“พระองค์เคยบอกหม่อมฉัน ว่าอย่าคิดไกล อย่าคิดพระองค์ นับจากนั้นหม่อมฉันก็ไม่กล้าคิดอันใดอีกเพคะ” คำตัดขาดในอดีตถูกนางยกขึ้นพูด ก่อนเขาจะหวนนึกถึงองค์ชายสามจ้าวซีเหริน ก็ทำให้สีหน้าเปลี่ยนเป็เคร่งขรึมอีกครั้ง
“เ้ายอมเป็พระสนมของข้า ก็เพราะฮองเฮาใช่หรือไม่”
“ที่พระองค์ยอมยกหม่อมฉันขึ้นเป็พระสนมไม่ใช่เหตุผลเดียวกันหรอกเหรอเพคะ” นางถามด้วยแววตาใสซื่อ ก่อนอีกฝ่ายจะหันมาจับจ้องนาง
“เยว่ซิน ในใจเ้าคิดเช่นไรข้าไม่เคยหยั่งถึง เ้าตอบข้าอย่าง แต่การกระทำของเ้าเป็อีกอย่างเสมอ ๆ แต่ไม่ต้องห่วง ข้าจะไม่ยอมให้เ้าปั่นหัวข้าง่าย ๆ หรอก” เขาพูดด้วยแววตาคับแค้นใจ ในขณะที่หญิงสาวยังคงนั่งนิ่งไม่ตอบโต้ใด ๆ ทุกอย่างเงียบสนิทเพียงครู่เดียวเท่านั้น รัชทายาทก็ค่อย ๆ หลับตาลงเพื่อสงบใจตัวเองแล้วหันมายังหญิงสาวที่นั่งนิ่งอยู่ในชุดสีแดงงดงาม
“วันนี้เป็วันเข้าหอของเรา เ้าควรดีใจที่มีข้าเป็สามี ใจเ้าไม่ควรคิดถึงผู้ใด ยิ่งกับองค์ชายสามแล้ว เ้าก็ห้ามคิดถึงเขา” เยว่ซินหันใบหน้างดงามมายังชายหนุ่ม หวนนึกถึงเื่ราวในอดีต
องค์ชายสามและรัชทายาทไม่ค่อยลงรอยกันเท่าใดนัก ต่างคนต่างมีนิสัยแข็งกระด้าง ไม่มีผู้ใดยอมกัน มักจะโต้เถียงกันทุกครั้งที่เจอ
ย้อนกลับไปราวสี่ปีก่อนขณะที่นางเดินเล่นอยู่ตามลำพัง ด้วยความที่ไป๋ฟางเหลียนคอยหาโอกาสกลั่นแกล้งอยู่ก่อนแล้ว เมื่อสบโอกาส ก็แกล้งนางจนพลัดตกน้ำไป องค์ชายสามผ่านมาเห็น ก็รีบช่วยนางขึ้นจากน้ำ ฟางเหลียนเห็นดังนั้นจึงรีบหลบกลับไปยังจวนสกุลไป๋ ปล่อยให้องค์ชายสามช่วยเยว่ซินขึ้นมาตามลำพัง
บริเวณนั้นเงียบสงบไม่มีผู้คนพลุกพล่านมากนัก องค์ชายสามพยายามปลุกนางตื่นขึ้น เมื่อเยว่ซินรู้สึกตัวว่าอยู่ในอ้อมกอดขององค์ชายสาม ที่ชอบเก็บตัวไม่สุงสิงกับผู้ใด นางจึงพยายามดันกายออก ทั้งที่เนื้อตัวเปียกปอนไปหมด
“เ้าเปียกหมดแล้ว” เขาพูดพลางถอดเสื้อ มาคลุมให้อย่างอ่อนโยน ก่อนนางจะก้มหน้าลง ในเวลานั้นหญิงสาวรู้สึกว่า ตนตัวเล็กเท่ามด ไม่กล้าเอ่ยปากเรียกร้อง ไม่กล้าสบตากับคนแปลกหน้าใด ๆ นอกจากคนที่นางไว้ใจเท่านั้น จ้าวซีเหรินมองกิริยาหวาดหวั่นของนางก่อนจะถอนหายใจ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“จะเอาเื่ฟางเหลียนหรือไม่ นางเป็คนผลักเ้าตกน้ำ ข้าจักเป็พยานให้” ซีเหรินพูดพร้อมสายลมอ่อนพัดโชยมาปะทะกาย นางค่อย ๆ ดึงเสื้อเขาคลุมให้มิดชิดเพราะเริ่มตัวสั่นจากความหนาว พลางส่ายศีรษะปฏิเสธ เพราะไม่้าให้เป็เื่ใหญ่ ตามที่ไป๋เลี่ยนเฉียวบิดาของนางเคยกำชับไว้ ไม่ว่าเื่ใดอย่าให้กระทบถึงสกุลไป๋เด็ดขาด
“เช่นนั้นเ้าก็รีบกลับจวนสกุลไป๋ อยู่นานจะทำให้ไม่สบายเอาได้” พูดจบวรกายขององค์ชายสามก็เดินหายไป ก่อนเยว่ซินจะค่อย ๆ พยุงร่างของตัวเองขึ้นช้า ๆ ไม่นานนักวรกายของรัชทายาทที่กำลังเดินตามหานางอยู่ก็เข้ามาพบ เขาขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อเห็นเสื้อคลุมที่อยู่บนกายนาง และจำได้อย่างแม่นยำว่าเสื้อคลุมตัวนั้นเป็ของจ้าวซีเหริน สองเท้าของรัชทายาทค่อย ๆ ก้าวเข้ามาหาเยว่ซินช้า ๆ พร้อมหัวใจหล่นวูบในทันที
