อย่างไรก็ตาม เมื่อครู่หลงเซี่ยวอวี่เพิ่งบอกว่า้าให้นางช่วยคนอื่นๆ หรือ? ฮองเฮาทรงไร้การเคลื่อนไหว เกิดอะไรขึ้นอีก? ร่องรอยของความสงสัยแวบเข้ามาในดวงตาของมู่จื่อหลิง
หลังจากคิดเื่นี้แล้ว มู่จื่อหลิงก็ยังคิดไม่ออกว่ามีเื่ใดที่ต้องแก้ไข แต่ว่า ตราบใดที่นางไม่ไปหาเื่แตะต้องฮองเฮาคนเก่งของนาง ยังมีสิ่งใดที่้าความช่วยเหลือจากนางอีก ทุกสิ่งดูเหมือนไม่มีอะไรให้ต้องกังวลมากนัก
ทันใดนั้น จิตใจของมู่จื่อหลิงก็สว่างวาบ แม้ว่าฮองเฮาจะสงบนิ่งไปชั่วขณะหนึ่ง แต่ภายใต้คำสั่งของฮองเฮา ผู้ที่ไล่ล่านางยังสามารถเคลื่อนไหวได้
การจัดการกับฮองเฮาเพียงอย่างเดียวนั้นยังไม่เพียงพอ มู่จื่อหลิงตระหนักดีถึงข้อเท็จจริงนี้
กลอุบายของฮองเฮาและคนเ่าั้ที่อยู่ข้างนางที่จะทำให้คลื่นลูกแรกที่กระทบนั้นรุนแรงกว่าคลื่นลูกอื่น มู่จื่อหลิงจึงยัง้าทราบข้อมูลของคนเ่าั้เพื่อรับมือในภายหน้า
ด้วยวิธีการที่โเี้เช่นนี้ สำหรับผู้หญิงที่ต่อสู้อยู่เพียงแค่ในวังหลังมาโดยตลอดนั้น ดูเหมือนว่ามันจะทรงพลังเกินไป
เพียงแค่กลุ่มคนที่ลอบสังหารนางในจวนฉีอ๋องคราวที่แล้ว ก็สามารถบุกเข้ามาในจวนได้อย่างง่ายดายและทำให้นางโดนฝ่ามือซื่อเสวียนได้ คนเ่าั้ต้องไม่ใช่นักฆ่าธรรมดาๆ
สิ่งสำคัญที่สุดคือเด็กติงติงผู้แปลกประหลาดผู้นั้น นางยัง้าทราบที่มาของเด็กคนนั้นด้วย ว่าเหตุใดจึงมีอุบายที่คาดเดาไม่ได้เช่นนั้นในวัยเด็กเช่นนี้
ยิ่งไปกว่านั้น นางรู้สึกอยู่เสมอว่าถึงแม้ว่านางจะสามารถควบคุมฮองเฮาไว้ได้ แต่เด็กผู้นั้นก็จะไม่ยอมพ่ายแพ้ต่อนาง
ในชั่วระยะเวลาไม่นาน การตัดหญ้าโดยไม่กำจัดราก เมื่อลมของฤดูใบไม้ผลิพัดผ่านมาอีกครั้ง มันจะงอกขึ้นใหม่!
“เ้ากำลังคิดอะไรอยู่?” ดวงตาสีเข้มและลึกล้ำของหลงเซี่ยวอวี่จ้องมาที่มู่จื่อหลิงอยู่ครู่หนึ่ง ราวกับว่าเขาสามารถมองเห็นทุกสิ่งได้ แต่เขายังต้องถามให้ชัดเจน
“ท่านรู้ดี” มู่จื่อหลิงทำแก้มป่อง แล้วมองเขาอย่างโกรธเคือง
สิ่งที่ชายผู้นี้บอกว่าเขาจะจัดการ คงเป็กองกำลังที่อยู่เื้ัฮองเฮา
ในความเป็จริง นางควรจะคิดเื่นี้ให้เร็วที่สุดในทันทีที่หลงเซี่ยวอวี่พานางออกมาจากคุก
เดิมทีฮ่องเต้เหวินอิ้นได้กักขังนางไว้ในคุกหลวงอย่างไม่เลือกปฏิบัติ และในท้ายที่สุดหลงเซี่ยวอวี่ก็พานางออกมา และให้นางสอบสวนคดีนี้ด้วยตนเอง
การให้ผู้ต้องสงสัยสอบสวนคดีของตนเอง นับเป็ครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ในยามนั้นนางรู้สึกถึงแค่ความกระหายเืที่จะแก้แค้นเกินกว่าจะคิดถึงเื่นี้
ในยามนั้นหลงเซี่ยวอวี่คงอยากจะพานางออกไป แต่นางกลับไม่ได้คิดเรียบง่ายเช่นนั้น
“รู้อะไร?” หลงเซี่ยวอวี่ที่แสร้งทำเป็มึนงงมองมู่จื่อหลิง ั์ตาเป็ประกายระยิบระยับ ไม่เห็นความผิดปกติใดๆ
มู่จื่อหลิงจ้องมองเขาที่กำลังแสร้งทำเป็มึนงง “หลงเซี่ยวอวี่ ท่านเคยสืบสวนเื่นี้มาก่อนใช่ไหม?”
