ณ ต้าฉี
ภายในคุกใต้ดินอันมืดมิดเย็นเยียบ อบอวลด้วยกลิ่นเชื้อราเหม็นอับและกลิ่นคาวเื ร่างผอมบางขดตัวอย่างอ่อนแรงอยู่บนกองฟางแห้งกรังบริเวณมุมห้อง
ร่างคนบนฟางเหมือนกำลังฝันร้าย เวลานี้ใบหน้ายับเยินจึงยิ่งดูขาวซีด หว่างคิ้วขมวดแน่นจัดราวกับถูกใครบีบคอ นางส่งเสียงครวญครางทุ้มต่ำสั่นเครือ บรรยากาศอบอวลด้วยกลิ่นอายแห่งความเ็ป เหงื่อกาฬแตกซ่านไปทั่วร่างกายที่สั่นสะท้าน นางหอบหายใจถี่ ั์ตาเต็มไปด้วยฝอยเส้นเื อารมณ์ทุกข์ระทมปะทุออกจากดวงหน้าที่ไม่เหลือเค้าเดิม
นางกำฟางท่อนหนึ่งไว้แน่นยามตื่นขึ้นจากฝันร้ายอย่างช้าๆ เมื่อลืมตากลับมาสู่ก้นบึ้งอันแสนเงียบงัน นางลูบท้องที่นูนป่องด้วยความตื่นตระหนก จนกระทั่งััได้ถึงแรงสั่นะเืน้อยๆ จากท้อง นางจึงค่อยๆ สงบลง
ภายในห้องมืดสนิท มีเพียงแสงไฟสลัวใกล้ประตูเหล็กเท่านั้น ซึ่งก็ริบหรี่จนไม่สามารถมองเห็นแจ่มแจ้ง
ไป๋เซียงจู๋หัวเราะเยาะตนเอง นางยังนึกหวังอะไรอีก นางรอคอยสิ่งใดอยู่ นับจากวันนั้นเป็ต้นมา ตัวนางถูกขังไว้ในคุกใต้ดินของพระราชวังนี้วันแล้ววันเล่าร่วมสามเดือนแล้ว ท้ายที่สุดเขาก็ยังไม่รับสั่งให้ปล่อยตัวนาง ไม่แม้แต่จะเหลียวแลด้วยซ้ำ แต่นางมิอาจปฏิเสธว่านางยังหลงเหลือเศษเสี้ยวของความหวังอยู่ในส่วนลึกของหัวใจ นางเชื่อเสมอว่าเขาจะค้นพบความจริงและมอบความบริสุทธิ์คืนให้นาง
เมื่อมีลมพัดผ่าน ไป๋เซียงจู๋หดกายเล็กน้อย มือขวาทาบทับบนหน้าท้องนูน ั์ตาเผยแววความอ่อนโยน
“ลูกจ๋า ท่านพ่อเ้าจะพบความจริงและคืนความยุติธรรมให้แม่แน่ ในไม่ช้า... ในไม่ช้าท่านพ่อเ้าก็จะมารับพวกเรา...”
ไป๋เซียงจู๋ยังพูดไม่ทันจบก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้น สีหน้าไป๋เซียงจู๋พลันเปลี่ยนเป็ยินดีปรีดา นางประคองร่างให้ลุกขึ้น สองตาอดไม่ได้ที่จะมองไปยังประตูคุก ในที่สุดนางก็เห็นชายที่นางเฝ้าคะนึงหาทุกคืนวัน ไป๋เซียงจู๋ก้าวไปต้อนรับอย่างตื่นเต้นจนแทบล้มคะมำ
ทว่า ขณะที่นางห่างจากเขาไม่ถึงหนึ่งฉื่อ [1] เหยียนอี้เลี่ย ชายผู้ที่นางเคยยกย่องดุจทวยเทพกลับถีบยอดอกของนางอย่างไม่ปรานี สายตามีแต่ความรังเกียจเดียดฉันท์ “นางคนต่ำช้า นึกไม่ถึงว่าจะกล้าหลอกลวงข้า กล้าคบชู้สู่ชายกับราชองครักษ์เสียได้ สมควรตายยิ่งนัก!”
ไป๋เซียงจู๋ล้มลงบนพื้น หัวใจเจ็บช้ำเหมือนโดนมีดกรีด นางขดม้วนกาย ไม่สนความเ็ปรวดร้าวที่แล่นมาเป็ระยะ คลานไปคว้าหลงเผา [2] สีเหลืองอร่ามของเขาไว้ “ลูกในท้องข้าครบเดือนก่อนฝ่าาจะไปหนานสวินพอดี ไฉนฝ่าาจึงแคลงใจว่าเขาไม่ใช่ลูกของท่าน...”
