บรรยากาศในร้านอาหารหรูยามค่ำคืนอบอวลไปด้วยแสงไฟสลัวและเสียงเพลงเบา ๆ อัคนีและกิตติกานั่งอยู่ที่โต๊ะมุมในสุด อัคนีตักอาหารให้อีกฝ่ายท่าทางเอาใจใส่
“ขอบคุณค่ะ” กิตติกายิ้มบาง ๆ ให้คนที่บริการเธอ
“ขอรางวัลเป็การตอบแทนได้ไหม”
“ตักอาหารแค่นี้ ฉันต้องให้รางวัลคุณด้วยเหรอคะ” กิตติกาหัวเราะเบา ๆ
ทั้งสองคนกำลังพูดคุยหยอกล้อกันโดยไม่ทันสังเกตว่ามีใครเดินตรงเข้ามาหาทั้งคู่
“ตาไฟ หนูกริ่ง บังเอิญจังเลยนะจ๊ะ” เสียงที่คุ้นเคยก็ทักขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัว
อัคนีและกิตติกาชะงักไปพร้อมกัน สีหน้าของทั้งคู่เปลี่ยนไปทันทีเมื่อเห็นเ้าของเสียง
คุณหญิงอภิญญากำลังยืนอยู่ข้างโต๊ะ ส่งยิ้มกว้างให้กับทั้งคู่ ดวงตาวาววับขึ้นอย่างเป็ต่อ “มาทานดินเนอร์กันสองคนเหรอจ๊ะ”
กิตติการีบชักมือกลับจากการเกาะกุมของเขา ขณะที่อัคนีเองก็พยายามตั้งสติแล้วลุกขึ้นยืน กิตติกายกมือไหว้ผู้าุโกว่าพร้อมรอยยิ้มที่วางหน้าไม่ถูก
“คุณแม่... เอ่อ... มาทานข้าวที่นี่เหรอครับ?”
“ใช่สิจ๊ะ ไม่คิดเลยว่าจะมาเจอ...ฉากเด็ก โลกมันกลมเนาะ” คุณหญิงอภิญญาหัวเราะด้วยท่าทางชอบใจ
อัคนีทำหน้าเหมือนพยายามหาทางออก แต่คุณหญิงอภิญญาไม่ได้ให้โอกาสพวกเขาอธิบายอะไรมากนัก เธอเพียงปรายตามองทั้งสองคน ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ แต่ทรงอำนาจ
“ตามสบายเลยนะจ๊ะ แต่พรุ่งนี้เข้าไปหาที่บ้านพร้อมกันทั้งสองคนเลยนะจ๊ะ” แล้วคุณหญิงก็เดินจากไป ทิ้งให้ทั้งอัคนีและกิตติกานั่งอึ้งอยู่ที่โต๊ะ
“ไม่ทันแล้วใช่ไหมคะ” กิตติกาถามเขาเพื่อความแน่ใจว่าถ้าแก้ตัวตอนนี้คงไม่ทันแล้วใช่ไหม
“ไม่ทัน”
เช้าวันรุ่งขึ้น ภายในคฤหาสน์ของคุณหญิงอภิญญา บรรยากาศเต็มไปด้วยความตึงเครียด
อัคนีและกิตติกานั่งอยู่บนโซฟา ขณะที่คุณหญิงอภิญญานั่งอยู่ตรงข้ามพวกเขา สายตาของเธอคมกริบไม่แพ้วันก่อน กำลังจ้องมองทั้งสองคนไม่วางตา ด้านข้างมีเ้าสัวอดิศวรนั่งอยู่ด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
เ้าสัวอดิศวรทราบเื่ั้แ่เมื่อวาน เมื่อคนเป็ภรรยากลับมาบ้านด้วยท่าทางทั้งโกรธทั้งตื่นเต้นเล่าเื่ราวที่ไปเห็นทั้งสองคนที่ร้านอาหารให้ฟัง
“ตาไฟ ไหนอธิบายให้แม่ฟังหน่อยสิ ว่าเื่ราวมันเป็มายังไง”
อัคนีทำใจมาแล้วมีสีหน้านิ่งเฉย “เราสองคนคบกันครับ”
“ั้แ่เมื่อไหร่?”
