หลิวอวิ๋นชูพูดด้วยสีหน้านิ่งเรียบ “หากกิริยาและชื่อเสียงสามารถตัดสินความถูกผิดได้ เช่นนั้น เหตุใดแคว้นจิ้นถึงไม่ออกกฎหมายให้ตัดสินคดีด้วยกิริยาและชื่อเสียงบ้าง?”
เฟิ่งสือจาวกล่าว “ท่านชายหลิวมีนิสัยอันธพาลเสเพล ไม่ฝักใฝ่ในการเรียน แถมยังมีชื่อเสียงด่างพร้อยมาแต่ไหนแต่ไร คิดไม่ถึงว่าจะก้าวหน้าได้รวดเร็วขนาดนี้ด้วยเวลาเพียงสั้นๆ”
หลิวอวิ๋นชูพูดถ่อมตน “มิได้ ทั้งหมดนี้ล้วนเป็ผลงานของท่านอาจารย์ที่สอนข้าอย่างดี”
อาจารย์ที่ว่าก็คือองค์ชายสี่ ซูกู้เหยียนนั่นเอง และตอนนี้ เสด็จแม่ขององค์ชายสี่ พระสนมเสียนก็อยู่ในงานด้วยเช่นกัน คำชมของหลิวอวิ๋นชูทำให้พระสนมเสียนพอใจไม่น้อย เฟิ่งสือจาวเตรียมจะพูดบางอย่างออกมาอีก แต่พระสนมเสียนก็พูดแทรกด้วยรอยยิ้มอบอุ่นเสียก่อน “เอาล่ะ ที่พวกเรามารวมตัวกันที่นี่ก็เพื่อร่วมชมบุปผางาม เมื่อเห็นคนวัยรุ่นอย่างพวกเ้ามีชีวิตชีวา ถกเถียงกันจนหน้าดำหน้าแดงเช่นนี้ ผู้ใหญ่อย่างพวกข้าก็อดอิจฉาไม่ได้เลยทีเดียว เื่ในวิทยาลัยหลวงเป็เื่ของเด็กๆ แถมยังไม่ใช่เื่ใหญ่อะไร ปล่อยให้พวกเขาจัดการกันเองเถิด”
เื่นี้จึงจบลงเพียงเท่านี้
ไม่นาน หญิงชั้นสูงทั้งหลายก็เดินจับกลุ่มและแยกย้ายกันออกไปชมบุปผา เฟิ่งสือจาวกับซูเหลียนหรูสนิทสนมกันั้แ่เด็ก จึงแยกตัวออกมาจากกลุ่มผู้ใหญ่ และเดินไปยังจุดนัดหมายผ่านเส้นทางลัด หลิวอวิ๋นชูก็แอบปลีกตัวออกมาเช่นกัน เขาเดินท่องไปทั่วสวนเพื่อส่งจดหมายให้เฟิ่งสือจิ่น
พระสนมอวี๋ได้รับความโปรดปรานจากฝ่าาเป็อย่างมาก แต่นางเป็คนถ่อมตน นอบน้อม แถมยังเศร้าซึมและมีอารมณ์อ่อนไหวอยู่บ่อยๆ บวกกับร่างกายอ่อนแอ จึงได้รับฉายาว่าเป็สาวงามผู้บอบบางแห่งวังหลวง หลิวอวิ๋นชูสืบถามมาแล้ว วันนี้อากาศดี พระสนมอวี๋จึงออกมาเดินชมบุปผาด้วยเช่นกัน
หลิวอวิ๋นชูยืนอยู่ข้างลำธารและต้นดอกท้อ เขาเหลือบไปเห็นหญิงร่างบางเดินอยู่ฝั่งตรงข้าม นางมีเส้นผมที่ดำสวยประดุจผ้าแพรชั้นดี เอวบางร่างอรชร รูปร่างงดงาม เมื่อก้าวเดินก็ให้ความรู้สึกเหมือนเป็ต้นหลิวอ่อนช้อยที่พลิ้วไหวไปตามสายลมเช่นนั้น ชายกระโปรงปลิวขึ้นไปในอากาศอย่างแ่เบา งามจนยากจะอธิบาย
หลิวอวิ๋นชูยืนอึ้งอยู่นาน หญิงงามทั้งแผ่นดินมารวมกันอยู่ในวังหลวงแห่งแคว้นจิ้นแล้วหรือ... เขาคิดขึ้นในใจ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเดินไกลออกไปเรื่อยๆ หลิวอวิ๋นชูก็รีบวิ่งข้ามสะพาน แล้ววิ่งตามไปทันที “ไม่ทราบว่าผู้ที่อยู่ด้านหน้าคือพระสนมอวี๋ใช่หรือไม่?”
