บนหลังคาวังหลวง
จูหงอีปรากฏกายกะทันหัน ก่อนกอดรัดตัวเนี่ยเมี่ยเจวี๋ยจากทางด้านหลัง
เนี่ยเมี่ยเจวี๋ยตัวเกร็ง สีหน้าเปลี่ยน เกร็งกำลังออกแรงคราหนึ่ง
“ตูม!”
จูหงอีผละออกจากตัวเนี่ยเมี่ยเจวี๋ย
“จูหงอี ช่วยให้เกียรติข้าสักหน่อยจะได้ไหม!” เนี่ยเมี่ยเจวี๋ยถลึงตาคาดโทษ
องครักษ์รอบด้านต่างผงะ จ้องมองหลังคาที่อยู่ๆ ก็มีร่างชายคนหนึ่งโผล่มากะทันหันอย่างตกตะลึง
แต่จูหงอีกลับโบกมือคราหนึ่ง ทันใดนั้นองครักษ์รอบด้านพลันถูกไอหมอกครอบคลุม เพียงพริบตาพวกมันก็สลบไป
“ก่อนหน้านี้ไปประกาศศักดาถึงพรรคเทพหมาป่า์ พอมาที่นี่ก็ยังฆ่าไม่เลือกหน้าอีก?” เนี่ยเมี่ยเจวี๋ยถลึงตา
“เื่ที่ข้าไปพรรคเทพหมาป่า์เ้ารู้ด้วยหรือนี่? ฮ่า ชิงเอ๋อร์ เ้าอย่าถือสาเลย ไม่ใช่ว่าข้าสงสัยในคำพูดเ้า แต่ข้าแค่ผ่านทางไปเฉยๆ สุดท้ายดันเจอพวกกุ๊ยสามคนหลอกข้า ไว้ข้าจะตามหาพวกมันทีหลัง เ้าคนที่นำก๊วนมาหลบหนีไปซ่อนตัวแล้ว เพื่อไม่ให้เกิดความเข้าใจผิดต่อเ้า ข้าเลยไม่ได้ไล่เบี้ยอะไรขนาดนั้น ยิ่งไม่ได้รั้งอยู่ที่เมืองหลางเซียนเกินควร ข้าเลยออกจากเมืองมาทันที ข้าพูดจริงนะ!” จูหงอียิ้มขื่น
“งั้นพวกมัน...!” เนี่ยเมี่ยเจวี๋ยชี้เอ่ยเสียงเย็นขณะชี้ไปทางองครักษ์
“วางใจเถอะชิงเอ๋อร์ของข้า พวกมันก็แค่สลบไปเท่านั้น ประเดี๋ยวพรุ่งนี้ก็ได้สติกันแล้ว บทสนทนาของเราสองจะปล่อยให้มีคนมาแอบฟังได้อย่างไร?” จูหงอียิ้มกล่าว
“ฮึ่ม!” เนี่ยเมี่ยเจวี๋ยแค่นเสียงเย็น
“เมื่อกี้ข้าเพิ่งได้ยินข่าวมาว่ามีคนกล้าด่าเ้าในเมืองชิงจิง ข้าก็เลยรีบบึ่งมาทันที มันเรียกว่าจางเจิ้งเต้าใช่มั้ย? มันอยู่ไหน? ข้าจะไปฆ่ามันเอง!” จูหงอีเอ่ยเสียงต่ำ
“ข้าจัดการเรียบร้อยแล้ว เื่ของข้า เ้าไม่ต้องมาก้าวก่าย! ไปสนใจลูกหลานสกุลจูของเ้าซะไป? ฮึ่ม !” เนี่ยเมี่ยเจวี๋ยเอ่ยเสียงเย็น
“ลูกหลานสกุลจู? เ้ากำลังหมายถึงจูเยี่ยน? เ้าเด็กนั่นออกจะโเี้ไปหน่อยจริงๆ มันเป็ลูกหลานของพี่ชายข้า ข้าเองก็มองมันไม่ขาด น่าเสียดาย ทายาทสกุลจูจนถึงตอนนี้กลับมีแค่มันเพียงคนเดียว! ข้าเองก็อับจนหนทาง ไม่อย่างนั้น หากเ้าไม่ปลื้มละก็ ข้าให้มันถอนตัวไปตอนไหนก็ได้นี่?” จูหงอีถอนใจกล่าว
