เฉินเฟิงยิ้มอ่อนเมื่อเห็นหลิ่วอีอีแต่งตัวเสร็จแล้ว
"ใครบ้างในโลกไม่ชอบเงิน ในเมื่อมีโอกาสได้ควบคุมบริษัทปี้หลงเยี่ยนกรุ๊ปทั้งที ทำไมต้องปล่อยไป? หากเราไม่ทำ โอกาสพวกนี้อาจตกเป็ของนักลงทุนต่างชาติ นั่นเป็เื่ที่ฉันไม่อยากให้เกิดมากที่สุด ฉันพร้อมทำทุกอย่าง ต่อให้ถูกคนทั้งโลกรุมประณามว่าเป็ผู้ชายสารเลว ฉันก็จะทำ"
ได้ยินดังนั้น หลิ่วอีอีส่งเสียงหัวเราะคิกคัก
"เอาละ เอาละ ฉันเข้าใจถึงความแน่วแน่ของนายแล้ว พอเข้าใจแล้วว่านายไม่ได้หลงใหลเด็กคนนั้น แค่้าอำนาจจากตระกูลหยาง แต่ว่าเซ็นสัญญาเดิมพันกันแล้วนี่ หยางฮุ่ยเหยียนจะกลายเป็เศรษฐินีอันดับหนึ่งด้วยฝีมือของนาย งั้นก็แค่จัดฉากหย่ากับฉัน แล้วแต่งงานกับเด็กคนนั้นเพื่อเอาหุ้นที่เหลือจากเธอก็พอ"
เฉินเฟิงได้ยินดังนั้น รอยยิ้มพึงพอใจปรากฏขึ้นบนใบหน้า สมแล้วที่เป็ภรรยาเขา
ช่างเข้าอกเข้าใจและมีเหตุผลดีจริงๆ แบบนี้สิถึงจะสมกับตำแหน่งฮองเฮา
"เอ่อ... แล้วเื่ของจางหลิงเจี๋ยกับหลินชิวหยุนล่ะ? ฉันพรากพรหมจรรย์ของพวกเธอในโรงแรมไปแล้วนะ"
เฉินเฟิงรู้สึกอึดอัดเล็กน้อยเมื่อพูดถึงเื่นี้
"จะทำอะไรได้ ยุคนี้สมัยนี้ผู้หญิงกับผู้ชายนอนด้วยกัน ก็ไม่ต่างกับแต่งงานกันนั่นแหละ ถึงพวกเธอจะจดทะเบียนกับคุณไม่ได้ แต่พวกเธอก็ยังเป็อนุภรรยาได้นี่"
หลิ่วอีอีพูดอย่างใจกว้าง
หลิ่ว่จื้อผู้ให้กำเนิดหลิ่วอีอีนั้น เป็ผู้ก่อตั้งบริษัทเซียงเหลียนกรุ๊ปในเซียงเจียงปี 88
หลิ่วอีอีจึงยังมีร่องรอยขนบธรรมเนียมแถบเซียงเจียงอยู่บ้าง
ปัจจุบันปี 95 ผู้เฒ่าหลี่ มหาเศรษฐีอันดับหนึ่งของเซียงเจียง หรือแม้แต่ชายผู้เรืองอำนาจแห่งต้าเอ้า สมญานามาาแห่งการพนัน ผู้เฒ่าเหอ ทั้งสองคนนั้นยังมีอนุหรือเมียน้อยจำนวนมากได้เลย
หลิ่วอีอีจึงคิดว่าเฉินเฟิงซึ่งอายุแค่นี้ แต่กลับถือครองหุ้นยี่สิบเปอร์เซ็นต์ของทั้งเฉียนต๋ากรุ๊ปและปี้หลงเยี่ยนกรุ๊ปได้แบบนี้
การจะกลายเป็เศรษฐีอันดับหนึ่งเป็เพียงแค่เื่ของเวลา
ดังนั้น ลึกๆ ในใจหลิ่วอีอีเตรียมพร้อมเื่ที่เฉินเฟิงอาจจะแต่งเมียน้อยเข้าบ้านในอนาคต
"เอางั้นก็ได้ แม้ว่าจะไม่ชอบสองคนนั้นเลย แต่ก็หลับนอนด้วยกันแล้ว
ก็แต่งพวกเธอเป็เมียน้อยละกัน รอให้เรารับปริญญาแล้วค่อยจัดงานแต่งงานกันอย่างเป็จริงเป็จัง"
เฉินเฟิงได้ลิ้มลองรสชาติของผู้หญิงแล้ว เขารู้สึกว่าต้องชดเชยเื่ผู้หญิงที่เขาขาดหายไปในชาติที่แล้วให้มากที่สุด
"อย่าลืมนะ หลังจากจดทะเบียนสมรสแล้ว เราต้องไปกินอาหารที่ร้านมิชลินสามดาว เพื่อเลี้ยงฉลองร่วมกับเพื่อนๆ ที่ถือว่าเป็งานแต่งเล็กๆ ของเรา!"