“สักพักแล้วครับ”
คุณหญิงอภิญญานิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยถามต่อ “แล้วทำไมถึงต้องปิดบัง?”
“ผมไม่ได้ตั้งใจจะปิดบังครับคุณแม่” อัคนีพยายามจจะอธิบาย “ก็ถ้าคุณแม่รู้ เดี๋ยวก็มาแย่งกริ่งไปจากผม”
“ดูลูกคุณสิ” คุณหญิงอภิญญาหันไปตีต้นขาของสามี
“ใจเย็น ๆ ก่อนคุณ” คุณอดิศวรปลอบใจภรรยา
“เ้าไฟ แม่เค้าจะไปแย่งหนูกริ่งมาจากแกได้ไง พูดอะไรไม่เข้าท่า”
“วันก่อนแม่ก็พากริ่งไปกินข้าวกันสองคน”
“แกก็ไปด้วยย่ะ”
“อันนั้นผมตามไป”
“แกต้องเข้าใจแม่เขาหน่อย เขาอยากได้ลูกสาวมาตั้งนานแล้ว หนูกริ่งแม่เขาก็เอ็นดูั้แ่มาทำงานกับพ่อ แล้วแม่แกเจอหนูกริ่งก่อนแกซะอีก แกนั้นแหละที่มาแย่งหนูกริ่งไปจากแม่แกน่ะ” คุณอดิศวรพูดเอาใจคนเป็ภรรยา
“ใช่” คุณหญิงอภิญญาหน้าตอบหน้าเชิด
อัคนีพยักหน้า “ครับ ๆ ผมเข้าใจแล้วครับ แล้วก็ขอโทษครับที่ปิดเื่นี้กับคุณแม่”
บรรยากาศตึงเครียดค่อย ๆ คลี่คลายลง คุณหญิงอภิญญาพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงกว่าเดิม
“หนูกริ่ง คิดดีแล้วใช่ไหมลูก? หนูยังสามารถเจอคนที่ดีกว่าตาไฟได้อีกเยอะเลยนะ แม่แนะนำให้เอาไหม”
อัคนีทำหน้าบอกบุญไม่รับเมื่อได้ยินคำถามของแม่ กิตติกาอมยิ้มขำกับท่าทางของสองแม่ลูกที่ไม่มีใครยอมใคร
“คุณเลิกแกล้งลูกได้แล้ว” เ้าสัวอดิศวรปรามภรรยาเอาไว้เมื่อเห็นสีหน้าลูกชาย
“คุณน่ะ” คุณหญิงอภิญญาหันไปทำหน้าขัดใจใส่คนห้าม
“ขอบคุณคุณป้ามากนะคะที่เอ็นดูหนูเสมอมา” กิตติกายกมือไหว้ขอบคุณความเมตตาที่คุณหญิงอภิญญามีให้เธอมาตลอด
“ป้าอะไรละจ๊ะ เรียกแม่ดีกว่านะ” รอยยิ้มที่อบอุ่นปรากฏขึ้นที่มุมปากของคุณหญิงอภิญญา
“ค่ะ คุณแม่”
“ดีมากจ๊ะ” คุณหญิงเข้าไปกอดเธอด้วยความยินดี แต่หันไปมองลูกชายตาขวางเพราะยังเคืองที่เขาปิดบังเื่นี้ไว้เป็นาน
“คุณแม่อย่าลืมจัดการเื่ว่าที่คู่หมั้นอะไรนั้นให้ผมด้วยนะครับ เดี๋ยวกริ่งเขาจะเข้าใจผมผิด”
“แม่บอกบ้านนั้นไปั้แ่แรกแล้ว”
“แล้วทำไมยังมีข่าวลือว่าผมจะหมั้นอยู่ละครับ”
“แม่จะไปรู้เหรอ นั่นบริษัทแกไม่ใช่รึไง” คำตอบของคุณหญิงทำให้อัคนีรู้สึกเหมือนจะหัวเราะออกมา แต่ก็ทำได้แค่ยิ้มฝืน
“สายคุณแม่ไม่ได้รายงานเหรอครับ?”