แม้ว่าจะเป็คำถาม แต่นางก็พูดออกมาอย่างมั่นใจ
นางไม่เชื่อว่าเื่ใหญ่อย่างหนอนกู่ ฮ่องเต้จะทรงพิโรธเป็อย่างมาก แต่ชายผู้นี้กลับนิ่งเฉยไม่สนใจมันได้หรือ
มุมปากของหลงเซี่ยวอวี่ยกขึ้นเล็กน้อย ทำให้เกิดส่วนโค้งที่น่ามอง คราวนี้เขายอมรับอย่างสง่างาม “อืม ฉีหวางเฟยฉลาดขึ้นแล้ว”
เป็เช่นนั้นจริงๆ
มู่จื่อหลิงจ้องมองเขาด้วยดวงตาส่องประกายที่แสดงถึงความไม่พอใจ
ทุกอย่างเรียบร้อยดีในทันที เพราะชายผู้นี้ปูทางให้นางมาั้แ่ต้น เลือกคนดีๆ ให้ศาลต้าหลี่มาร่วมมือกับนางในการตรวจสอบ สามารถลงโทษสิงกู้เหวินได้โดยตรง ทำให้เสิ่นซือหยางเป็กุญแจสำคัญที่จะช่วยนางสืบคดีในครั้งนี้
การที่นางกำลังยั่วยุบางอย่าง นางควรมีความสามารถในการตรวจสอบสิ่งที่นางก่อขึ้นได้ด้วยตนเอง แต่ในตอนท้ายของการสอบสวน พบเพียงเบาะแสของหนอนกู่เท่านั้น ไม่พบเบาะแสอื่นใดอีก
แน่นอนว่านางยังคงเหมาะสำหรับการรักษาโรค ช่วยชีวิตและวางยาพิษคน สำหรับการสืบสวนคดีนี้เป็เพียงครึ่งชั่งกับแปดตำลึง [1] เท่านั้น มีความรู้เพียงนิดหน่อย
แต่ว่าหลงเซี่ยวอวี่ชายผู้นี้คาดเดาทุกอย่างได้อย่างชัดเจน รู้ทุกอย่าง และเขาก็แสร้งทำเป็ว่าไม่รู้มาั้แ่ต้นจนจบ
หลงเซี่ยวอวี่ลูบแก้มสีชมพูของมู่จื่อหลิงอย่างทะนุถนอม พูดอย่างเคร่งขรึมว่า “ดูเหมือนว่าในวันหน้า ฉีหวางเฟยจะต้องร่วมมือกับเปิ่นหวาง”
มู่จื่อหลิงตะลึง หลงเซี่ยวอวี่หมายถึงสิ่งใด? ร่วมมือกันหรือ?
แม้จะบอกว่าอย่าเพิ่งไปสนใจมากกับเื่ที่ยังไม่เกิดขึ้น แต่ในยามนี้ที่หลงเซี่ยวอวีพูดฟังดูไม่ง่ายเลย เหตุใดนางถึงรู้สึกเหมือนจะตกลงไปในหุบเหวอยู่ตลอดเวลา
เมื่อเห็นมู่จื่อหลิงจ้องมองเขาด้วยความงุนงง หลงเซี่ยวอวี่จึงจับมือนางด้วยท่าทางที่มีความสุขและพานางเข้าไปในตำหนักอวี่หาน
หลังจากมู่จื่อหลิงถูกเขาพาก้าวเดินไปได้สองสามก้าวด้วยความงุนงง นางก็รู้สึกตัวและหยุดด้วยสีหน้าว่างเปล่า “หลงเซี่ยวอวี่ ไม่ใช่ว่าท่านควรออกไปได้แล้วหรือ?”