“ฮึ่ม ข้าจะปลื้มหรือไม่เกี่ยวอะไรกับเ้าด้วย?” เนี่ยเมี่ยเจวี๋ยเอ่ยเสียงเย็น
“ชิงเอ๋อร์ เ้ายังโกรธข้าเื่เมื่อตอนนั้นอยู่อีกหรือ? เราสองคนเป็คนรักในวัยเด็ก แม้ตอนแรกตระกูลพวกเราจะไม่เห็นด้วย แต่ทั้งเ้าและข้าต่างก็เผชิญหน้าอย่างไม่เกรงกลัว ปีนั้นเ้าไม่ได้มีท่าทีเช่นนี้กับข้านี่?” จูหงอีถอนใจกล่าว
“ฮ่า ฮ่าฮ่า เ้ายังมีหน้ามาพูดถึงเื่ในตอนนั้นอีกรึ? สาเหตุที่ข้าใช้ชื่อเนี่ยเมี่ยเจวี๋ย[1] เ้าลืมไปหมดแล้วหรือไง?” เนี่ยเมี่ยเจวี๋ยจับจ้องชายตรงหน้าด้วยดวงตาแดงก่ำ
“โทษข้า โทษข้าเลย! ปีนั้นเราตกลงกันแล้วว่าจะเข้าร่วมสำนักเซียนด้วยกัน แต่สุดท้ายข้ากลับต้องเข้าลัทธิมาร! แต่นี่จะมาโทษข้าทั้งหมดก็ไม่ได้ ใครใช้ให้พรรคเทพหมาป่า์เย่อหยิ่งเหยียดหยามคน เลือกรับแต่เ้า แต่ไม่ยอมรับข้า? ข้าก็เลยต้องเข้าร่วมลัทธิมารอย่างไร!” จูหงอีทอดถอนใจ
“เ้าถูกบีบคั้นรึไง? งั้นการที่เ้าฆ่าล้างบางตระกูลเนี่ยของข้า กัดกินบุพการีข้า นี่เองก็เป็เพราะถูกบีบคั้นอย่างนั้นรึ?” เนี่ยเมี่ยเจวี๋ยเอ่ยเสียงเย็นจับจิต
“ข้าไม่ได้กินใครทั้งนั้น ก็แค่ดูดเืเท่านั้นเอง ซากศพแห้งกรังของพวกมันยังอยู่เลยด้วยซ้ำ! ข้าก็บอกแล้วไงว่าตอนแรกเข้าลัทธิมารข้ายังไม่อาจควบคุมตัวเองได้ ตอนที่ไปตระกูลเ้าเมื่อปีนั้น บุพการีของเ้ารู้ว่าข้าเข้าร่วมลัทธิมาร ดังนั้นจึงปฏิเสธข้าอย่างเ็าค่อนแคะ ตัวข้าที่ควบคุมตัวเองไม่ได้อยู่เป็ทุนเดิมพอถูกพวกมันกระตุ้นสัญชาตญาณมารก็เลยกำเริบ แถมตอนนั้นยังเป็่จันทร์เต็มดวง ทั้งหมดเป็เพราะสัญชาตญาณมารกำเริบ ตัวข้าได้ทำอะไรลงไปบ้างข้าเองก็ยังไม่รู้เลย!” จูหงอีถอนใจกล่าว
“เ้ากับข้าบาดหมางมิอาจอยู่ร่วมฟ้า บุพการีและญาติพี่น้องของข้าต่างก็ถูกมารร้ายอย่างเ้าพรากชีวิตไป ข้าจึงสาบานว่าจะล้างบางมารร้ายให้หมดไปจากแผ่นดิน ดังนั้นที่ข้าเปลี่ยนชื่อตัวเองเป็เนี่ยเมี่ยเจวี๋ยก็เพื่อเตือนตัวเองไม่ให้ลืมเื่ที่เกิดขึ้นในวันนั้น จูหงอี ข้าเพียงแค้นใจที่ไม่อาจดื่มเืกินเนื้อเ้าซะเดี๋ยวนี้!” เนี่ยเมี่ยเจวี๋ยตาแดงฉานเอ่ยเสียงเยียบเย็นบาดจิต