หญิงคนนั้นชะงักฝีเท้าลง นางหันหน้ากลับมา รูปโฉมที่งดงามของนางทำให้บุปผารอบกายหม่นแสงลงทันตา คนผู้นี้ก็คือพระสนมอวี๋นั่นเอง และที่อยู่ข้างกายนางก็คือซวงเอ๋อร์ สาวใช้คนสนิทของนาง
ซวงเอ๋อร์มีนิสัยสุขุมรอบคอบ แถมยังระแวดระวังเป็อย่างมาก เขาถาม “เ้าเป็ใคร?”
หลิวอวิ๋นชูยื่นจดหมายฉบับหนึ่งออกไปอย่างสุภาพ “มีคนวานให้ข้านำจดหมายนี้มาส่งให้ซวงเอ๋อร์ สาวใช้คนสนิทของพระสนมอวี๋ เ้าคงจะเป็ซวงเอ๋อร์สินะ?”
ซวงเอ๋อร์รับจดหมายมาอย่างสงสัย “ท่านรู้ได้อย่างไรว่าบ่าวคือซวงเอ๋อร์ หากมอบให้ผิดคนล่ะ?”
หลิวอวิ๋นชูตอบ “ไม่มีทาง เ้าดูแข็งแรงบึกบึนกว่าสาวใช้ทั่วไป แถมยังสูงกว่าพระสนมอวี๋เล็กน้อย สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ พระสนมอวี๋มีเ้าคอยติดตามรับใช้อยู่เพียงผู้เดียว” ซวงเอ๋อร์กับพระสนมอวี๋มองหน้ากันแวบหนึ่ง หลิวอวิ๋นชูพูดต่อ “ในเมื่อจดหมายส่งถึงแล้ว กรุณาอย่าบอกใครว่าข้าเคยมาที่นี่” พูดจบก็รีบเดินจากไป
เมื่อทำธุระเสร็จ งานชมบุปผาก็น่าเบื่อเหลือเกินในสายตาของหลิวอวิ๋นชู นอกจากการฟังข่าวลือที่ฮูหยินทั้งหลายมักจะซุบซิบกันเป็ครั้งคราวแล้ว ่เวลาต่อจากนั้นช่างทรมานและยาวนานเหลือเกิน หนึ่งวันยาวนานราวกับหนึ่งปีเลยก็ว่าได้
เมื่อถึง่บ่าย หลิวอวิ๋นชูก็คะยั้นคะยอ ขอให้ฮูหยินแห่งท่านโหวอันกั๋วพาตนออกจากวังทันที เขาถูกฮูหยินท่านโหวจิกหูบ่นไปตลอดทาง แม้แต่ระหว่างที่นั่งอยู่ในรถม้าก็ไม่เว้น “เพราะบิดาของเ้าตามใจเ้ามากเกินไป เ้าถึงได้ไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำเช่นนี้ ไม่รู้หรือว่าวาจานำภัยอันตรายมาสู่ตัวได้? โชคยังดีที่องค์หญิงเจ็ดไม่ชอบเ้า หากนางเกิดชอบเ้าขึ้นมา และขอหยกสมุทรครามซึ่งเป็สมบัติประจำตระกูลของเราไปละก็ ข้าไม่ถูกบีบจนต้องแขวนคอตายเลยหรือ?”