นางไม่เข้าใจ เด็กคนนี้เป็ลูกของเหยียนอี้เลี่ยอย่างไร้ข้อกังขา วันนั้นเขาเมามาย บังคับนางโดยไม่ให้โอกาสนางทัดทาน บัดนี้กลับพูดว่าเด็กคนนี้เกิดหลังจากเขาเยือนหนานสวิน เท่ากับว่านางลอบมีสัมพันธ์กับผู้อื่น...
เมื่อถูกปรักปรำด้วยความเสื่อมเสียเช่นนี้ ต่อให้อยู่ในฐานะฮองเฮานางก็แบกรับมันไม่ไหว นางคิดว่าชายคนนี้ที่นางเคยรักหมดใจจะสืบหาความจริงมาล้างมลทินให้นาง ถึงเขาจะขังนางไว้ในคุกใต้ดินเย็นเยือกมืดมิดนางก็กัดฟันทนได้ เพราะมีเสียงหนึ่งจากก้นบึ้งของจิตใจบอกนางมาโดยตลอดว่าเหยียนอี้เลี่ยเชื่อนาง แม้โยนเข้าคุกใต้ดินแล้วก็ยังไม่ตั้งศาลเตี้ยตัดสินนาง... ทว่านั่นเป็เพียงสิ่งที่นางคิด บัดนี้ชายคนนี้เหยียบท้องของนางอย่างรุนแรง นางััได้อย่างชัดเจนว่าชีวิตในครรภ์กำลังสั่นสะท้าน
“แม้ท่านไม่เชื่อในความบริสุทธิ์ของข้า แต่เด็กคนนี้คือลูกของท่าน ท่านจะทำกับเขาเช่นนี้ไม่ได้... ” นางพยายามยกเท้าของเขาขึ้น กรีดร้องแทบขาดใจ
“ข้าไม่้าองค์ชายที่กำเนิดจากมารดาเลวทรามอย่างเ้า! มิหนำซ้ำ เด็กคนนี้อาจไม่ใช่สกุลเหยียนก็ได้!” แววตาเ็าน่าเกรงขามของเหยียนอี้เลี่ยดูโหดร้ายทารุณราวกับอยากจะบดขยี้นางเป็ผุยผง แววตานั้นทิ่มแทงหัวใจนางดั่งลูกศรนับหมื่นดอก
น้องสาวแสนดีที่ยืนอยู่ข้างๆ ในเครื่องแต่งกายงามวิจิตรพลันกล่าวด้วยใบหน้าโศกเศร้า “ท่านพี่ ท่านอย่าปิดบังฝ่าาอีกเลย ฝ่าาทรงทราบแล้ว ท่านลักลอบมีสัมพันธ์กับราชองครักษ์ั้แ่ก่อนเดือนแปด เด็กคนนี้ก็ครบเดือนพอดี...”
ไป๋ชิงโหรวจงใจไม่พูดให้จบ แต่เหยียนอี้เลี่ยจะไม่เข้าใจสีหน้าน้ำเสียงนั่นได้อย่างไร ความเยือกเย็นในตาของเขาปะทุออกมาทันที
“ไม่ใช่! ข้าไม่ได้ทำ! อี้เลี่ย ท่านต้องเชื่อข้า!” นางเบิกตากว้างโดยพลัน ไม่อยากเชื่อว่าทำไมน้องที่ไว้ใจที่สุดถึงปรักปรำนางเช่นนี้
“สามหาว! เ้าไม่คู่ควรที่จะเรียกนามข้า! เ้าคิดหรือว่าหากไม่ใช่เพราะโลหิตโอสถของเ้า ข้าจะแต่งตั้งเ้าเป็ฮองเฮา ฝันไปเถอะ!” เหยียนอี้เลี่ยยื่นมือดึงไป๋ชิงโหรวที่ยืนอยู่ด้านข้างเข้าแนบกาย และเตะไป๋เซียงจู๋ล้มคว่ำอย่างโหดร้าย “ส่งคนมา! ฮองเฮาคุณธรรมจรรยาเสื่อมทราม ถอดถอนตำแหน่งฮองเฮานับแต่บัดนี้ ลงโทษมนุษย์สุกร [3] ขังในคุกใต้ดิน ไร้ซึ่งวันที่ได้เห็นเดือนเห็นตะวันชั่วกาล!”
