หลิวเต้าเซียงยิ้มเบาๆ นั่นสิ กระทั่งชุดที่ไว้รับแขกนางก็เตรียมผ้าชั้นดีไว้ให้แล้ว เห็นทีกัวซิวฝานคงมีเทศกาลตรุษจีนที่ดีในปีนี้เป็แน่
หมูเป็หนึ่งตัวน่าจะมีน้ำหนักสามร้อยชั่งเศษ สามารถขายได้สามตำลึงเชียว!
จางกุ้ยฮัวได้ยินแล้วหัวใจก็หวาดหวั่น ยิ่งคุยกันก็ยิ่งมีของเพิ่มมากขึ้นและดีขึ้นเรื่อยๆ นี่มันรวมเป็เงินเท่าไรกัน เงินในบ้านจะมีพอหรือไม่?
“ท่านแม่ ท่านวางใจดูแลครรภ์ให้ดีก็พอ ในมือข้ายังมีเงินอีกหลายร้อยตำลึง อีกอย่าง อีกสิบวันนายท่านจิ่วก็จะส่งคนมารับของ ไก่ห้าพันตัว หมูสองร้อยตัว ที่เหลือนอกจากที่เก็บไว้ทำพันธุ์ไก่กับพันธุ์หมูแล้ว ก็เอามาใช้เซ่นใน่ปีใหม่”
หลิวเต้าเซียงพินิจแล้วเอ่ยอีก “โอ๊ย ข้าลืมบอกกับท่านแม่ว่า ตอนนั้นที่คุยกับนายท่านจิ่ว นอกจากไข่ไก่ชั่งละสิบอีแปะ ราคาไก่ก็ขายชั่งละยี่สิบอีแปะ หมูชั่งละสิบสองอีแปะ ด้วยความเมตตาของเขา ได้ยินว่าจะส่งไปที่อื่นจึงให้ราคานี้ มิฉะนั้นจะมีเื่ดีแบบนี้ได้อย่างไร หมูเป็ข้างนอก ราคาตอนนี้แค่ชั่งละสิบอีแปะ แต่ราคาเนื้อหมูก็สูงขึ้นทุกวัน”
ทีนี้ไก่ห้าพันตัว หมูสองร้อยตัว จะขายได้เท่าไร?
ไม่ใช่แค่จางกุ้ยฮัวที่สมองพันกันตื้อ กระทั่งเฉินซื่อเองก็มึนงง สมองตามไม่ค่อยทัน
ผ่านไปชั่วครู่จางกุ้ยฮัวจึงเอ่ยถาม “แบบนี้ก็เท่ากับว่าบ้านเราปีนี้ได้กำไรพอสมควรเช่นนั้นหรือ?”
หลิวเต้าเซียงตอบว่า “ตอนนี้ข้ายังไม่ได้ทำบัญชีออกมา แต่ว่ามีกำไรแน่นอน รออีกสิบวันหลังจากที่ขายของออกไปแล้ว เราก็สามารถมอบของขวัญให้แต่ละบ้านได้ ใช่สิ ท่านย่าทางนั้นจะให้อย่างไรกันดี?”
จางกุ้ยฮัวคิดเพียงครู่เดียวแล้วตอบ “เงินที่ให้ท่านทั้งสองนั้นจะน้อยไม่ได้ อีกอย่าง ก่อนหน้านี้พ่อเ้าก็รับปากว่าจะตัดชุดให้ท่านทั้งสองไม่ใช่หรือ อีกไม่กี่วันให้พ่อเ้าพาพวกเ้าไปเดินเล่นที่ตำบล แล้วซื้อผ้าไว้ทำชุดฤดูใบไม้ผลิให้ท่านปู่กับท่านย่าคนละชุด ผ่านพ้นปีใหม่ไปก็เย็บ พอเริ่มฤดูใบไม้ผลิจะได้สวมใส่พอดี พร้อมกับแป้งบะหมี่ยี่สิบชั่ง ปลาเค็มกับเป็ดเค็มอย่างละหนึ่งชุด เนื้อหมูเค็มสองท่อน ไก่เป็หนึ่งคู่ ไก่ตอนหนึ่งคู่”
เฉินซื่อกระแอมเบาๆ
จางกุ้ยฮัวจึงเอ่ยว่า “ซื้อผ้าให้อาเล็กกับอาสี่อีกคนละชุด ทั้งสองยังไม่ได้ถกเื่หมั้นหมาย แยกกันให้ไม่ได้”
หลิวเต้าเซียงฟังออกถึงความขอไปทีในน้ำเสียง หากเปลี่ยนเป็คนอื่นก็คงไม่มีใครชอบอาสี่กับอาเล็กแบบนี้หรอกกระมัง!