หลิวอวิ๋นชูจับหูของตัวเองเบาๆ “ท่านแม่ พูดอะไรอย่างนั้น ข้าจะแต่งงานกับผู้หญิงที่ชั่วร้ายแถมยังดุราวกับเสือป่าเช่นนั้นได้อย่างไร?”
ฮูหยินแห่งท่านโหวปรายตามองเขาแวบหนึ่ง “โชคยังดีที่นางไม่ชอบเ้า”
หลายวันต่อมา ได้ข่าวว่าในวังมีดวงิญญาออกอาละวาดอีกครั้ง ทว่าสถานที่ที่ถูกดวงิญญาอาละวาดไม่ใช่ตำหนักจาวหยวนเหมือนเคย แต่เป็ตำหนักขององค์หญิงเจ็ดต่างหาก ไม่ไกลจากตำหนักขององค์หญิงเจ็ด มีสวนที่มีดอกไม้ขึ้นอย่างหนาแน่นอยู่แห่งหนึ่ง ว่ากันว่าจะมีเสียงร้องโหยหวนดังออกมาจากสวนแห่งนี้เป็ประจำทุกคืน แถมยังมีดวงิญญาเดินวนอยู่ในตำหนักขององค์หญิงเจ็ดบ่อยครั้ง ทำให้นางใจนแทบจะสติแตก
พระสนมเต๋อสงสารลูกสาว จึงสั่งให้คนรื้อสวนแห่งนี้ทิ้ง แต่เมื่อตกดึก องค์หญิงเจ็ดก็มักจะนอนไม่หลับ ต้องมีตะเกียงจุดสว่างไปทั่วตำหนัก และต้องมีคนรับใช้หลายสิบคนเฝ้าตลอดทั้งคืน นางจึงจะสงบลงบ้าง
แต่การศึกษาในวิทยาลัยหลวงก็ไม่อาจหยุดลงเช่นกัน องค์หญิงเจ็ดยังต้องมาเรียนตามเวลาทุกวัน นักศึกษาทั้งหลายต่างก็รู้สึกว่านางดูหมองราศี แถมยังแฝงไปด้วยความอึมครึม น่าขนลุก
เพราะนอนไม่หลับ ซูเหลียนหรูจึงไม่มีสมาธิ แถมยังเหนื่อยล้าเป็อย่างมาก นางสัปหงกในห้องเรียน รู้สึกหงุดหงิดอย่างไร้สาเหตุ ทุกสิ่งในชีวิตย่ำแย่จนถึงขีดสุด ใบหน้าของนางบึ้งตึงอย่างหนัก คล้ายมีคำว่า ‘อย่าเข้าใกล้ข้า’ ติดอยู่กลางหน้าผากเช่นนั้น
เพราะเหม่อลอยในคาบเรียน ซูเหลียนหรูจึงถูกซูกู้เหยียนเรียกให้ลุกขึ้นมาตอบคำถามบ่อยๆ ใบหน้าของนางบูดบึ้งจนไม่รู้จะพูดอย่างไรแล้ว
วันนี้ก็เช่นกัน ซูเหลียนหรูถูกซูกู้เหยียนเรียกให้ลุกขึ้นมาตอบคำถามอีกครั้ง เป็อย่างที่คิด นางเป็เหมือนหลิวอวิ๋นชูไม่มีผิด คือตอบคำถามไม่ได้แม้แต่ข้อเดียว หลิวอวิ๋นชูแอบปิดปากและหัวเราะเบาๆ เขาหันไปมองเฟิ่งสือจิ่นที่กำลังง่วงซึมแวบหนึ่ง ก่อนจะสะกิดนางเบาๆ “เฟิ่งสือจิ่น เ้ารู้ใช่ไหมว่าเื่ผีที่อาละวาดในวังเป็อย่างไรกันแน่ คิดไม่ถึงว่านางจะกลัวจนมีสภาพเช่นนี้”
เฟิ่งสือจิ่นถูกสะกิดจนสะดุ้งตื่น “ข้าไม่รู้นี่ เ้ารู้หรือ?”