“ฝ่าา โปรดอย่าลืมกิจสำคัญนะเพคะ ต้องหารือกับท่านพี่ด้วย” ไป๋ชิงโหรวเสแสร้งทำเป็เหลือบมองท้องนูนของไป๋เซียงจู๋โดยไม่ได้ตั้งใจ
“นางคนต่ำช้านี่ยังควรค่า?” เหยียนอี้เลี่ยบีบคอนางอย่างเืเย็นและสะบัดทิ้งด้วยความชิงชัง “มา! ผ่าเืนอกคอกนั่นออกมาให้ข้า!”
นางเหมือนถูกสายฟ้าฟาด มองใบหน้าด้านชาของเขาอย่างไม่อยากจะเชื่อ ทั้งที่ก่อนเกิดเื่เขายังปฏิบัติรักใคร่กับนางดี ทำไมผ่านไปสามเดือนถึงโหดร้ายได้ขนาดนี้
เมื่อเหยียนอี้เลี่ยโอบไป๋ชิงโหรวถอยห่างไป เหล่าขันทีก็ถือมีดเยื้องย่างเข้ามา พวกเขาจัดการควบคุมร่างกายที่ดิ้นรนของนางไว้อย่างแ่า นางถึงรู้สึกตัวเมื่อมองเหล่าขันทีที่จับมือนาง ใบหน้าพวกเขาตื่นเต้นเจือความอำมหิต เข้าประชิดนางทีละก้าว
“ไม่ อย่านะ พวกเ้าทำเช่นนี้กับข้าไม่ได้!” นางแผดเสียงจนใจแทบขาด ทว่ายังไม่สามารถยับยั้งให้คนเหล่านี้หยุดยื่นมีดมาจรดท้องน้อยของนางได้
“พระมเหสีจู๋เฟย ล่วงเกินแล้ว”
“ไม่! อย่าทำร้ายลูกข้า! อ๊า—” คมมีดแรกกรีดลากผ่านท้องน้อยนูนของนาง โลหิตสีแดงฉานสาดกระเซ็นไปทั่ว รอยกรีดขยายจนถึงบริเวณลิ้นปี่ กลิ่นคาวเตะจมูก ตัวอ่อนในครรภ์ไหลตามออกมาพร้อมโลหิต...
นางนอนจมกองเื ม่านตาเบิกโพลง น้ำตาพรั่งพรู ริมฝีปากขบแน่นจนหลั่งเืแดงฉานน่าหวาดกลัว นางเห็นตัวอ่อนที่หลุดออกมากับเืห่างไปไม่ไกล นั่นคือลูกน้อยของนาง...
เมื่อหนึ่งชั่วยามก่อน เขายังร่าเริงเปี่ยมพลังอยู่ในครรภ์ของนาง นางยังััได้ถึงลมหายใจของเขา ถึงชีพจรของเขา บัดนี้เขากลับกลายเป็ร่างไร้ิญญาเย็นเฉียบที่จะไม่โลดเต้นหรือขยับเขยื้อนอีกแล้ว...
เมื่อก้อนเืเนื้อรูปร่างคล้ายทารกถูกยกไปจากนาง ไป๋เซียงจู๋ฝืนทนความเ็ปพยายามกระเสือกกระสน ทว่ากลับพบคมมีดที่สองตามมา
ด้วยคมมีดนี้ แขนข้างหนึ่งของนางถูกตัดทิ้ง เืสาดกระเซ็น!
ท่ามกลางน้ำตาแห่งความอาดูรของนาง นางไม่คิดไม่ฝันว่าสามีกับน้องสาวจะเก็บตัวอ่อนที่หลุดออกมาต่อหน้านางพร้อมด้วยรอยยิ้มและจากไปได้ลงคอ
อีกหนึ่งมีด! ไร้แขนทั้งสอง!
คมมีดที่สี่! ตัดขาหนึ่งข้าง!