“สายเสยอะไร ไม่มีหรอก แล้วอย่าลืมจัดการเื่ข่าวลือนั่นด้วยละ เข้าใจไหม”
เช้าวันทำงาน มีหนังสือแจ้งให้พนักงานทุกคนได้รับรู้เกี่ยวกับ การชี้แจงข่าวลือเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างผู้บริหารและพนักงานในบริษัท
ตามที่ได้มีข่าวลือเกี่ยวกับการหมั้นหมายของ คุณอัคนี วิชิตอัครวรกุล ซึ่งเป็ผู้บริหารสูงสุดของบริษัท ได้แพร่กระจายในที่ทำงานและมีการพูดถึงใน่ที่ผ่านมา ทางบริษัทขอชี้แจงให้ทุกท่านทราบว่า: ข่าวลือดังกล่าวไม่เป็ความจริง
ทางบริษัทขอให้พนักงานทุกท่านหลีกเลี่ยงการแพร่ข่าวลือที่ไม่เป็ประโยชน์ต่อการทำงานและบรรยากาศภายในองค์กร
การประกาศนี้ทำให้ทุกคนแปลกใจมาก เพราะบางคนได้ยินมาจากคนที่บอกว่าตัวเองเป็คู่หมั้นเองโดยตรง แต่ก็เป็สิ่งที่เชื่อถือได้เพราะท่านประธานเป็คนออกเอกสารมายืนยันด้วยตัวเองว่าเขาไม่มีคู่หมั้นตามข่าวลือ
หฤทัยเดินตรงไปที่ห้องทำงานของอัคนีด้วยท่าทางโกรธจัด มือของเธอสั่นระริกจากความไม่พอใจที่เขาทำให้เธอต้องอับอายขึ้น ทั้งที่มีการตกลงั้แ่รุ่นคุณปู่ว่าเธอกับเขาเป็คู่หมั้นกัน ทำไมเขาถึงได้ทำแบบนี้เพื่อฉีกหน้าเธอ
“พี่ไฟ นี่มันเื่อะไรกันคะ เื่หมั้นทำไมถึงบอกว่าไม่เป็ความจริง ทั้งที่คุณปู่ของเราเคยสัญญากันไว้” หฤทัยต่อว่าเขาเสียงสั่นด้วยความโกรธ
“เื่การหมั้นเป็เื่ที่ผู้ใหญ่เขาคุยกัน ไม่ได้สัญญาเป็ลายลักษณ์อักษรด้วยซ้ำอะไร เื่แบบนี้ก็ไม่ควรจะต้องมาบังคับลูกหลานให้ทำตามนะ แล้วเื่นี้ทางผู้ใหญ่ของทั้งสองฝ่ายแล้วก็รับรู้แล้วว่าจะไม่เกิดขึ้นเด็ดขาดถ้ามีฝั่งไหนไม่เต็มใจ” อัคนีอธิบายให้เธอเข้าใจด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
หฤทัยพูดไม่ออก สีหน้าของเธอเปลี่ยนจากโกรธเป็ความอับอายอย่างเห็นได้ชัด “นี่พี่ไฟ หมายความว่าจะไม่หมั้นกับหลินงั้นเหรอ”
“พี่คิดว่าเื่งานหมั้นต้องเห็นด้วยทั้งสองฝ่ายนะ แล้วพี่ก็ไม่เคยบอกว่าจะหมั้นกับหลิน”
หฤทัยยืนตัวแข็งทื่อ รู้สึกอับอายที่เขาปฏิเสธเธอแบบไม่ไว้หน้ากันเลย หญิงสาวเดินสะบัดหน้าออกไปจากห้องทันที เข้าไปเก็บกระเป๋าแล้วเดินมาหยุดตรงหน้าโต๊ะของกิตติกา จ้องมองเธอด้วยแววตาเกลียดชัง พิสมัยลุกขึ้นยืนทันที เมื่อเห็นท่าทางของหฤทัย หญิงสาวเม้มปากแน่นแล้วเดินจากไปด้วยอารมณ์โมโห