จากมุมมองที่มู่จื่อหลิงไม่เห็น สายตาเ้าเล่ห์แวบวาบอยู่ภายในดวงตาของหลงเซี่ยวอวี่
นางเห็นเขาขมวดคิ้ว แล้วเหลือบมองชุดคลุมของตนเองที่มีรอยสีแดงจากเื จากนั้นจึงพูดออกมาสี่คำด้วยความขยะแขยง “ทั้งสกปรกและมีกลิ่นเหม็น”
หลังจากที่เขาพูดจบ เขาแสร้งทำเป็รังเกียจและเหลือบมองไปที่ชุดสีดำของมู่จื่อหลิงที่ไม่มีแขนเสื้ออีกครั้ง แล้วลากนางไปโดยไม่พูดอะไร
……
ก็ได้ โรครักความสะอาดของฉีอ๋องกำเริบขึ้นอีกแล้ว
ปากของมู่จื่อหลิงกระตุกเล็กน้อย และนางไม่มีคำใดจะพูดกับเขาอีก
ก้าวเดินยังไม่ถึงสองก้าว มู่จื่อหลิงก็หยุดอีกครั้ง
ไม่ เหตุใดมันถึงฟังดูคุ้นเคยจัง จำได้ว่าครั้งหนึ่ง นางเคยรู้สึกรังเกียจเขามาก จึงทิ้งขว้างเขาออกไปแรงๆ
ในยามนี้เขามองนางด้วยสายตาเช่นไร...รังเกียจนางหรือ?
ชายผู้นี้กำลังบอกอ้อมๆ ว่าไม่ชอบนางเพียงเพราะสกปรกและมีกลิ่นเหม็นใช่หรือไม่?
เมื่อนึกถึงความเ็ปที่ทิ้งไปในคราวที่แล้ว ประกอบกับแววตาที่ดูขยะแขยงในยามนี้ มู่จื่อหลิงจึงเริ่มขมวดคิ้ว ขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจ และยืนนิ่ง พยายามสะบัดมือออก แต่ก็สะบัดไม่ออก
ความอดทนของฉีอ๋องมีให้กับคนเพียงบางคนเท่านั้น เขาจึงค่อยๆ หันกลับมาหามู่จื่อหลิงที่กำลังทำหน้าบูดบึ้ง ปากสีดอกกุหลาบของนางเม้มเข้าหากันด้วยใบหน้าเศร้าๆ ราวกับกำลังขอความเมตตาในสิ่งที่ทำผิดไป
ทันใดนั้นอารมณ์ของหลงเซี่ยวอวี่ก็ดีขึ้นมาก
ราวกับว่าเขารู้แล้วว่า มู่จื่อหลิงกำลังคิดอะไรอยู่ หลงเซี่ยวอวี่ก้าวไปข้างหน้าแล้วจับใบหน้าขาวนวลเนียนของมู่จื่อหลิง ก่อนจะจูบปากที่กำลังบูดบึ้งอยู่ของนางอย่างลึกซึ้ง
เขาจุมพิตริมฝีปากอันอ่อนนุ่มของนางอย่างเอ็นดู ััราวกับขนนก เคลื่อนไหวอย่างนุ่มนวลและแ่เบา อ้อยอิ่งอยู่เนิ่นนาน
ความอ่อนโยนที่ไม่อาจบรรยายได้ แต่ยังมีความระมัดระวังและรอบคอบในทุกจุดที่ัั ค่อยๆ ลิ้มรสความหวานในปากของนางทีละน้อย
ดวงตาของมู่จื่อหลิงเบิกกว้างขึ้นในทันที นางถูกกินเต้าหู้อีกแล้ว
เมื่อมู่จื่อหลิงเริ่มตอบโต้ ริมฝีปากของหลงเซี่ยวอวี่ก็ค่อยๆ ผละออกจากริมฝีปากที่อ่อนนุ่มของนาง
หน้าผากของเขาแนบอยู่ที่หน้าผากของนาง จมูกของเขาแตะไปที่ปลายจมูกของนาง น้ำเสียงของเขาก็จริงจังและหนักแน่น แฝงไว้ด้วยความแหบแห้งชวนหลงใหล “มู่มู่เด็กโง่ จำไว้ ไม่ว่าเ้าจะมีกลิ่นเหม็นเพียงใด เปิ่นหวางล้วนชอบ”
เขายังชอบหรือ? หัวใจของมู่จื่อหลิงที่อ่อนแรงไป ในที่สุดก็กลับมาเต้นผิดจังหวะไปอีกหลายจังหวะ ใบหน้าเล็กๆ สีขาวของนางก็เปลี่ยนเป็สีแดงโดยไม่อาจควบคุม
มือของมู่จื่อหลิงกุมอยู่กับตำแหน่งของหัวใจของตนโดยไม่ตั้งใจ ดูเหมือนว่าจะมีกระแสไฟฟ้าไหลผ่านอยู่ตลอดเวลา มันทั้งชา คัน เต้นเป็จังหวะ ตุ๊บ ตุ๊บ ตุ๊บ ะโโลดเต้นราวกับกวาง
ไม่สิ เมื่อครู่นางคิดอะไรอยู่? มันช่างน่าสมเพชสิ้นดี เพราะชายเ้าเล่ห์ผู้นี้กำลังดูิ่นาง นางควรจะรู้สึกโกรธมากกว่าที่จะรู้สึกดีสิ
หากหลงเซี่ยวอวี่ดูถูกนาง มันคงจะดีกว่านี้ และเขาควรจะจุดประทัดเพื่อเฉลิมฉลองไปเสียเลย
น่าเกลียด! ได้พบชายมากเล่ห์ผู้นี้ สมองอันชาญฉลาดของนางที่นางภาคภูมิใจมาโดยตลอด กำลังหมุนกลับด้านหรือหยุดลงโดยสิ้นเชิง
บอกว่าเหม็น เหม็นตรงไหน?