“ชิงเอ๋อร์ ข้ารู้ว่าในใจเ้ายังมีข้าอยู่! ไม่งั้นแล้วตลอดหลายปีมานี้เ้าจะช่วยราชวงศ์ต้าชิงไปทำไม!” จูหงอีกล่าวปลอบประโลม
“ข้าไม่ได้ช่วยเพราะเห็นแก่เ้า แต่เป็เพราะพี่ชายของเ้า ตอนนั้นพี่ชายเ้าช่วยตระกูลเนี่ยสายย่อยที่เหลือรอดไว้จากเงื้อมมือเ้า ข้าถึงได้คอยช่วยปกป้องลูกหลานของมันมาตลอดหลายปีนี้ แต่ตอนนี้ ข้าไม่สนอีกแล้ว!” เนี่ยเมี่ยเจวี๋ยเอ่ยเสียงเย็น
“เ้าปราบมารจนเสียสติไปแล้ว ศิษย์ลัทธิมารต่างก็อยากกำจัดเ้าให้ไวที่สุด ดังนั้นเ้าเลยไม่กล้าให้ใครรู้ว่าตัวเองยังมีญาติพี่น้องในโลกิยะอยู่เพื่อเลี่ยงไม่ให้ลัทธิมารหมายตา? ที่จริงเ้าไม่ต้องกังวลขนาดนั้น! ในเมื่อเ้าทำให้ฝ่ายธรรมะไม่มาเพ่งเล็งราชวงศ์ต้าชิง ข้าไหนเลยจะปล่อยให้ฝ่ายอธรรมมาเพ่งเล็งตระกูลเนี่ยในเมืองจูเซียนได้? อย่าบอกนะว่าเ้ายังไม่รู้ตัวอีก? เมืองจูเซียน ชื่อเมืองจูเซียนตั้งตาม ‘แซ่’ จูของข้า จูหงอี ข้ามอบวาจาไว้ให้ศิษย์ลัทธิมารนานแล้วว่าข้าไม่อนุญาตให้ใครมายุ่มย่ามกับเมืองจูเซียนเป็อันขาด!” จูหงอีเอ่ยเสียงเคร่ง
“เมืองจูเซียน? แซ่จู?” เนี่ยเมี่ยเจวี๋ยคาดไม่ถึงโดยสิ้นเชิง
“แล้วก็ สาเหตุที่ราชวงศ์ต้าชิงมีคำว่า ‘ชิง’ อยู่ในนั้น เ้ารู้ไหมว่าทำไม? นั่นก็เพราะเ้าอย่างไรล่ะ ชิงเอ๋อร์ นี่มาจากคำว่า ‘ชิง’ ในชื่อเนี่ยชิงชิงของเ้า!” จูหงอีอธิบาย
“ชิง?” เนี่ยเมี่ยเจวี๋ยกัดริมฝีปาก
“ชิงเอ๋อร์ ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ข้าไม่เคยลืมเ้าเลย! ข้าคิดถึงเ้านะ ชิงเอ๋อร์!” จูหงอีสืบเท้าเข้าหา ตั้งใจจะกอดเนี่ยเมี่ยเจวี๋ยอีกครั้ง
“เ้า!” เนี่ยเมี่ยเจวี๋ยชักกระบี่ออกมาขวางระหว่างนางกับจูหงอี
“ชิงเอ๋อร์ ข้ารู้ดีถึงความอาฆาตแค้นในใจเ้า ดังนั้นตลอดหลายปีที่ผ่านมาไม่ว่าข้าจะคิดถึงเ้าแทบตายยังไงข้าก็ได้แต่ข่มกลั้นไว้ ไม่กล้ามาเจอเ้าเลยสักครั้ง! ข้ารู้ว่าข้าไม่คู่ควรกับเ้า! แต่ เื่ทั้งหมดจบลงแล้ว ไม่ใช่หรือ? จบแล้ว!” จูหงอีเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ยังไม่จบ เื่มันยังไม่จบ!” ดวงตาของเนี่ยเมี่ยเจวี๋ยรื้นชื้นขึ้นมา