สายลมพัดโชย ลมหนาวมาเยือน!
วันที่แปดเดือนสิบสอง ในที่สุดวันนี้ก็อากาศโปร่งใส แสงตะวันสีแดงระเรื่อ กิ่งไม้สะท้อนสีเงินชมพูราวกับปะการัง ประตูหน้าบ้านของหลิวเต้าเซียงส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดแล้วเปิดออก
เด็กสาวตัวเล็กยื่นศีรษะที่เป็ทรงผมสองจุกออกมา ดวงตามีไหวพริบคู่หนึ่งมองออกไปยังถนนสู่ตำบล บนศีรษะนั้นผูกผมเป็สองจุกวงกลมประดับด้วยพู่สีชมพู ตรงกลางของลูกบอลพู่ล้อมรอบด้วยสายเงินปนทองที่ระยิบระยับ ทั้งยังประดับด้วยไข่มุกเม็ดเล็กห้อยอยู่ที่ท้ายทอยด้านหลัง ที่หูสองข้างมีต่างหูไข่มุกขนาดเท่าเม็ดถั่วเขียว นางสวมชุดอ๋าวผ้าฝ้ายละเอียดตัวยาวปักลายดอกเหมยสีแดงและเถาวัลย์สีม่วง ด้านล่างสวมกางเกงสีเขียวเข้มเก็บขอบด้วยลวดลายสีเงิน ตรงหน้าอกมีสร้อยเงินพร้อมกับห้อยอิ๋นสั่วคำว่ามั่งคั่งร่ำรวย
“น้องรอง เหตุใดเ้าจึงมายืนอยู่ที่ประตู? ด้านนอกลมแรง ระวังลมหนาวจะทำให้ผิวหน้าแตกนะ” เสียงของหลิวชิวเซียงดังมาจากข้างใน
หลิวเต้าเซียงยืนอยู่หน้าประตูบ้านกำลังชะเง้อมองออกไปบนถนน ก่อนจะหันกลับมาตอบ “ท่านพี่ วันนี้เป็วันนัดหมายกับนายท่านจิ่ว ข้าอยากดูว่าเขามาหรือยัง”
หลิวชิวเซียงเพิ่งนึกได้ว่า ก่อนหน้านี้น้องรองเคยบอกว่าคนที่ถูกเรียกว่านายท่านจิ่วนั้นจะมารับไก่กับหมูทั้งหมดไปในวันนี้
นางอดไม่ได้ที่จะโล่งอก มีเพียง์ที่รู้ว่านางกังวลมาโดยตลอดว่าไก่กับหมูเหล่านี้จะไม่สามารถขายได้ทั้งหมดในคราวเดียว
ขณะนั้นหลิวซานกุ้ยเพิ่งนำเกวียนลาออกมาแล้วเอ่ยว่า “พ่อจะไปตำบลแล้ว ขากลับจะซื้อขนมงามาให้พวกเ้า วันมะรืนก็เป็วันตลาดนัด พ่อจะพาพวกเ้าไปเที่ยวเล่นในตำบล”
เมื่อได้ยินคําตอบที่ก้องกังวาน หลิวซานกุ้ยรู้สึกว่าชีวิตของเขานั้นสมบูรณ์แบบแล้ว
ไม่ว่าจะมีบุตรชายหรือไม่ก็ตาม ทุกอย่างถูกกำหนดไว้ล่วงหน้า โชคดีที่เขามีบุตรสาวที่ดีสามคน
“ใช่สิ ตอนที่นายท่านจิ่วมา ไม่แน่ว่าพ่ออาจจะเจอเขากลางทางก็เป็ได้”
หลิวเต้าเซียงยิ้มและตอบอย่างสดชื่น “ท่านพ่อวางใจแล้วไปเรียนเถิด ที่บ้านยังมีข้ากับพี่สาวอยู่ นายท่านจิ่วเป็คนอย่างไร ท่านพ่อยังไม่รู้อีกหรือ?”