กิตติกาไม่ได้มีท่าทีอะไรตอบกลับไป เพียงแค่มองตามร่างบางไปเท่านั้น
“แพนนี่เตรียมตัวไว้แล้วนะพี่กริ่ง”
“ขอบใจมากนะแพน” กิตติกาเอ่ยขอบคุณแต่ก็อดขำกับท่าทางของผู้ช่วยไม่ได้
หลังจากการเผชิญหน้าครั้งนั้น หฤทัยอับอายมากจนไม่สามารถทำงานต่อไปได้ เื่ทุกอย่างคลี่คลายลง แต่อัคนีก็ยังมีเื่มากวนใจอีกและดูเหมือนจะหนักกว่าแต่ก่อนด้วย
คุณหญิงอภิญญาชวนกิตติกาให้ไปหาที่บ้านทุกเสาร์อาทิตย์จนเขาไม่มีเวลาอยู่กับเธอเหมือนแต่ก่อน นี่ละเป็เหตุผลที่เขาไม่อยากบอกเื่ความสัมพันธ์ของเขากับกิตติกาให้แม่รู้ เพราะเขาจะถูกผู้เป็แม่มาแย่งเวลาของกิตติกาไป
พอท้วงไป แม่เขาก็ตอบกลับมาว่า เขาได้อยู่กับกิตติกาตั้ง 5 วัน นี่แค่ให้กิตติกามาทานข้าวที่บ้าน หรือไปช็อปปิ้งเป็เพื่อนแค่เสาร์อาทิตย์จะมาบ่นอะไร
อัคนีต้องพยายามคิดแผนเพื่อแย่งกิตติกามาจากแม่อยู่ตลอด เหมือนอย่างเช่นตอนนี้ที่เขาแพ้ให้คุณหญิงอภิญญาอีกตามเคย เพราะเขากำลังนั่งอยู่ที่ร้านทำเล็บที่ห้างสรรพสินค้า ทำหน้าที่ถือถุงช็อปปิ้งให้แม่กับแฟนอยู่
“ตาไฟ จะไปไหนก็ไปได้เลยนะ เดี๋ยวแม่กับหนูกริ่งจะไปทำสปาต่อ”
“อะไรนะครับ!!”
“แม่นัดทำสปาไว้ตอนบ่ายนะ ได้คูปองมาฟรีด้วยนะ” คุณหญิงอภิญญาบอกด้วยท่าทางอารมณ์ดี “แม่จองคอร์สนวดผ่อนคลายเอาไว้ให้หนูกริ่งด้วยนะลูก ทำงานเหนื่อย ๆ มาทั้งอาทิตย์จะได้ผ่อนคลายบ้าง”
“ขอบคุณค่ะคุณแม่” กิตติกาไหว้ขอบคุณ
“จ๊ะ” คุณหญิงอภิญญากอดหญิงสาวอย่างรักใคร่
แต่อัคนีที่เป็ลูกแท้ ๆ ได้แต่มองด้วยความละเหยใจ นี่เขาเหมือนเป็คนขับรถที่มาช่วยถือของยังไงยังงั้น
อัคนีและกิตติกามาถึงสนามบินเชียงใหม่ในตอนเช้า เขาและเธอเดินทางมาตามตารางงานที่กำหนดเอาไว้ เพื่อมาดูความคืบหน้าของโครงการรีสอร์ตแห่งใหม่
แต่นั้นเป็สิ่งเขาอ้างกับเธอเท่านั้น เพราะจริง ๆ แล้วเขามีแผนพาเธอไปเที่ยวพักผ่อนแล้วก็จะได้ใช้เวลากับเธอสองคนโดยที่คุณหญิงอภิญญาไม่สามารถมาแย่งตัวเธอไปได้
อัคนียิ้มอย่างมีความสุขที่ทุกอย่างเป็ไปตามแผนที่วางไว้ เขาเปิดประตูรถผายมือเชื้อเชิญให้หญิงสาวลงจากรถ "เราจะพักกันที่นี่แหละ สวยไหม"
กิตติกามองดูบรรยากาศรอบ ๆ ที่เต็มไปด้วยความร่มรื่นของต้นไม้ดอกไม้ที่ตกแต่งได้อย่างลงตัวกับบ้านพักหรูหราบนดอยแบบนี้
“สวยค่ะ แล้วเราจะไม่ไปดูที่ก่อสร้างกันเหรอคะ”
“ไม่ละ” อัคนียักไหล่
“อ้าว!!”