“เ้าเป็คนพรรคฝ่ายธรรมะ ข้าไม่อาจไปพบเ้า ไม่อาจเจอหน้าเ้าได้อีกตลอดกาล แต่บัดนี้เ้าเองก็ได้เข้าสู่วิถีมารแล้ว เ้าเองก็เป็สมาชิกคนหนึ่งของลัทธิมาร อีกไม่นานสัญชาตญาณมารของเ้าก็จะกำเริบ พวกเราเป็คนประเภทเดียวกันแล้ว ข้าถึงกล้ามาหาเ้า! ชิงเอ๋อร์ มารอริยะเปลี่ยนเ้าให้เป็มาร ทั้งยังแต่งตั้งเ้าเป็เ้าอารามคนที่ห้า เ้ารู้หรือไม่ว่าตอนที่ข้าได้ยินข่าวนี้ข้ารู้สึกอย่างไร?” จูหงอีมองเนี่ยเมี่ยเจวี๋ยด้วยแววตารักใคร่
ฝ่ามือที่กุมกระบี่ยาวของเนี่ยเมี่ยเจวี๋ยสั่นสะท้าน ดวงตาแดงฉาน
“ศิษย์ลัทธิมารด่าว่าเ้าขนาดไหน แต่ข้าก็ช่วยเ้าปรามเอาไว้ทั้งหมด ใครกล้าว่าร้ายเ้า ข้าจะให้มันอยู่มิสู้ตกตาย เ้าว่าอยากให้จัด ‘ชุมนุมมารปรโลก’ ข้าก็ช่วยเ้ากระจายข่าวไปทุกแห่งหน! ตอนนี้ยังมีศิษย์ลัทธิมารไม่มากนักที่รู้ถึงฐานะเ้า วันชุมนุมมารปรโลกคือวันที่เ้าจะประกาศตัว ดังนั้นข้าจะนั่งแท่นดูแลเอง! เ้าสบายใจได้ มีข้าอยู่ ไม่มีใครกล้าสบประมาทเ้าแน่!” จูหงอีขยับมาข้างหน้าก้าวหนึ่ง
“ข้า ข้าไม่อยากกลายเป็มาร ข้าไม่อยากเป็มาร!” เนี่ยเมี่ยเจวี๋ยทำทีเหมือนจะล้มทั้งยืน กระบี่ยาวร่วงหลุดออกจากมือ ะเิเสียงร่ำไห้ออกมา
“ข้ารู้ ข้ารู้!” จูหงอีกอดเนี่ยเมี่ยเจวี๋ยไว้ ปล่อยให้นางร้องไห้จนพอใจ
วันที่สอง หวังเค่อกับจางเจิ้งเต้าก็ออกมาจากเมืองชิงจิง และกำลังเร่งเดินทางกันอย่างเร็วรี่
“เร็วเข้า เร่งให้เต็มที่ พวกเราต้องรีบกลับเมืองจูเซียนกันเดี๋ยวนี้!” หวังเค่อเร่งม้า
อีกด้านหนึ่ง จางเจิ้งเต้าที่อยู่บนม้าหน้าบวมเป็หัวสุกร ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเนื้อตัวที่บวมจนเหมือนขึ้นอืด มันกำลังใช้แววตาเคียดแค้นพยาบาทจับจ้องหวังเค่ออยู่
“หวังเค่อ หน้าข้ายังบวมอยู่หรือเปล่า?” จางเจิ้งเต้าอดไม่ได้ต้องร้องถามออกมา
หวังเค่อเหลือบมองอีกฝ่ายแวบหนึ่ง “ดีกว่าเมื่อคืนวานตั้งเยอะแล้ว ตาหมีแพนด้าของเ้าดูไปดูมาก็น่ารักไม่น้อย! แต่ถ้าดูรวมๆ ทั้งตัวคือน่ากระทืบมากกว่า!”