หลิวอวิ๋นชูหัวเราะเ้าเล่ห์เป็ทำนองว่า ‘อย่าคิดว่าข้าไม่รู้’ เขาขยับเข้ามาใกล้แล้วพูดกระซิบเบาๆ “คงจะเป็เพราะจดหมายที่เ้าวานให้ข้าเอาไปส่งให้ใช่ไหม เ้าสั่งให้คนไปหลอกผีนางหรือ? คิดไม่ถึงว่าเ้าจะมีเส้นสายในวังหลวงด้วย พระสนมอวี๋เป็สนมคนโปรดของฝ่าาเชียวนะ เ้ากับนางมีความสัมพันธ์อย่างไรต่อกันกันแน่?”
เฟิ่งสือจิ่นเหวี่ยงฝ่ามือเข้าไปตบหน้าของหลิวอวิ๋นชู “ไม่พูดไม่มีใครหาว่าเ้าเป็ใบ้หรอกนะ เ้าเต่าคอสั้น”
หลิวอวิ๋นชูโกรธเป็ฟืนเป็ไฟ “เต่าคอสั้นงั้นหรือ?”
เฟิ่งสือจิ่นพูด “หากไม่ใช่เต่า ทำไมถึงชอบออกมาะโนอกกระดองล่ะ?”
หลิวอวิ๋นชูกล่าว “เ้าหยามข้าได้ แต่อย่าได้ลบหลู่บิดาของข้าเด็ดขาด!”
“ข้าลบหลู่บิดาของเ้าตอนไหน?”
“ก็ที่เ้าพูดไง แบบนั้นก็หมายความว่า บิดาของข้าก็เป็เต่าเหมือนกันไม่ใช่หรือ?” หลิวอวิ๋นชูลุกพรวดขึ้น เขาเตะเก้าอี้ แล้วเดินออกไปจากห้องเรียน “เฟิ่งสือจิ่น ถ้าแน่จริงก็ออกมาสู้กันแบบตัวต่อตัวสิ!”
“สู้ก็สู้!” เฟิ่งสือจิ่นถกแขนเสื้อขึ้นแล้วเดินตามออกไปติดๆ
พวกเขาสองคนทะเลาะและสร้างเื่สร้างราวในคาบเรียนจนกลายเป็เื่ปกติไปแล้ว เมื่อนักศึกษาคนอื่นๆ ตื่นจากภวังค์ มุมห้องก็เหลือเพียงเก้าอี้ที่ว่างเปล่าเท่านั้น ซูเหลียนหรูยังคงยืนค้างอยู่ดังเดิม นางพยายามเปลี่ยนประเด็น “อาจารย์ สองคนนั้นกำลังจะตีกันแล้ว ท่านไม่ไปดูหน่อยหรือ?”
ซูกู้เหยียนตอบราวไม่มีอะไรเกิดขึ้น “เ้าตอบคำถามต่อเถอะ”
อีกด้าน เมื่อออกมาจากห้องเรียน ท่าทีโกรธเกรี้ยวคล้ายกำลังจะต่อยตีกันของเฟิ่งสือจิ่นกับหลิวอวิ๋นชูก็สลายหายไปทันตา พวกเขาเดินเคียงกันออกไปอย่างเป็มิตร ทั้งสองเดินผ่านต้นไหวหน้าห้อง และมุ่งหน้าไปที่โรงอาหารอย่างใจเย็น หลิวอวิ๋นชูถาม “อีกสิบห้านาทีจึงจะถึงเวลาพักเที่ยง พวกเราไปดูกันก่อนเถิดว่าวันนี้มีอะไรให้กินบ้าง จะได้ไม่ต้องไปแย่งกับคนอื่น” เขาหันไปมองเฟิ่งสือจิ่นที่มีท่าทีนิ่งสงบครู่หนึ่ง “เ้าแสดงได้สมจริงมากขึ้นทุกวันแล้วนะ”
เฟิ่งสือจิ่นโบกมืออย่างถ่อมตน “เ้าก็เช่นกัน”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้