----------------------------------------
นอกหน้าต่าง ดอกไม้ไฟเบ่งบานขึ้นเรื่อยๆ ราวกับจะปกคลุมทั่วท้องฟ้าต้าฉี นักดนตรีบรรเลงบทเพลงไพเราะเสนาะหูเผื่อทั้งวังหลวง เพียงแต่ไม่เข้าหูนางคนเดียวเท่านั้น เพราะวันนี้เป็วันที่มู่จื่อรั่วน้องสาวคนดีของนางเถลิงตำแหน่งฮองเฮา และยังเป็วันที่น่าสังเวชที่สุดของนาง เซียงจู๋ยิ้มบางๆ รอยยิ้มของนางเหมือนอยู่ท่ามกลางฟ้าใสเดือนสี่ แต่ก็เย็นเยียบหนาวกระดูกเหมือนอยู่ใต้สระน้ำเย็นพันปีในเวลาเดียวกัน
จนถึงยามเที่ยงคืน ดนตรีวังหลวงจึงค่อยๆ เงียบลับไป ขณะไป๋เซียงจู๋กำลังง่วงซึม ประตูคุกแช่แข็งบานนั้นเปิดออกเสียงดังลั่น ร่างเหลืองอร่ามประดับศีรษะด้วยมงกุฎหงส์ย่างเข้ามาอย่างเชื่องช้า ไป๋เซียงจู๋ลืมตาพบกับใบหน้าที่นางเกลียดชังที่สุดในโลก
มู่จื่อรั่วเดินมายังเบื้องหน้าไป๋เซียงจู๋ด้วยรูปโฉมที่แต่งเติมอย่างพิถีพิถัน ใบหน้าเจือรอยยิ้มอ่อนหวานหาใครเปรียบมิได้ “ท่านพี่ ท่านดูสิ เฟิ่งเผา [4] ชุดนี้ของน้องเป็อย่างไร งามหรือไม่”
ไป๋เซียงจู๋หัวเราะเย้ยหยัน จากนั้นจึงหลับตาลง
เชิงอรรถ
[1]尺ฉื่อ คือ มาตราวัดความยาว เท่ากับประมาณ 33.3 เิเ
[2]龙袍 หลงเผา หรือ เสื้อคลุมั คือ ฉลองพระองค์ของฮ่องเต้ในสมัยโบราณ ปักลวดลายัอันเป็สัญลักษณ์ของจักรพรรดิ
[3]人彘 มนุษย์สุกร คือ การลงโทษที่เล่าขานกันว่าลฺหวี่ไทเฮาคิดค้นขึ้นเพื่อใช้จัดการชีฮูหยิน หญิงที่พระนางจงเกลียดจงชัง เพราะชีฮูหยินเป็สนมคนโปรดของฮ่องเต้ฮั่นเกาจู่พระสวามีของนาง หลังจากฮ่องเต้ฮั่นเกาจู่ต องค์รัชทายาทหลิวอิ๋งบุตรชายลฺหวี่ไทเฮาขึ้นครองบัลลังก์เป็ฮ่องเต้ฮั่นฮุ่ยตี้ ลฺหวี่ไทเฮาเนรเทศชีฮูหยินไปอยู่ในตรอกยาว (เรือนพำนักของนางกำนัลที่ยังไม่ถูกส่งเข้าวังหลวงและบรรดานางสนมที่เสื่อมอำนาจหรือเสื่อมความโปรดปราน) รับสั่งคนโกนผมนางทิ้ง ใช้นางทำงานตำข้าว วันหนึ่ง ฮ่องเต้ฮั่นฮุ่ยตี้กลับมาจากล่าสัตว์ มีขันทีเชิญไปชม ‘มนุษย์สุกร’ ภายในห้องน้ำของตรอกยาว พระองค์เห็นสิ่งมีชีวิตหนึ่งอยู่ในนั้น โดนตัดแขนขา ใบหน้าถูกกรีดลายพร้อย ไม่มีผมและคิ้ว ถูกตัดหู ตัดจมูก ตัดลิ้น เบ้าตากลวงโบ๋ไร้ลูกตา เหลือเพียงร่างที่เหมือนก้อนเืเนื้อ ฮ่องเต้ฮั่ยฮุ่ยตี้ดูไม่ออกว่าคือสิ่งใด เมื่อถามขันที ก็ทราบว่าเป็สนมชีที่ถูกทำให้มีสภาพนี้โดยพระมารดา แม้แต่ฮ่องเต้ฮั่นฮุ่ยตี้เองยังใและรับไม่ได้ในสิ่งที่มารดาตนกระทำ
[4]凤袍 เฟิ่งเผา หรือ เสื้อคลุมหงส์ คือ ฉลองพระองค์สำหรับฮองเฮาและเหล่านางสนมของฮ่องเต้ ปักลวดลายหงส์ สัตว์เคียงคู่ัตามความเชื่อ