“ก็ไม่ได้จะไปดูั้แ่แรกอยู่แล้ว”
สิ่งที่เขาบอกยิ่งทำให้กิตติกางงเข้าไปใหญ่ ก็ไหนบอกว่าจะมาตรวจความคืบหน้าการก่อสร้าง
“ผมแค่พาคุณหนี จากคุณหญิงอภิญญาเท่านั้นแหละ”
“คุณไฟ...ทำตัวเป็เด็กไปได้” เธอฟาดไปบนไหล่เขาอย่างมันเขี้ยว
“คุณต้องไปโทษคุณแม่นะครับ ที่ชอบมาพาคุณไปเที่ยว คุณเลยไม่มีเวลาให้ผม”
และสิ่งที่กระตุ้นเขาอีกอย่างก็คือ คำพูดของคุณหญิงอภิญญาที่บอกเขาด้วยท่าทางเป็ต่อว่า “แกก็รีบมีหลานมาให้แม่สิ แม่จะได้ไม่ไปแย่งหนูกริ่งมาจากแก”
แบบนี้เขาจะทำให้แม่ผิดหวังได้ไง
มาถึงวันแรกอัคนีไม่ได้มีเพลนพากิตติกาไปที่ไหนไกล เขาพาเธอมานอนกอดอยู่ตรงระเบียงอย่างมีความสุขเพื่อพักเอาแรงก่อนเพราะต้องตื่นมาสนามบินกันั้แ่เช้า
หลังจากตื่นขึ้นมาก็ค่อยพาเธอออกไปหาอาหารอร่อย ๆ ขึ้นชื่อของจังหวัดกิน เวลาใน่บ่ายก็พาไปตระเวนตามสถานที่ท่องเที่ยวให้เธอได้ถ่ายรูปให้หนำใจโดยที่เขาทำหน้าที่เป็ตากล้องประจำตัว
ตกเย็นก็เดินเที่ยวเล่นที่ถนนคนเดิน แวะซื้อของกิน ชิมกันไปตลอดทางทั้งคาวทั้งหวาน แล้วค่อยกลับไปยังที่พัก
กิตติกาส่งเสียงครางจนเหนื่อยหอบ ร่างกายชื้นเหงื่ออีกครั้งหลังจากที่เพิ่งล้างตัวเสร็จไปก่อนหน้าไม่นาน เธอถูกอัคนีปลุกปั่นอยู่ชานด้านนอกชั้นสองหลังจากที่เขาพาเธอมานั่งดูดาวอยู่พักใหญ่
ชุดเดรสตัวสวยของเธอถูกอัคนีดึงรั้งให้มากองอยู่ที่เอวเปิดเผยให้เห็นผิวขาวเนียนที่สะท้อนแสงสีทองจากโคมไฟด้านข้าง ดีที่บ้านพักของเขามีความเป็ส่วนตัวสูง มีรั้วรอบขอบชิดที่คนนอกไม่สามารถมองเข้ามาได้
ร่างกายของเธอสั่นสะท้านเพราะถูกเขาพาดำดิ่งไปในห้วงอารมณ์ดำกฤษณาจนยากจะต้านทาน อัคนีค่อย ๆ ถอนถอยนิ้วเรียวยาวออกจากดอกไม้ที่เต็มไปด้วยน้ำหวานฉ่ำเยิ้มจากเธอ
“อื้อ...” กิตติกาหลุดเสียงครางแ่ในลำคอด้วยความเสียวซ่านที่เรียวนิ้วนั้นเลือนผ่านจุดอ่อนไหวออกไป
อัคนีมองเธอด้วยสายตาอ่อนโยน ปลายนิ้วไล้เส้นผมที่เปียกชื้นออกจากใบหน้าหวานอย่างแ่เบา ดวงตาคมเข้มสะท้อนแสงวูบไหวจากโคมไฟ