“ท่านสิเหม็น!” มู่จื่อหลิงมีสีหน้าบูดบึ้ง แสร้งทำเป็ผลักเขาออกไปอย่างสงบเสงี่ยม แต่ใจหงุดหงิดเล็กน้อย ก่อนจะรีบวิ่งเข้าไปในห้องโถงตำหนักอวี่หาน
ดวงตาที่เปล่งประกายของหลงเซี่ยวอวี่วิบวับ สว่างไสวและงดงาม มันทั้งลึกซึ้งและมีเสน่ห์ จ้องไปตามร่างเล็กที่หนีไป มุมปากของเขาค่อยๆ ยกขึ้นเป็รอยยิ้มของการประสบความสำเร็จ
นิ้วเรียวยาวสีขาวลูบไล้ริมฝีปากเบาๆ และทั้งริมฝีปากยังเต็มเปี่ยมไปด้วยรสหวานจากปากของนาง
ยังดีที่ในยามที่มู่มู่ของเขาสมควรเป็เด็กโง่ นางก็เป็เด็กโง่ได้ และเขาก็ชอบมากขึ้นเรื่อยๆ
-
ในตอนแรกมู่จื่อหลิงคิดว่าการที่นางไม่ได้นอนทั้งคืน นางสามารถชดเชยด้วยการนอนใน่กลางวันได้ และจะชดเชยได้ทั้งวัน แต่นางไม่คิดว่าจะมีคนมาที่ตำหนักใน่บ่าย และเป็ฮองเฮาที่ส่งคนมาเชิญนางเข้าไปในวังหลวง
แต่มาเร็วดีกว่ามาตรงเวลาแบบพอดิบพอดี นางแทบรอไม่ไหวที่จะเข้าไปในวังเพื่อพบฮองเฮา แต่นางไม่สามารถหาโอกาสที่เหมาะสมได้
มู่จื่อหลิงนึกถึงสิ่งที่ฮองเฮาทรงตรัสออกมาเมื่อคืนนี้ ว่าจะชวนนางไปดื่มรังนก อยู่ดีๆ ก็มาใจดีด้วย ฮองเฮาเกลียดนางจนเข้ากระดูกไม่ใช่หรือ!
ตอนแรกนางเดาว่าฮองเฮาจะใช้เวลาอีกสองวันก่อนที่จะส่งคนมา แต่นางไม่คิดว่าฮองเฮาจะใจร้อนถึงเพียงนี้ นางคาดไม่ถึงว่าฮองเฮาจะไม่ทรงห่วงใยมามาข้างกายของนางที่หายไปบ้างหรืออย่างไร?
เกลียดก็คือเกลียด ไม่รู้ว่าหลังจากที่ฮองเฮาได้รับรู้อะไรบางอย่างแล้ว จะคิดที่จะตัดเนื้อ หักกระดูกของนางทุกวินาทีหรือไม่?