หลิ่วอีอีออกคำสั่ง
"รู้แล้ว รีบไปล้างหน้าแปรงฟันเถอะ แล้วไปกินข้าวกลางวันกัน กับข้าวฝีมือแม่นะ สุดยอดจนต้องยกนิ้วโป้งให้เลย ต้องถูกใจเธอแน่ๆ"
เฉินเฟิงพูดพลางยิ้ม แล้วจับมือขาวหยกของหลิ่วอีอีพาเดินออกจากห้อง
ปัจจุบันในเขตชนบทของเมืองโม๋ตูแห่งนี้ยังไม่มีน้ำประปา
น้ำที่บ้านของเฉินเฟิงจึงมาจากบ่อน้ำของตัวเองที่เป็แบบปั๊มด้วยมือ
สำหรับหลิ่วอีอีที่ไม่เคยเยือนชนบทมาก่อน การล้างหน้าแปรงฟันที่ปั๊มน้ำมือนั้น เป็ประสบการณ์แปลกใหม่และยากจะลืมเลือน
หลังจากล้างหน้าแปรงฟันเสร็จ เฉินเฟิงและหลิ่วอีอีก็ไปที่ห้องครัว ทันใดนั้นก็เห็นเวลาบนนาฬิกาแสดงว่าบ่ายโมงแล้ว
"ตื่นได้สักทีนะ เรารอพวกลูกๆ ตั้งนานแน่ะ พ่อกับแม่หิวจนไส้กิ่วหมดแล้ว"
แม่ของเฉินเฟิงพูดพลางส่งเสียงหัวเราะ
โดยเฉพาะสายตาของเธอซึ่งกำลังสำรวจใต้ชุดกี่เพ้าของหลิ่วอีอี
ใบหน้าของหลิ่วอีอีแดงก่ำขึ้นอีกครั้ง เธอพูดตอบด้วยน้ำเสียงอ้อนๆ แอ้นๆ
"แม่คะ หยุดล้อหนูเถอะค่ะ ไม่งั้นหนูจะไม่ไปจดทะเบียนกับเขาแล้วนะคะ!"
เมื่อได้ยินเช่นนั้น แม่ของเฉินเฟิงรีบพูด
"มา มา ไม่ล้อแล้ว แม่ก็เคยผ่านเื่แบบนี้มาก่อน ยังไงก็เพลาๆ ลงบ้างนะ อย่าหักโหมกันเกินไป"
เมื่อเห็นว่าแม่เฉินยังคงย้ำไม่หยุด หลิ่วอีอีจึงเปลี่ยนไปอ้อนพ่อของเฉินเฟิงแทน
"คุณพ่อคะ ดูแม่สิ แกล้งหนูไม่หยุดเลย..."
ั้แ่หลิ่วอีอีมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับเฉินเฟิง เธอคิดว่าเดี๋ยวก็จะไปจดทะเบียนสมรสแล้ว จึงเรียกพ่อแม่ของเฉินเฟิงได้อย่างเป็ธรรมชาติ
ไม่รู้สึกเคอะเขินแต่อย่างใด!
"เรามาเริ่มกินข้าวกันเถอะ พ่อหิวจะแย่แล้ว..."
พ่อเฉินพูดสั้นๆ ไม่กล้าพูดอะไรมาก
"พ่อครับ แม่ครับ ผมสงสัยอยู่อย่างหนึ่ง ตระกูลเฉินของเรามีคนชื่อเฉินอวี่จงไหมครับ?"