เกาจิ่วเป็คนทำธุรกิจ อีกทั้งยังเป็คนทำธุรกิจที่น่าเชื่อถือ
หลิวซานกุ้ยจึงไปเรียนในตำบลอย่างวางใจ
“แล้วก็อาจารย์กัวบอกว่าหากพ้นวันที่ยี่สิบเดือนสิบสอง ก็ไม่ต้องไปเรียนแล้ว ข้าคิดว่าจะนำของขวัญเทศกาลไปมอบให้เขาก่อนหน้านั้น”
หลิวเต้าเซียงตอบว่า “ท่านพ่อวางใจได้ วันนี้นายท่านจิ่วนำเงินมาให้บ้านเรา”
หลิวซานกุ้ยได้ยินดังนั้นก็ดีใจ การเลี้ยงไก่กับหมูแม้จะเหนื่อยสักหน่อย แต่ก็ได้ค่าตอบแทนที่ดีกว่าการทำเกษตร
“ไม่รู้ว่าปีหน้าจะยังให้ครอบครัวเราเลี้ยงอีกหรือไม่!”
เื่นี้หลิวเต้าเซียงก็เคยพิจารณา จึงยิ้มแล้วตอบ “อีกเดี๋ยวนายท่านจิ่วมา ข้าจะลองถามเขาดู ไม่เคยได้ยินเขาบอกว่าจะไม่เอาอีก ท่านพ่อไม่ต้องกังวล แม้ว่าจะไม่เอา เราก็ยังเลี้ยงหมูต่อได้หลายตัว เมื่อคำนวณกำไรของปีนี้ออกมาได้ อย่างมากปีหน้าก็ไปซื้อบ้านจวงจื่อ [1] ขนาดเล็กไว้ในละแวกอำเภอ”
หลิวชิวเซียงถามด้วยความประหลาดใจ “เอ๋ น้องรอง เ้าอย่าโกหกข้านะ ปีนี้ครอบครัวเรามีรายได้มากพอจะซื้อจวงจื่อขนาดเล็กด้วยหรือ?”
หลิวเต้าเซียงพยักหน้า “ขนาดใหญ่คงซื้อไม่ได้ แต่ไม่กี่สิบไร่ก็สามารถซื้อได้ หรือบางทีในละแวกตำบลย่อมได้”
ถึงอย่างไรข้าวโพด รำข้าวกับข้าวร่วนที่บอกว่ารับมาจากข้างนอก ก็ล้วนเอาไข่ไปแลกกับสัตว์ปีศาจศูนย์ศูนย์เจ็ดมา ส่วนสัตว์ปีศาจศูนย์ศูนย์เจ็ดก็กำลังบ่นนางว่านับวันก็ยิ่งไม่ขยัน
หลิวเต้าเซียงแสดงท่าทีอับอาย แต่นางก็ไม่เคยบอกว่าตนเองเป็คนขยันหมั่นเพียรนี่นา!
บุตรสาวทั้งสองของหลิวซานกุ้ยนับวันก็ยิ่งสะสวยและโตเป็สาว จึงแอบดีใจ เมื่อเห็นทั้งสองใส่ใจต่อครอบครัวเช่นนี้ เขาเอ่ยว่า “เื่นี้ไม่รีบร้อน เราดูไปเรื่อยๆ ให้พ่อไปสืบถามก่อนค่อยถกกัน”
“ท่านพ่อพูดถูก เวลาสายแล้ว ท่านพ่อรีบไปหาอาจารย์กัวดีกว่า” หลิวเต้าเซียงเห็นว่าฟ้าสว่างมากแล้ว จึงเร่งให้บิดารีบออกไป
หลิวซานกุ้ยนําเกวียนลาออกจากบ้านไป เมื่อสองพี่น้องส่งเขาเสร็จก็กลับเข้าห้องครัวไปรับความอบอุ่นที่หน้าเตา จากนั้นก็กินเกี๊ยวไส้หมูที่เฉินซื่อทำให้
ขณะที่วางชามกับตะเกียบลง หลิวเต้าเซียงก็พะวงสงสัยว่าเหตุใดเกาจิ่วจึงยังไม่มา
ไม่นานนักด้านนอกก็มีเสียงวุ่นวาย อีกทั้งยังมีเสียงร้องของสัตว์ด้วย
นางหัวเราะดีใจและเอ่ย “เกรงว่านายท่านจิ่วจะมาแล้ว ท่านยาย ท่านค่อยๆ กิน ข้าออกไปเปิดประตูก่อน”
เมื่อไปถึงลานบ้านก็มีคนมาเคาะประตูพอดี
หลิวเต้าเซียงเปิดออก ก่อนจะใกับภาพที่อยู่ตรงหน้า!