ความรู้สึกราวกับจะขาดอากาศหายใจเพราะความเกลียดชังที่มีจนถึงก้นบึ้งหัวใจ แต่กลับไม่อาจััได้ คิดแล้วก็ชื่นใจ มันทำให้คนรู้สึกสดชื่นและตื่นเต้นจริงๆ
มู่จื่อหลิงรีบออกจากตำหนัก เตรียมยกกระโปรงเพื่อขึ้นรถ
ทันใดนั้น หางตาของนางก็เหลือบไปเห็นคนที่กำลังขดตัวอยู่ในมุมหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก กล่าวตามตรงก็คือขอทานที่ไร้ยางอาย
นางไม่เคยใจดี เห็นอกเห็นใจ หรือเข้าไปยุ่งเกี่ยว
มีเพียงครั้งนี้เท่านั้น...ด้วยร่างของขอทานผู้นี้ช่างดูคุ้นตาเล็กน้อย
ที่นี่คือจวนฉีอ๋อง และไม่มีสถานที่อื่นใดอีกแล้ว เหตุใดจึงมีขอทานได้เล่า? องครักษ์ของจวนฉีอ๋องจะประมาทได้อย่างไร ถึงขั้นยอมปล่อยให้ขอทานเข้ามาใกล้ได้เลยหรือ? มู่จื่อหลิงเต็มไปด้วยความสงสัย
“ฝูหลิน รอสักครู่” มู่จื่อหลิงแจ้งกับคนขับรถม้า
“พ่ะย่ะค่ะ” น้ำเสียงของฝูหลินมีความเคารพอย่างชัดเจน
ครั้งก่อนฝูหลินโดนเฆี่ยนร้อยครั้ง เขาเกือบตาย และเขาคิดว่ามันต้องใช้เวลาอีกนานหลายเดือนกว่าจะฟื้นตัว และแม้ว่าเขาจะหายดี แต่ความบอบช้ำจากการเฆี่ยนตีก็ยังคงมีอยู่
สุดท้ายเป็ฉีหวางเฟยที่ทรงประทานยามาให้ทันเวลา ทำให้เขาฟื้นตัวได้ในเวลาที่น้อยกว่าครึ่งเดือน ในยามนี้เขาจึงมีทั้งความเคารพและความชื่นชมต่อฉีหวางเฟยผู้นี้เป็อย่างมาก
มู่จื่อหลิงเดินเข้าไปอย่างเงียบเชียบ ค่อยๆ เข้าใกล้ทีละก้าว
ในที่สุดก็สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน
เห็นว่าขอทานผู้นั้นสกปรกไปทั้งตัว ชุดคลุมสีขาวเหมือนหิมะแต่เดิมไม่หลงเหลือความขาวแล้ว ทั้งยังมีหญ้าหลายต้นที่เกาะติดผมของเขาจนเหมือนกับรังนก
ในเวลานี้ขอทานคุกเข่าลง ฝังศีรษะของตนไว้บนเข่า ดังนั้นจึงมองไม่เห็นหน้า
แต่มู่จื่อหลิงก็ยังจำได้ว่าคนผู้นี้เป็ใครเพียงแค่ดูจากรูปร่าง
“หลงเซี่ยวเจ๋อ” มู่จื่อหลิงะโออกมาด้วยความใ
ขอทานที่ขดตัวหลับอยู่ เมื่อได้ยินเสียงเรียกดังลั่น ร่างกายของเขาก็สั่นสะท้านอย่างควบคุมไม่ได้ ใอย่างเห็นได้ชัด
จากนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นอย่างมีความสุข ดวงตาเป็ประกายเต็มไปด้วยความคับข้องใจ และเสียงของเขาก็ส่งเสียงร้องอย่างหนักแน่นว่า “พี่สะใภ้สาม เหตุใดท่านถึงอยู่ที่นี่?”
ใบหน้าที่สะอาดและหล่อเหลาดั้งเดิมของหลงเซี่ยวเจ๋อ ในยามนี้ดูดำคล้ำราวกับอยู่ใน่ฤดูใบไม้ร่วง แทบจะมองไม่เห็นใบหน้าเดิมของเขา มีเพียงดวงตาของเขาเท่านั้นที่มองเห็นได้อย่างชัดเจน
“เกิดอะไรขึ้นกับเ้า? เหตุใดถึงเป็เช่นนี้” มู่จื่อหลิงลูบหน้าผากของนางด้วยความปวดหัว องค์ชายผู้สง่างามกลายเป็ขอทาน หลงเซี่ยวเจ๋อคนนี้รู้วิธีเล่นจริงๆ นางเกือบจะล้มลงคุกเข่าแล้ว
คาดไม่ถึงว่าหลงเซี่ยวเจ๋อจะตอบนางด้วยประโยคที่เรียบง่ายและชัดเจน แต่มันกลับทำให้นางปวดหัวมากขึ้น
---------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] ครึ่งชั่งกับแปดตำลึง (半斤八两) แปลว่า พอๆ กัน ส่วนมากจะมีความหมายในทางไม่ดีเช่นแย่พอๆ กัน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้