วันนี้เป็วันอาทิตย์ถือว่าเป็วันหยุดพักผ่อนพวกนักศึกษาจึงไม่ต้องเข้าเรียนกัน ดังนั้นหน้าแผงขายของของซย่านีจึงมีลูกค้าแวะเวียนมาไม่ขาด
จำนวนนักศึกษาจากทั้งสามมหาวิทยาลัยรวมกันแล้วก็เกือบหนึ่งหมื่นคน หากนับแค่ผู้หญิงก็มีหลายพันคนแล้ว และในบรรดาสาวๆ หลายพันคนนี้จะมีหญิงสาวที่รักสวยรักงามและมีเงินพร้อมจ่ายอยู่เพียงหนึ่งพันคนเท่านั้น แต่สินค้าของซย่านีเองก็ขายจนหมดเกลี้ยง ยิ่งไปกว่านั้นมีสาวๆ บางคนถึงกับกลับมาซื้อซ้ำหลายๆ ชิ้น เดิมทีซย่านีตั้งใจจะตั้งแผงขายของถึง่ห้าโมงเย็น พอถึง่บ่ายสามโมงสินค้าของเธอก็ดันขายหมดเสียก่อน นั่นทำให้พวกเธอเตรียมตัวเก็บแผงลอยกลับแล้ว
“สหาย ไม่มีของแล้วจริงๆ หรือ? ขายหมดแล้ว?” นักศึกษาหญิงหลายคนที่ไม่ได้ซื้อยางรัดผมตามที่หวัง พวกเธอกลับไม่ยอมจากไปง่ายๆ
ซย่านีต้อนรับลูกค้าเหล่านี้ด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม “ใช่จ้ะ วันนี้ของหมดแล้ว”
“พรุ่งนี้จะมาขายอยู่ไหมคะ? ถ้ามาขายแม่ค้าจะมาตั้งขายตอนไหนหรือ?”หญิงสาวคนหนึ่งเอ่ยถามอย่างร้อนใจ
ซย่านีคิดอยู่พักหนึ่งแล้วจึงเอ่ยตอบว่า “ถ้าพรุ่งนี้...พวกเราคงผลิตสินค้าได้ไม่เยอะขนาดนี้”
หากตอนนี้ซย่านีกับเซี่ยงเหมยรีบกลับบ้านและเริ่มลงมือทำงานกันทันทีล่ะก็ พวกเธอทั้งสองจะมีเวลาทำถึงแค่่เที่ยงคืนเท่านั้นและคาดว่าน่าจะทำเครื่องประดับผมออกมาได้เพียงสองถึงสามร้อยชิ้น แต่ดูจากยอดขายวันนี้แล้ว คาดว่าสินค้าจำนวนสองสามร้อยชิ้นนี้น่าจะขายหมดภายในหนึ่งถึงสองชั่วโมง
“ไม่เป็ไร สหายมีของเท่าไหร่ก็เอามาขายเท่านั้นเถอะนะ!” หญิงสาวคนนั้นรั้งซย่านีไว้ไม่ยอมปล่อย “พี่สาว พรุ่งนี้พี่มาอีกเถอะนะคะ พวกเราไม่รังเกียจว่าพี่จะมีของมากหรือน้อยหรอกนะคะ”
ซย่านีหันหน้าไปมองทางเซี่ยงเหมยอย่างจนปัญญา เซี่ยงเหมยจึงกล่าวกับเธอว่า “เช่นนั้นพรุ่งนี้พวกเราก็มาอีกสักรอบก็แล้วกันเนอะ”
ชั่วชีวิตนี้เซี่ยงเหมยไม่เคยหาเงินได้คล่องมือขนาดนี้มาก่อน ในเมื่อมีคน้าซื้อเช่นนั้นพวกเธอสองคนย่อมต้องยอมอดหลับอดนอนเพื่อรีบผลิตสินค้าออกมาอยู่แล้ว! ใครมันจะรังเกียจที่ได้เงินเยอะกันเล่า?