ล่อที่ลากเกวียนนั้นเรียงรายกันเป็แถวไปจนถึงฝั่งตรงข้ามแม่น้ำ เหลือเพียงพื้นที่ว่างหน้าบ้านของนางเพียงน้อยนิด เผื่อที่ไว้หน่อยมิฉะนั้นเกวียนล่อคงไม่อาจกลับลำได้
แต่ถึงแม้จะเป็เช่นนั้น เกาจิ่วก็ยังรู้สึกว่าไม่ค่อยสะดวกนัก
คำพูดแรกที่เขาเอ่ยกับหลิวเต้าเซียงคือ “คุณหนูรอง เมื่อไรบ้านเ้าจึงจะสร้างบ้านหลังใหม่? จากที่ข้าดู ควรทำลายสะพานนั้น แล้วเลื่อนมาไว้หน้าบ้านเ้าจะดีกว่า ส่วนสะพานก็ทำให้กว้างอีกหน่อย อย่างน้อยก็ควรให้เกวียนล่อผ่านได้สองลำจึงจะดี”
หลิวเต้าเซียงได้ยินดังนั้นก็มีความสุข จึงยิ้มแล้วเอ่ย “นายท่านจิ่ว บ้านจะสร้างได้หรือไม่ สะพานจะประกอบได้หรือไม่ ครอบครัวเราล้วนต้องพึ่งพาท่านแล้ว”
“พูดดี พูดดี”
เกาจิ่วกวาดมองไปรอบทิศ เห็นคนในหมู่บ้านมามุงและกระซิบกระซาบกันไม่น้อยตรงอีกฟากของแม่น้ำ
เขาขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วถามว่า “คุณหนูรองคงไม่ได้อยากคุยกันที่ตรอกนี้หรอกใช่หรือไม่?”
หลิวเต้าเซียงเหยียดมือนำทางแล้วยิ้ม “นายท่านจิ่วเป็คนคุ้นเคยกัน คุยตรงไหนก็ไม่เป็อุปสรรค ทว่าขอเชิญนายท่านจิ่วเข้าไปดื่มน้ำชาร้อนๆ ก่อนดีกว่า นายท่านจิ่ว เชิญด้านใน!”
เพราะหลิวชิวเซียงหมั้นหมายแล้ว จึงต้องเลี่ยงการเจอคนด้านนอก ฉะนั้นคนที่ออกมาช่วยจึงมีเพียงเฉินซื่อ
หลิวเต้าเซียงรินน้ำชาให้เกาจิ่วด้วยตัวเอง เมื่อเขารับน้ำชาไปจึงเอ่ย “ท่านป้าไม่ต้องวุ่นวายหรอก วางกาน้ำชาไว้ตรงนั้น พวกเขากระหายก็ให้รินเองเถิด”
จางกุ้ยฮัวพยุงครรภ์ที่ใหญ่เดินออกมากล่าวทักทายเกาจิ่ว สามีไม่อยู่บ้าน มิควรให้บุตรสาวคนรองต้อนรับเพียงลำพัง
เฉินซื่อรีบไปรับกล่องของกินที่นางถือไว้ในมือแล้วพยุงนางนั่งลง ส่วนหลิวเต้าเซียงก็รีบไปรับเช่นกันแล้ววางไว้บนโต๊ะน้ำชาข้างกายเกาจิ่ว
แม้ว่าไก่และหมูเหล่านี้ขายออกไปได้เงินมาจะเป็ของตระกูลหลิว แต่เฉินซื่อก็ดีใจเช่นกัน ชีวิตของบุตรสาวยิ่งดี นางจึงวางใจ
หลังจากช่วยจางกุ้ยฮัวนั่งลง นางก็ยืนถูมือด้วยความดีใจ
หลิวเต้าเซียงเห็นว่าท่านยายตื่นเต้นมากจนทำอะไรไม่ถูก จึงเอ่ย “ท่านยาย หรือไม่ก็เชิญพวกเขาเ่าั้ไปด้านหลังก่อน” นางหันไปถามเกาจิ่ว “นายท่านจิ่ว จะใส่หมูหรือไก่ก่อนดี?”