"มีความสุขไหม?" เขากระซิบถามทั้งที่ริมฝีปากร้อนแนบกับริมฝีปากของเธอ ก่อนจะขบเม้มริมฝีปากล่างอย่างแ่เบา
กิตติกาหลับตาลง รับััที่เต็มไปด้วยความรักและความอ่อนโยน หัวใจเต้นแรงทุกครั้งที่เขานำพาให้เธอพบเจอกับความสุขล้นทุกครั้ง ที่แทบจะหลอมละลายไปกับไออุ่นจากร่างสูงที่โอบกอดเธอไว้แน่น
"พี่มีความสุขที่สุด" เขาบอกความรู้สึกให้เธอรับรู้
“กริ่งก็มีความสุขค่ะ” เสียงเธอแ่เบา
อัคนียิ้มมุมปาก แขนแกร่งรั้งร่างบางเข้ามาแนบชิดยิ่งขึ้น ก่อนกระซิบข้างหูเธอด้วยน้ำเสียงทุ้มลึก "พี่จะเติมความสุขให้นะครับ"
พูดจบอัคนีก็อุ้มที่อ่อนระทวยสายตาปรือปรอยขึ้น แล้วพาไปที่เตียงกว้างในห้องแทน มือหนาประคองแก้มทั้งของสองข้างของเธอไว้ โน้มหน้าเข้ามาจูบเธออย่างอ่อนหวาน กิตติกาตอบรับจูบนั้นอ่อนหวานเช่นกัน
จมูกโด่งไล่ไปตามลำคอกดจูบเบา ๆ ตามเนื้อนวล ไปจนถึงเนินอกอิ่ม ปลายลิ้นอุ่นตวัดปาดเลียยอดอกสีสวยแล้วดูดดึงเบาๆ กิตติกาแอ่นกานขึ้นเพื่อรับความรัญจวนที่เขาปรนเปรอให้อย่างเต็มที่
อัคนีหยัดกายขึ้น แยกต้นขาของเธอออกจากกันแล้วแทรกตัวเข้าไปแทนที่ อัคนีจ่อตัวตนเข้ากับใจกลางร่างของเธอ
มือหนาส่งแก่นกายใหญ่เข้าไปแล้วถอนออก ทำแบบนั้นอยู่สองสามที แล้วค่อย ๆ ดันหายเข้าไปในตัวเธอทั้งความยาว อัคนีมองภาพนั้นด้วยแววตาวาววับ เขาชอบทุกครั้งที่ได้เข้าไปอยู่ในตัวเธอ เขาก็เริ่มขยับเข้าออกช้า ๆ ความเสียดเสียวเกิดขึ้นทุกครั้งที่อัคนีขยับเข้าและขยับออก
มือหนาฟ้อนเฟ้นอกอวบตามแรงกระแทกกระทั้น แววตาที่เขามองเธอเต็มไปด้วยความหลงใหล
อัคนียึดเอวบางไว้แน่น แล้วขยับสะโพกถี่รัวตามแรงอารมณ์ เมื่อรับรู้ว่าใกล้ถึงความสุขสม กิตติกาโอบกอดร่างหนาแน่น รองรับความซ่านเสียวที่เขาส่งเข้าหาเธออย่างหนัก
ก่อนร่างบางจะเกร็งกระตุกใจกลางกายตอดรัดตัวตนของเขาอัคนีกระแทกสะโพกอีกไม่กี่ครั้งก็เกร็งกระตุกตามเธอไป ปลดปล่อยความร้อนเข้าไปหาเธอจนล้น แขนแกร่งโอบกอดร่างเธอไว้แน่น