น่ารักน้องสาวเ้าสิ! น่ากระทืบย่าเ้าสิ จางเจิ้งเต้ายกมือปิดใบหน้าที่ยังคงแสบร้อนไม่หาย
“เ้า เ้าจะเลิกขุดหลุมดักข้าได้หรือยัง? เ้ารู้ไหมว่าข้าน่าสงสารขนาดไหน? เนี่ยเมี่ยเจวี๋ยทุบตีข้าโหดร้ายปานใด?” จางเจิ้งเต้าปิดหน้าคร่ำครวญ
“ก็เ้าเป็คนเลือกทางนั้นเอง! เมื่อวานข้าก็ให้เ้าเลือกแล้วไงว่าคนหนึ่งเข้าวังไปช่วยองค์หญิง อีกคนเฝ้าระวังอยู่ด้านนอก แต่เ้าก็เลือกที่จะอยู่ด้านนอกเอง!” หวังเค่อโยนหม้อให้ทันที
“ข้าก็นึกว่าเ้าหมายถึงให้ข้าคอยเป็กำลังเสริมก็ใช้ได้แล้ว แต่เ้ากลับให้ข้าไปรับเคราะห์จากเนี่ยเมี่ยเจวี๋ย เ้าไม่เห็นหรือไงว่าหน้าข้าบวมแค่ไหน? ไม่ได้การ เ้าต้องชดใช้ข้า!” จางเจิ้งเต้าเอ่ยอย่างไม่ยินยอม
“เ้ายังคิดจะมาเรียกเอาเงินจากข้า?” หวังเค่อเบิกตาอย่างประหลาดใจ ราวกับว่าจางเจิ้งเต้ากำลังล้อมันเล่นอย่างไรอย่างนั้น
จางเจิ้งเต้าหน้าเห่อร้อน หวังเค่อเ้าไก่ขนเหล็ก ตนจะรีดเอาทรัพย์จากมันอย่างไรได้บ้างนะ?
“มิผิด ครั้งนี้เ้าต้องใช้เงินคืนข้ามา! ศิลาิญญาหนึ่งหมื่นชั่ง!” จางเจิ้งเต้าะเิโทสะ
“ก็ดี! ถ้าเ้าไม่พูด ทีแรกข้าไม่คิดจะทวงบัญชีกับเ้าด้วยซ้ำ! ฮึ่ม เ้ามีหน้าที่รับผิดชอบนอกวัง เ้าเองก็รู้ว่าต้องลากถ่วงเนี่ยเมี่ยเจวี๋ยเอาไว้ แต่เ้าได้ลากถ่วงนางไว้ไหมล่ะ? สุดท้ายเนี่ยเมี่ยเจวี๋ยก็กลับมา เ้าถ่วงผายลมอันใดกัน! ข้าเกือบถูกนางจับได้อยู่แล้ว เ้ารู้บ้างไหมว่าข้าต้องเสี่ยงตายขนาดไหนในวัง? ไม่เพียงแต่ต้องรับมือกับชิงอ๋อง แต่ยังต้องประจันหน้ากับจูหงอี ส่วนเ้ากลับปล่อยให้เนี่ยเมี่ยเจวี๋ยกลับมา เ้ารู้ไหมว่าข้าต้องขาดทุนย่อยยับขนาดไหน? ตัวเ้าแค่หน้าบวม าเ็ทางผิวกายนั้นช่างเถิด แต่ข้าเล่า? ข้าเกือบต้องเอาชีวิตไปทิ้งอยู่ในนั้นแล้ว!” หวังเค่อถลึงตาร่ายยาว
“ข้า!” จางเจิ้งเต้าหน้าแข็งค้าง
“เ้ารู้บ้างไหมว่าข้ากลัวขนาดไหน? เ้ารู้ไหมว่าข้าต้องจ่ายออกไปเท่าใดจึงจะได้ลูกปัดคำนึงนี้มา? ข้าต้องใช้เส้นสายทั้งหมดถึงขนาดยอมกลายเป็ศัตรูกับสหายคนสนิทของข้า ข้าทำไปเพื่ออะไร? ยังไม่ใช่เพื่อช่วยเ้าไม่ให้ถูกเบื้องบนเฉ่งเอาอีกหรือ ข้าทำเพื่อเ้าขนาดนี้ เสียสละไปมากขนาดนี้ แต่เ้ายังหน้าไม่อายมาขอเงินจากข้า? เ้าต่างหากที่ต้องชดใช้ข้ามาจึงจะถูก!” หวังเค่อใส่ไม่ยั้ง
จางเจิ้งเต้า “…!”
ทำไปทำมา ทำไมข้ายังต้องเป็ฝ่ายเสียเงินให้หวังเค่อด้วย? นี่ข้าต้องเจ็บตัวเปล่าเหรอ?