ซย่านีเอ่ยตอบ “แบบนั้นก็ได้จ้ะ พรุ่งนี้เดี๋ยวฉันจะมาอีกรอบนะ”
หญิงสาวคนนั้นหัวเราะออกมาอย่างเบิกบานใจ “แบบนั้นก็เยี่ยมไปเลยค่ะ โอ้ พี่สาวพรุ่งนี้พี่จะมาประมาณกี่โมงหรือ? พวกเรานัดเวลากันไว้เลยนะแล้วยังขายอยู่ที่เดิมไหม? ถ้าถึงเวลาแล้วฉันจะได้ออกมารอพี่ตรงนี้เลย”
หากพวกเธอมาช้าเหมือนวันนี้ ไม่แน่ว่ายางรัดผมนี่อาจจะขายหมดก่อนก็ได้! ถ้าไม่ใช่เพราะวันนี้เธอต้องรอแฟนทำการบ้านล่ะก็ป่านนี้เธอคงมาที่ร้านแล้วเลือกซื้อหนังยางรัดผมนี่ไปแล้ว!
ซย่านีครุ่นคิดครู่หนึ่ง “่บ่ายพวกคุณยังมีเรียนกันอยู่ไหมจ๊ะ? ถ้ายังมีอยู่ ฉันจะได้มาตั้งแผงขายของ่บ่ายสามโมงแบบนี้ได้ไหม?” หากเป็เช่นนี้ เธอและเซี่ยงเหมยก็จะมีเวลาทำยางรัดผมเพิ่มขึ้นอีกสักหน่อย
เหล่าหญิงสาวหันมองหน้ากัน จากนั้นก็พากันตอบ “ได้ๆ งั้นเป็เวลานี้นะคะ พี่สาว พี่อย่ามาถึงก่อนเวลานะ!”
ยังมีคำขอเช่นนี้ด้วยหรือนี่?!
ซย่านีหลุดหัวเราะออกมา “ได้จ้ะ ฉันสัญญาว่าจะมาถึงที่นี่บ่ายสามโมงตรงแน่นอน”
รอจนหญิงสาวกลุ่มนั้นจากไปแล้ว เหล่าสหายที่กำลังตั้งแผงลอยขายของอยู่ด้านข้างก็อดไม่ได้ที่จะนึกอิจฉาแผงขายของของซย่านี “พวกคุณขายดีกันจริงๆ!”
ซย่านีหัวเราะ “ฉันแค่ขายของชนิดใหม่เท่านั้นเองค่ะ ของชิ้นนี้สามารถขายได้แค่ครั้งเดียวเท่านั้น หากเครื่องประดับผมชิ้นนี้ไม่ขาดหรือพังลงพวกเธอก็จะซื้อกันแค่รอบนี้รอบเดียว หลังจากนี้ฉันไม่รู้ว่าพวกเธอจะยอมซื้อครั้งต่อไปอีกเมื่อไหร่” ซย่านีกล่าวต่อ “วันนี้คุณก็ขายดีเหมือนกันนะคะ”
สิ่งที่สหายคนนี้ขายก็คือหัวมันเผากลิ่นหอมของหัวมันเผานั้นโชยไปรอบด้าน หญิงสาวบางคนพอซื้อยางรัดผมเสร็จก็จะถูกกลิ่นหอมของหัวมันเผาจากแผงข้างๆ ดึงดูดเข้าให้ จากนั้นก็อดใจไม่ไหวต้องยอมควักเงินอีกครั้งเพื่อซื้อหัวมันเผาดับความหิวโหย
เพราะฉะนั้นวันนี้การค้าขายของเขาจึงดีกว่าปกติมาก ถือว่าเป็ผลพลอยได้จากการขายของของซย่านีจริงๆ
“ใช่แล้วๆ ฮ่าๆ” เขาหัวเราะร่วน “รวยไปด้วยกันๆ”
“เสี่ยวเยวี่ยเอ๋อร์ หยางหยาง ขึ้นรถได้แล้ว! พวกเรากลับบ้านกัน!” ซย่านีร้องเรียกเด็กทั้งสองคนให้ขึ้นรถสามล้อจากนั้นเธอก็หันไปพูดกับเซี่ยงเหมย “วันนี้พวกเราทำเงินได้แล้วเย็นนี้ไปร้านอาหารกันดีหรือไม่?”