อัคนีกดจูบร้อนแรงกับริมฝีปากบางที่กำลังหอบหายใจสะท้านอยู่ด้านล่าง ก่อนจะค่อย ๆ ถอดถอนความเป็ชายของเขาออกมา แล้วก้มลงไปหาความอวบหยุ่นด้วยริมฝีปากและมืออีกครั้ง
“อื้อ...พี่ไฟ” กิตติกาครางประท้วงเพราะความเหนื่อย แต่ก็ไม่สามารถขัดขืนเขาได้
อัคนีตั้งใจปลุกเร้าเธออีกครั้ง และจับร่างบางให้นอนคว่ำ ยกสะโพกของเธอขึ้นให้เปิดเปลือยดอกไม้สีหวานที่เต็มไปด้วยของเหลวสีขาวขุ่นให้เขาได้เชยชม
เขากดนิ้วเข้าไปเพื่อดันของเหลวสีขาวที่เขาเป็คนเติมเต็มก่อนหน้านี้ให้ไหลออกมา ก่อนจะใช้ลิ้นร้อนปาดเลียตุ่มไตบนกุหลาบสีสวยนั้น
กิตติกาสั่นสะท้านขนลุกไปกับความกระสันเร่งผลิตน้ำหวานให้ไหลเยิ้มออกมา
หญิงสาวกำผ้าปูที่นอนแน่น ส่งเสียงครางยาวเมื่อเขาส่งเธอไปถึงปลายทางอีกครั้ง แต่เขายังไม่ยอมปล่อยเธอให้เป็อิสระ อัคนีรุกล้ำเข้าหาเธออีกครั้งจากด้านหลัง
กิตติกาครางแ่ เกร็งตัวรับความแข็งขึงจากเขาจนเขาเข้ามาจนสุดความยาว อัคนีเริ่มด้วยจังหวะเนิบช้าแล้วค่อยเปลี่ยนเป็รัวเร็ว มือหนาบีบเคล้นบั้นท้ายกลมกลึงแรงตามอารมณ์ที่พุ่งทะยานขึ้น
เสียงเนื้อกระทบกันดังขึ้นตามแรงกระแทกสะโพกสอบที่อัคนีส่งเข้าหาเธออย่างต่อเนื่อง
“พ..พี่ไฟ..” กิตติกาเรียกชื่อเขาเสียงพร่าก่อนจะถึงจุดความเสียวซ่านร่างกายเหมือนลอยเคว้งในอากาศก่อนเขา เธอเกร็งกระตุกซ้ำ ๆ ซบหน้าลงอย่างหมดแรงกับหมอนใบใหญ่
ตัวตนของอัคนีที่ยังอยู่ในกายเธอขยับอีกครั้ง กายใหญ่โน้มเข้าไปหาสูดดมกลิ่นกายหอมจากตัวเธอ กอบกุมทรวงอกที่ไหวกระเพื่อมแน่น สะโพกก็ทำหน้าที่สอดใส่เข้ามารัวเร็วอีกครั้งจนเมื่ออัคนีเกร็งกระตุกปลดปล่อยความร้อนเหลวเข้าหาเธออีกครา
กิตติกาหมดเรี่ยวแรง ดวงตาปรือจะหลับอยู่รอมร่อ อัคนีอุ้มเธอขึ้นอีกครั้ง พาเข้าไปในห้องน้ำเพื่ออาบน้ำและเช็ดตัวให้แห้งเพื่อให้เธอสบายตัว แล้วพาเธอมานอนบนเตียงนุ่มอีกครั้ง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้