“ให้พวกเขาลากเกวียนล่อเข้ามาคงต้องรออีกสักพัก ก่อนหน้านี้เ้าถามข้าไม่ใช่หรือว่า ครอบครัวเ้าจะสร้างบ้านใหม่ได้หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับข้าแล้ว วันนี้ข้าก็ตั้งใจนำข่าวนี้มาบอกเ้า”
หลิวเต้าเซียงยิ้มแล้วเอ่ย “ต้องเป็ข่าวดีแน่นอน นายท่านจิ่ว อย่าได้หลอกล่อข้าอีกเลย”
เกาจิ่วกล่าวต่อว่า “ฮูหยินหลิว คุณหนูรองหลิว ไก่กับหมูที่บ้านท่านเลี้ยง ข้าได้ยินมาแต่เนิ่นว่าไก่กับหมูบ้านเ้าไม่เคยป่วยแม้แต่นิดเดียว”
จางกุ้ยฮัวยิ้ม “ใช่ว่าทางเราจะไม่เคยกังวล แต่เนินเขาที่เราซื้อมานั้นใหญ่ ่กลางวันไก่ก็กระจัดกระจายอยู่ที่นั่น ไม่รู้ว่ากินหญ้าวัชพืชกับแมลงมากไปหรือไม่ ไก่นั้นวางไข่ได้มากไม่พอ แต่เวลาเดินก็เหมือนกับบินอย่างไรอย่างนั้น ยากปกติปล่อยไว้ด้านนอก หากอยากจับพวกมันคงยากหน่อย เวลาตะครุบไปหากไม่ะโไปไกลก็ไปเกาะตามต้นไม้”
เกาจิ่วมีวาทศิลป์นัก เพียงคำพูดประโยคเดียวก็ดึงดูดให้จางกุ้ยฮัวพูดไม่หยุด
“ไข่เ่าั้มีรสชาติดีกว่าทั่วไป โดยเฉพาะเวลาทำไข่ตุ๋น หากไม่เปรียบเทียบกันก็คงไม่รู้ รสชาตินั้นสดใหม่และนุ่มอร่อยกว่าของบ้านหลังอื่น!”
จางกุ้ยฮัวตอบว่า “ไม่ใช่ว่าข้าคุยโวว่าแตงบ้านตนเองดี แต่ลูกสาวข้าใช้ให้เด็กๆ ในหมู่บ้านที่อายุหกถึงเจ็ดขวบเ่าั้ไปช่วยนางเกี่ยวหญ้าและจับปลากับกุ้งเล็กๆ มาทำอาหารให้ไก่กับหมูกิน”
หลิวเต้าเซียงเริ่มแรกไม่เข้าใจสิ่งเหล่านี้ ทั้งที่ปลากับกุ้งตัวเล็กในยุคปัจจุบันมีราคาแพงกว่าปลาตัวใหญ่อีก แต่พอมาอยู่ในราชวงศ์โจว ปลากับกุ้งขนาดเล็กกลับไม่เป็ที่้าของบ้านตระกูลใหญ่ บ้านใหญ่โตเ่าั้รับแต่ปลาตัวใหญ่ ยิ่งใหญ่ก็ยิ่งชอบ
ส่วนปลากับกุ้งขนาดเล็กกลับได้ไม่กี่แดง ทั้งยังเปลืองน้ำมัน ด้วยเหตุนี้คนชนบทจึงไม่ค่อยชอบของเหล่านี้
หลิวเต้าเซียงหลอกล่อให้เด็กซนเ่าั้ หากไม่ไปเกี่ยวต้นหญ้าหมูก็ลงลำธารไปจับปลากับกุ้ง ไม่เพียงแต่ทำให้เด็กทำสิ่งที่สมควร ทั้งยังเพิ่มรายได้ให้แก่ครอบครัวของพวกเขา แล้วยังทำให้ผู้ใหญ่ที่ออกไปทำงานเ่าั้วางใจได้ไม่น้อย
อย่างน้อยก็ไม่ต้องกังวลว่าลูกน้อยของพวกเขาจะสร้างปัญหา ที่น่าดีใจยิ่งกว่านั้นก็คืออาหารการกินในบ้านก็ดีขึ้น
นอกจากนี้ในฤดูหนาว หลิวเต้าเซียงเอาแต่ขลุกอยู่แต่ในบ้านและสอนเด็กในหมู่บ้านให้รู้หนังสือ จึงประหยัดค่าซู่ซิวแก่ครอบครัวของเด็กเหล่านี้
ส่วนหลิวชิวเซียงยังสอนงานเย็บปักให้เด็กสาวในหมู่บ้าน ขณะที่สองสามีภรรยาก็มีชื่อเสียงในหมู่บ้านมากขึ้น
กล่าวกันว่าพวกเขาสองคนนั้นเลี้ยงลูกดี
-----
เชิงอรรถ
[1] จวงจื่อ 庄子 ในที่นี้หมายถึง บ้านของเกษตรกรที่มีขนาดพื้นที่กว้างขวาง มีพื้นที่ไร่นาและตัวบ้านอยู่ติดกัน