เซี่ยงเหมยโบกมือพร้อมกับส่ายหน้ารัว “ไม่ๆๆ! พวกเรารีบกลับบ้านไปทำงานกันดีกว่า!” อาหารอร่อยๆ มีให้กินตลอดเวลานั่นแหละ แต่เงินน่ะใช่ว่าจะหากันได้ตลอดเวลานะ! พรุ่งนี้่บ่ายพวกเธอยังต้องมาตั้งแผงลอยขายของเพื่อหาเงินกันอีก แต่ในมือของเธอทั้งสองกลับไม่มีสินค้าที่จะขายสักชิ้น เซี่ยงเหมยกล่าวขึ้น “พวกเราซื้ออาหารที่นี่กลับไปกินกันก็ได้นะ จีวรไฟ[1] ที่เรากินกันเมื่อตอนกลางวันอร่อยมากเลย ด้านนอกกรอบแต่ด้านในยังนุ่มแถมไส้ข้างในยังเป็เนื้อสัตว์อีก! ฉันว่าเสี่ยวเยวี่ยเอ๋อร์กับหยางหยางยังกินกันไม่หนำใจหรอก”
ซย่านีกล่าวอย่างร่าเริง “ได้ งั้นซื้อเพิ่มอีก!”
ขณะเดียวกันนั้น ห่างออกไปจากซย่านีประมาณยี่สิบเมตรก็มีนักศึกษาหญิงคนหนึ่งชี้ไปทางซย่านีแล้วหันไปพูดกับนักศึกษาชายคนหนึ่งว่า “เอ๊ะ นั่นใช่ภรรยาของนายหรือเปล่า?”
สหายนักศึกษาชายผู้นี้แต่งตัวเรียบๆ ทรงผมยุ่งเหยิงดูเหมือนไม่ได้ดูแลตัวเองมาหลายวัน ทว่าใบหน้าของเขากลับขาวกระจ่างใสคิ้วหนาและจมูกโด่งเป็สัน ดวงตาสุกใสดุจดวงดาราถือเป็ชายหนุ่มที่หล่อเหลามากคนหนึ่ง
คนๆ นั้นก็คือซ่งหานเจียง
ซ่งหานเจียงมองไปตามทิศทางที่นิ้วของเหวินยางยางชี้ไป ก็ได้เจอกับแผ่นหลังที่ดูคุ้นเคยแต่กลับดูแปลกตาอยู่เล็กน้อย
ดูจากรูปร่างแล้วเหมือนซย่านีจริงๆ ทว่าหญิงสาวที่กำลังหันหลังอยู่นั้นสวมเครื่องประดับสีฟ้าไว้บนศีรษะ แต่ไหนแต่ไรซย่านีไม่เคยสวมเครื่องประดับสีสันสดใสเช่นนี้มาก่อน
ไม่นานนัก เงาร่างนั้นก็ค่อยๆ ถูกฝูงชนกลืนหายไปในที่สุด
[1] จีวรไฟ 褡裢火烧 คือ อาหารดั้งเดิมของเมืองปักกิ่งเก่าเวลาทำก็เติมแผ่นแป้งลงไป พับ 2 ด้าน ปิดผนึกอีก 2 ด้าน ใส่ในกระทะแล้วทอดจนเป็สีเหลืองทอง จากนั้นจึงยกออกจากกระทะแล้วรับประทานขณะร้อน เนื่องจากมีรูปร่างยาวบางครั้งพับครึ่งจึงมีลักษณะคล้ายกับจีวรโบราณที่สะพายไหล่จึงเรียกว่าจีวรไฟ
[2] หนังยางรัดผมที่ซย่านีทำจะมีรูปทรงเป็ห่วงวงกลมขนาดใหญ่ ด้านนอกห่อด้วยผ้ารูปทรงคล้ายกับรูปโดนัท ปัจจุบันเรียกว่าหนังยางโดนัท
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้