หลังจากเฉินเฟิงนั่งลง เขาฉุกก็ฉุกคิดถึงเฉินอวี่จง หรือว่าที่สามีในอนาคตของหยางฮุ่ยเหยียนขึ้นมาได้ เขาจึงถามพ่อแม่เพื่อยืนยันเื่นี้
เพราะในชาติที่แล้ว พ่อแม่เพียงเล่าสั้นๆ ว่าเฉินอวี่จงเป็ญาติห่างๆ ของเฉินเฟิง ไม่ได้พูดอะไรมากไปกว่านั้น
ในเมื่อตอนนี้พ่อแม่ยังแข็งแรงดีอยู่ เขาจึง้ายืนยันสายตระกูลให้ชัดเจน
"เฉินอวี่จงเป็ลูกพี่ลูกน้องรุ่นที่สามของพ่อ เกิดที่เมืองฮาเอ่อปิน เป็ญาติห่างกับลูกมาก ทำไมอยู่ดีๆ ถึงถามเกี่ยวกับเขาล่ะ? เื่นี้เองพ่อก็เพิ่งรู้ตอนที่พ่อของเด็กคนนั้นมาเยี่ยมนี่เอง"
พ่อของเฉินเฟิงถามเฉินเฟิงด้วยความสงสัย
"อ้อเปล่าครับ แค่ถามดูเฉยๆ เผื่อเขาสอบเข้ามหาลัยเดียวกับผม ผมจะได้ช่วยดูแลเขาได้น่ะ ผมแค่รู้สึกว่าญาติห่างๆ คนนี้จะโตไปเป็คนมีความสามารถ"
เฉินเฟิงอธิบายจริงครึ่งไม่จริงครึ่ง
เขาคิดจะแต่งงานกับหยางฮุ่ยเหยียนแทนที่เฉินอวี่จง เขาจึงหาทางชดเชยเล็กๆ น้อยๆ ให้อีกฝ่ายก่อน
แต่ความ้าที่แท้จริงคือ เขาไม่้าให้ญาติห่างๆ คนนี้สอบเข้ามหาลัยซุ่ยมู้ได้เหมือนกับชาติที่แล้ว
เฉินเฟิงคาดว่า หยางฮุ่ยเหยียนและเฉินอวี่จงจะรู้จักและแต่งงานกันที่นั่น เพราะเฉินอวี่จงจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยซุ่ยมู้
ยิ่งกว่านั้น มหาเศรษฐีหลายคนก็จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยซุ่ยมู้
ดังนั้น เฉินเฟิงจึง้าให้เฉินอวี่จงเลือกมหาวิทยาลัยโม๋ตู เพื่อไม่ให้มีโอกาสพบกับหยางฮุ่ยเหยียนในชาตินี้
อย่างไรก็ตาม มหาวิทยาลัยโม๋ตูก็ใช่ว่าจะแย่อะไร เฉินเฟิงสามารถชดเชยให้ญาติห่างๆ คนนี้ได้เมื่อเขาสอบเข้ามหาลัยโม๋ตู
"งั้นเหรอลูก แต่พ่อได้ยินมาว่าเด็กคนนั้นเรียนเก่งมาก ตอนอยู่ม.5 ก็มีโอกาสสอบเข้ามหาลัยในเมืองหลวงหรือมหาลัยซุ่ยมู้อะไรนี่แหละ ถ้าลูกอยากให้เขาสอบเข้าโม๋ตูเป็รุ่นน้องของลูก พ่อว่าคงยากหน่อย ยังไงเราก็คงบังคับให้ใครเปลี่ยนมหาลัยไม่ได้หรอก..."
พ่อเฉินมองเฉินเฟิงด้วยความสงสัย
พ่อเฉินรู้จักลูกชายดี เฉินเฟิงกลับมาคราวนี้ดูเป็ผู้ใหญ่ขึ้นเยอะ
โดยเฉพาะตอนพูดถึงญาติห่างๆ คนนี้ แววตาของเขามีเล่ห์กลซ่อนอยู่
"ไม่เป็ไร ผมแค่ถามเฉยๆ ถ้าเขาสอบเข้ามหาลัยโม๋ตูหรือมหาลัยซุ่ยมู้ได้ ผมก็ดีใจด้วย"
เฉินเฟิงสังเกตเห็นว่าพ่อมองเขาด้วยสายตาลึกซึ้ง เขาจึงรีบแก้ต่าง
"ถ้าเมื่อก่อนลูกไม่ยึกยักไม่ยอมไปเรียนไกลจากพวกเรานะ ป่านนี้ลูกคงอยู่มหาลัยซุ่ยมู้ไปแล้ว..."
แม่เฉินถอนหายใจนึกเสียดาย มหาวิทยาลัยโม๋ตูไม่มิอาจเทียบกับมหาวิทยาลัยซุ่ยมู้ซึ่งเป็มหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเหยียนหวงได้แม้แต่นิด
