดนี่แหละที่เป็อาวุธ”เฉิงกวงพูดพร้อมกับตบที่ถุงย่ามให้ดู
“ มีมีดก็ยังดี พี่ชายถ้าเจอไม้ที่ดูเหมาะกับข้า เหลาทำให้ปลายมันแหลมคม มาให้ข้าหนึ่งอันเอาไว้ป้องกันตัวและค้ำยันเวลาเดินขึ้นเขาจะได้ไม่หกล้ม”
ทั้งห้าคนเดินทางมาตามป่าที่ไม่ได้รกมาก เพราะเกิดจากความแห้งแล้ง ไม่ได้เจอสัตว์ร้ายอะไร แต่เพราะเดินทางไกลทำให้ทั้งหมดเริ่มอ่อนล้าและหมดแรง
กลางคืนก็นอนไม่เต็มที่เพราะต้องแบ่งกันอยู่เวรยาม เสบียงที่อยู่บนหลังม้าก็เริ่มหมดลง หลังจากเข้าป่ามาได้แล้ว สิบห้าวัน
“ ข้างหน้าดูเหมือนจะเป็ป่าไม้สีเขียว น่าจะมีอาหารและน้ำให้พวกเราได้กินกัน กินแต่อาหารแห้ง มาหลายวันแล้ว”ิเจือพูดขึ้นเขาอยากกินของสดบ้าง ในถุงเสบียงตอนนี้ส่วนมากจะเหลือแต่เครื่องปรุง
ซิงเยียนค้นถุงเสบียง ที่เคยอัดแน่นด้วยอาหารตอนนี้เหลือเสื้อผ้าไม่กี่ชุด แล้วก็มีเครื่องปรุงส่วนอาหารแห้งเหลือกินอีกแค่สองวันก็น่าจะหมดแล้ว
มู่เฉินที่เดินนำหน้าไปหลายก้าว หยุดเดินและทำมือให้พวกเขาหยุดส่งเสียงแล้วชี้มือไปด้านหน้า ที่มีฝูงไก่ป่ายืนจิกหาอาหารกันอยู่หลายตัว
ทุกคนที่อยู่ด้านหลังหยุดเดินและเตรียมหาอาวุธเพื่อที่จะจับไก่ ซิงเยียนจับไม้ในมือแน่นขึ้น“ ไม่ตายก็ปีกหักบ้างแหละแรงก็แทบจะไม่เหลือ ถ้าได้ไก่มากย่างกินน่าจะมีแรงเดินทางกัน”
แต่ไม่ง่ายเพราะไก่ที่นี่ดูเหมือนจะตัวใหญ่กว่าไก่ทั่วไปและมันดุจึงเกิดการต่อสู้ขึ้นระหว่างคนและไก่
“ตุบ!กะต๊ากก!โอ๊ยเจ็บ!!”
การต่อสู้เริ่มหนักขึ้น เมื่อมีไก่มาสมทบอีกหลายสิบตัว ทั้งห้าคนเนื้อตัวเขียวมีเืซึมเพราะเจอทั้งไก่จิกและเล็บเท้าที่แหลมคม
“ พี่ชายทั้งหลายฆ่ามันให้หมดนี่คือเสบียงของเรา อย่าได้กลัวและท้อถอยถูกมันจิกกัดขนาดนี้ ต้องแก้แค้นฆ่ามันให้หมด”ซิงเยียนที่แรงไม่เหลือแล้ว มีแต่เสียงที่ส่งไปปลุกระดมชายหนุ่มทั้งสี่
ทั้งสี่คนบุกทุกตีไก่เท่าที่แรงจะมีเพื่อจะได้มีเสบียงไว้กิน จนผ่านไปเราจีบชาจึงสังหารไก่ได้หลายสิบตัว ที่เหลือสู้ไม่ไหวหนีถอยไป
ซิงเยียนเห็นชายหนุ่มทั้งสี่หมดสภาพ เลยวิ่งออกไปช่วยเก็บไก่มัดขาติดกันแล้วโยนขึ้นบนหลังม้า“ พี่ชายเราต้องรีบออกไปจากตรงนี้ ไปหาลำธารสักทีหนึ่งเพื่อพักผ่อนและย่างไก่กินกัน”
ทั้งหมดเดินมาอีกประมาณหนึ่งลี้ ก็เจอเขากลับลำธารสายเล็ก ที่ยังพอมีน้ำอยู่บ้าง“ พี่ชายก่อนจะลงไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ช่วยกันถอนขนไก่ก่อน เราไม่มีหม้อต้มน้ำร้อนก็ต้องถอนกันแบบนี้”
ทั้งห้าคนช่วยกันถอนขนไก่ที่นับดูแล้วมีถึงสิบเอ็ดตัว ซิงเยียนนั่งเฝ้าไก่ย่าง ชายหนุ่มทั้งสี่ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า เสร็จแล้วมานั่งเฝ้าไก่ต่อเพื่อให้ซิงเยียน ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าบ้าง
เย็นวันนั้นเขากินไก่ย่างหมดไปถึงสี่ตัว ที่เหลือก็ย่างจนแห้งและเก็บไว้กินวันหลัง
“ เฮ้ย! กินไก่แล้วค่อยมีแรงมาหน่อย ได้อาบน้ำซักเสื้อผ้าไว้เปลี่ยนค่อยยังชั่ว ข้าขอนอนหลับก่อนล่ะ ก่อนรุ่งเช้าข้าจะมาเปลี่ยนเวรกับพวกท่าน”ซิงเยียน หนังท้องตึงหนังตาหย่อนกินเสร็จไม่เท่าไหร่ก็นอนหลับอยู่ข้างกองไฟไปอย่างง่ายดาย
ทั้งห้าคนเดินทางผ่านูเาอีกสามลูกใช้เวลาไปสามวัน“ เดินกันอยู่ในป่าถนนหนทางก็ไม่มี กว่าเราจะไปถึงที่โน่นคงใช้เวลาอีกหลายปี น่าจะมีทางลัดให้พวกเราเดินไปได้”ซิงเยียนเดินบ่นอยู่ข้างๆม้า
“ ข้ามเขาลูกนี้ไป พวกเราก็หยุดพักผ่อนสักวันหนึ่งเถอะ รู้สึกเหนื่อยมากถ้าได้พักผ่อนอยู่กับที่ไม่ต้องทำอะไรน่าจะดี”ิเจือพูดขึ้นเขาเริ่มมีสีหน้าที่สิ้นหวังกับการเดินทางครั้งนี้
ป่าที่เดินทางผ่าน เริ่มมีแต่ป่าสีเขียวความแห้งแล้งที่เห็นแต่แรกไม่มีให้เห็นแล้ว ยังดีที่มีรอยเท้าของมนุษย์ เดินทาง เข้าออกในป่าหาสมุนไพรและล่าสัตว์ตามหมู่บ้านด้านนอกป่า ทำให้รู้ว่าอยู่ไม่ไกลจากหมู่บ้านตามแนวชายป่า
ค่าตำลึง 1000 อีแปะ = หนึ่งตำลึงเงิน, 10 ตำลึงเงิน = หนึ่งตำลึงทอง