“เหตุใดเ้าจึงอยู่ตรงนี้ตามลำพัง” เขากลั้นใจถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ จับจ้องไปยังเสื้อคลุมตัวนั้นไม่วางตา รอคำตอบของเยว่ซินด้วยหัวใจสั่นไหว ทว่าหญิงสาวในตอนนั้นพอรู้มาบ้างว่าทั้งสองพระองค์ไม่ค่อยลงรอยกันเท่าใด จึงปฏิเสธไปเพราะไม่้าให้เกิดเื่
“ไม่มีอะไรเพคะ หม่อมฉันรู้สึกว่าตัวเองไม่สบาย ขอตัวกลับก่อนนะเพคะ”
“เยว่ซิน” นางชะงัก แล้วหันกลับมายังรัชทายาทด้วยสายตาหวาดหวั่น
“ข้าขอถามเ้าเป็ครั้งสุดท้าย ว่าเหตุใดเ้าจึงมาอยู่ตรงนี้ตามลำพัง” เขาพูด พลางจับจ้องไปยังเสื้อคลุมขององค์ชายสามแน่นิ่ง
“หม่อมฉันเพียงแค่ออกมาเดินเล่นเพคะ ไม่มีอะไรมากกว่านั้น” นางพูดจบก็น้อมกายลง แล้วรีบเบี่ยงตัวเดินจากไป ท่ามกลางสายตาสั่นไหวของรัชทายาทจับจ้องนางจนลับตา มือหนากำแน่นสั่นระริกด้วยความโกรธ เขาผู้มีนิสัยหยิ่งทะนง นับจากเด็กจนโตไม่เคยลดตัว ก้มหัวให้ผู้ใด แม้จะรักเยว่ซินมากเพียงใด แต่การกระทำของนางที่กล้าโกหก ลักลอบแอบพบกับองค์ชายสามลับหลังเขา ทำให้เ้าเฉินลู่ไม่อาจไว้ใจได้อีก
หลังจากวันนั้น รัชทายาทก็แสดงท่าทีห่างเหินเ็า พร้อมทั้งตัดขาดสัมพันธ์กับนาง แล้วคงไว้ด้วยศักดิ์ศรีของตัวเอง กระทั่งไป๋ฟางเหลียนได้ขึ้นเป็พระชายาของเขา จนถึงตอนนี้ เป็ครั้งแรกในรอบหลายปีที่ได้กลับมาพูดคุยอีกครั้ง
กลิ่นกายของเยว่ซินยังคงเหมือนเคย ทุกครั้งที่เขาอยู่ใกล้จะได้กลิ่นหอมอ่อน ๆ จากนางเสมอ รัชทายาทจับจ้องมองใบหน้าหญิงสาว พร้อมความรู้สึกเก่า ๆ พุ่งกลับมา ให้เขาต้องรับมืออีกครั้ง
“เหตุใดพระองค์ไม่ปฏิเสธฮองเฮาล่ะเพคะ จะได้ไม่ต้องอึดอัดพระทัยเมื่ออยู่ใกล้หม่อมฉัน” นางถามเขาด้วยสายตาแน่นิ่ง เพราะรู้ว่าชายหนุ่มหมดใจต่อนางไปนานแล้ว ก่อนรัชทายาทจะยิ้มมุมปาก
“เหตุใดข้าต้องปฏิเสธเสด็จแม่ การที่เ้าเป็พระสนมของข้า คนที่เสียใจมากที่สุดก็คือองค์ชายสาม ข้าจะปฏิเสธด้วยเหตุใด” รัชทายาทพูดจบ ก็ใช้จมูกเลื่อนเข้าไปยังพวงแก้มของนาง พลันดันกายหญิงสาวนอนลงกับเตียง โดยที่อีกฝ่ายไม่ทันตั้งตัว ร่างเล็กถูกเขาโอบไว้อย่างแน่บชิด ใกล้กันเพียงลมหายใจพัดผ่าน เยว่ซินกลืนน้ำลายอึกใหญ่จับจ้องมองอีกฝ่ายด้วยสายตาสั่นไหว
นางใช้มือดันแผงอกอีกฝ่ายแล้วเม้มปากแน่น หลายปีที่พยายามหักห้ามใจไม่ให้คิดถึงเขา เวลานี้ทำให้หัวใจของนางกลับมาเต้นรัวถี่ไม่เป็จังหวะอีกครั้ง
“หม่อมฉัน ยังไม่พร้อม” นางพูดออกมาอย่างแ่เบา หวาดกลัวตามประสาหญิง ที่ไม่เคยผ่านการแต่งงาน หากแต่ชายหนุ่มยิ้มมุมปากแล้วกระซิบ
“เ้าก็รู้ ว่าในวังหลวงไม่มีผู้ใดกล้าขัดใจข้า” สำหรับเยว่ซิน แล้วแม้เวลาผ่านพ้นไปนานเพียงใด รัชทายาทก็ยังเป็รักแรกและรักเดียวในใจนางเสมอ