“มา พวกเรามาสะสางบัญชีกันดีกว่า!” หวังเค่อถลกแขนเสื้อขึ้น
“ฮ่า ฮ่าฮ่าฮ่า พี่หวัง เมื่อกี้ข้าก็แค่ล้อท่านเล่นเท่านั้น ฮ่าฮ่า เจ็บตัวแค่นี้นับเป็อย่างไรได้? พวกเราสองคนคู่ซี้จะพูดเื่เงินเื่ทองกันไปทำไม! ไป พวกเราเดินทางกันต่อดีกว่า รีบไปเมืองจูเซียนกันเถอะ ฮ่าฮ่าฮ่า!” จางเจิ้งเต้าเร่งม้าใต้ร่าง เผ่นแผล็วไปอย่างรวดเร็ว
“จะไปไหน สหายรัก มาคิดบัญชีให้เสร็จก่อน ยังไม่ทันนับเงินให้แน่ชัดเลย!” หวังเค่อตามไปติดๆ
พวกมันสองคนเร่งม้าโบยแส้มุ่งหน้าตรงไปทางเมืองจูเซียนกันอย่างคึกคัก
แต่ทั้งสองไม่ได้รู้เลยว่าบนยอดเมฆได้มีนกกระเรียนมงกุฎแดงสองตัวเพ่งเล็งพวกมันอยู่
กระเรียนสองตัวนั้นส่งเสียงอย่างเริงร่า ราวกับว่ากำลังคุยกันอยู่ก็มิปาน
จากนั้นกระเรียนมงกุฎแดงตัวหนึ่งก็พยักหน้าสยายปีกแยกตัวจากไป
กระเรียนตัวหนึ่งติดตามพวกหวังเค่อและจางเจิ้งเต้าอยู่ระหว่างยอดเมฆ ส่วนกระเรียนอีกตัวมุ่งหน้ากลับไปรายงาน
สองวันต่อมาบนยอดเขาสูงลูกหนึ่ง กระเรียนส่งข่าวตัวนั้นร่อนตัวลงบนพื้น มาหยุดอยู่หน้าจางเสินซวีและศิษย์พรรคอีกาทองคำ
“เจอตัวแล้ว? ฮ่า ฮ่าฮ่าฮ่า เจอตัวแล้วหรือนี่? หวังเค่อ จางเจิ้งเต้า? ครั้งนี้ข้าขอดูหน่อยเถอะว่าพวกเ้ายังจะหนีไปไหนได้อีก!” จางเสินซวีหัวเราะอย่างน่าขนลุก
“ศิษย์พี่ พวกเราเดินทางกันเลยเถอะ ข้าอยากสับเ้าสองคนที่สร้างความอัปยศให้พวกเราเป็หมื่นท่อนจะแย่อยู่แล้ว!” ศิษย์พรรคอีกาทองคำขั้นดวงธาตุทองคำที่ถูกหวังเค่อเปลื้องผ้าเอ่ยอย่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
.........
“มิผิด มิผิด ศิษย์พี่ พวกเราเกือบต้องทิ้งชีวิตไว้ที่เมืองหลางเซียนเพราะการต้มตุ๋นของไอ้หวังเค่อแล้ว พวกเราต้องล้างแค้นให้ได้!”
......
“ล้างแค้น!”
...
ศิษย์พรรคอีกาทองคำะโโห่ร้องอย่างหมายมั่นปั้นมือ
“ดี! พวกเราไปกันเดี๋ยวนี้เลย! ไม่เคยมีใครกล้าหลอกข้าจางเสินซวีมาก่อน ครั้งนี้ข้าจะให้พวกมันรู้ว่าพวกที่กล้ามาล่วงเกินข้าต้องพบจุดจบแบบใด!” จางเสินซวีเอ่ยเสียงเย็น
“ทราบ!”
ศิษย์พรรคอีกาทองคำขานรับ
จากนั้น จางเสินซวีก็นำศิษย์พรรคอีกาทองคำขึ้นกระเรียนมงกุฎแดงแล้วทะยานขึ้นสู่ห้วงนภาทันที
“นำทาง!” จางเสินซวีสั่งนกกระเรียนที่มาส่งข่าวตัวนั้น
“แกว้ก!”
กระเรียนส่งข่าวตัวนั้นขานรับเสียงยาว เหินร่างขึ้นนำหน้าสุด พ่วงท้ายด้วยกลุ่มกระเรียนมงกุฎแดงฝูงใหญ่ มุ่งตรงไปทางตำแหน่งของหวังเค่อ
[1] เมี่ยเจวี๋ยแปลว่ากำจัดให้หมดไป
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้