บทที่ 16 กลับบ้าน
บนแท่นชมลาน ไม่เพียงแต่ฉู่เจิ้นหนานเท่านั้น แต่ยังรวมถึงผู้าุโคนอื่นๆ ที่ทำหน้าไม่อยากเชื่อด้วย
“นี่... ฉู่อวิ๋นผู้นี้อยู่แค่ระดับสามของขอบเขตควบแน่นพลังปราณ แต่กลับบรรลุจิตไหวกระบี่แล้วหรือ? ข้า...ข้าไม่ได้ฝันไปใช่หรือไม่?” ผู้าุโสี่ยังคงมองดูฉู่อวิ๋นที่อยู่ในลานฝึกยุทธ์ พลางจิกตัวเองไปด้วย ความรู้สึกเจ็บที่ต้นขาทำให้รู้ว่าสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่คือเื่จริง
จิตไหวกระบี่ เป็สภาวะแรกของการฝึกกระบี่ และยังเป็เกณฑ์มาตรฐานในการตัดสินว่าผู้ฝึกกระบี่มีศักยภาพหรือไม่
ขอเพียงแค่ฝึกฝนจนถึงขั้นนี้ ไม่เพียงช่วยลดระยะเวลาในการฝึกทักษะกระบี่เท่านั้น แต่ยังสามารถใช้ทักษะกระบี่ได้ตาม้า เมื่อจิตใจแข็งแกร่ง กระบี่ก็จะแข็งแกร่ง เมื่อจิตใจสงบ กระบี่ก็จะสงบ
กระบี่ เปรียบเสมือนส่วนหนึ่งของร่างกายผู้ฝึกกระบี่ที่สามารถเอาออกมาใช้และเรียกกลับเข้าไปได้ตาม้า
โดยทั่วไปแล้ว มีเพียงผู้ฝึกกระบี่ที่ฝึกฝนมาหลายปีและประสบความสำเร็จด้านกระบี่อยู่บ้างเท่านั้น ที่สามารถบรรลุถึงขั้นนี้ได้
เมื่อผู้ฝึกกระบี่มาถึงระดับนี้ พวกเขาถือได้ว่าเป็ผู้เริ่มต้นวิถีแห่งกระบี่ที่แท้จริง
ฉู่อวิ๋นบรรลุจิตไหวกระบี่ได้ในการต่อสู้ ซ้ำอายุยังน้อย นี่คือสิ่งที่ทำให้โลกตกตะลึง
ผู้าุโคนอื่นๆ ที่นั่งอยู่ที่โต๊ะก็ใเช่นกัน เสียงกระซิบและพูดคุยเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ
“การที่สามารถบรรลุจิตไหวกระบี่ได้ทั้งๆ ที่พลังยุทธ์ต่ำ พร์ด้านกระบี่ของเ้าเด็กนี่ช่างน่าอัศจรรย์นัก!”
“ตอนที่ฉู่อวิ๋นและฉู่เจี้ยนเหรินประลองกันก่อนหน้านี้ ทักษะกระบี่ของเขาไม่ได้อยู่ในระดับนี้ เขา...เขาก้าวหน้าในระหว่างการต่อสู้! นี่มันน่ากลัวเกินไปแล้ว!”
“หืม? พวกท่านกำลังสนใจผิดประเด็นอยู่กระมัง? ด้วยการฝึกฝนของเขาที่อยู่ในระดับสามของขอบเขตควบแน่นพลังปราณ เขาเอาชนะนักรบิญญาสี่คนที่อยู่เหนือเขาหนึ่งระดับในเวลาเดียวกันได้! ถ้าเช่นนั้น...เขาสามารถเข้าร่วมได้...”
ผู้าุโคนหนึ่งคิดถึงประเด็นหลักและมองไปที่ฉู่เจิ้นหนานซึ่งนั่งอยู่ตรงกลางวงล้อมที่นั่ง เมื่อเห็นสีหน้าอึมครึมของเขา พวกเขาก็เงียบไปทันที
เห็นได้ชัดว่าสถานการณ์ที่ควรจะสิ้นหวังของฉู่อวิ๋นกลับพลิกกลับมาตบหน้าของฉู่เจิ้นหนานอย่างแรง
นอกจากผู้าุโและนักรบบางคนแล้ว ศิษย์คนอื่นๆ ต่างก็ดูไม่ออก พวกเขารู้แค่ว่าฉู่อวิ๋นใช้ท่าที่เรียกว่าประกายทมิฬเอาชนะนักรบทรงพลังสี่คนในระดับสี่ของขอบเขตควบแน่นพลังปราณได้ เื่นี้ยิ่งใหญ่มาก
ในหมู่พวกเขา ศิษย์บางคนยังคงตกตะลึง ในขณะที่ศิษย์จำนวนมากส่งสายตาชื่นชม ยกย่อง และโห่ร้อง จนเกิดความโกลาหลขึ้น
ในตระกูลนักรบ ผู้แข็งแกร่งย่อมได้รับความเคารพ สมาชิกตระกูลที่อายุน้อยและมีิญญายุทธ์ ทุกคนต่างกระตือรือร้นที่จะเอาชนะคู่ต่อสู้ที่ทรงพลังและสร้างความโดดเด่นไว้ใต้แสงสว่างอันเรืองรอง
เมื่อเห็นฉู่อวิ๋นใช้ปราณกระบี่ที่รวดเร็วดั่งสายน้ำพลิกกระดานจากแพ้เป็ชนะได้ ใครบ้างจะไม่ใ? ใครบ้างจะไม่ยอมรับ?
ในขณะนี้ ฉู่อวิ๋นเก็บกระบี่คืนฝัก มองไปที่ฉู่เจิ้นหนานอย่างสงบ และพูดว่า "ไม่ทราบว่าตอนนี้ข้าสามารถเข้าร่วมการประลองเซี่ยหยางได้หรือยัง?"
คำพูดของฉู่อวิ๋นเปรียบเสมือนกระบี่คมกริบ ทิ่มแทงฉู่เจิ้นหนานกลางแท่นชมลานจากลานฝึกยุทธ์ที่ส่งเสียงโห่ร้อง ทำให้ใบหน้าของเขาดูเคร่งขรึม ดวงตาหรี่ลงเล็กน้อย และจับที่วางแขนของเก้าอี้ไว้
ฉู่เฟยที่ยืนอยู่ข้างๆ ฉู่เจิ้นหนานยังคงดูเย่อหยิ่ง นางเหลือบมองฉู่อวิ๋นและแค่นเสียงอย่างเ็า "เชอะ! ท่านพ่อ เมื่อครู่ที่ฉู่อวิ๋นชนะพวกขยะทั้งสี่ได้ก็เพราะโชคเข้าข้าง เพราะพวกมันที่ตาต่ำประมาทคู่ต่อสู้จึงต้องพ่ายแพ้"
นี่แสดงให้เห็นว่า แม้ฉู่เฟยจะเก่งมาก แต่กลับมีความรู้เพียงเล็กน้อยในเื่พลังยุทธ์ ทั้งยังไม่อาจมองเห็นความสามารถที่แท้จริงของฉู่อวิ๋นได้
ยิ่งไปกว่านั้น ฉู่เฟยที่อาศัยการปลุกิญญายุทธ์ระดับหกขึ้นมาย่อมมีความเย่อหยิ่งมาโดยตลอด เมื่อเห็นฉู่อวิ๋นทำสิ่งที่ตนทำไม่ได้ในตอนนั้น จึงอดรนทนไม่ไหวอยู่บ้าง
ฉู่เจิ้นหนานมองฉู่เฟยโดยไม่พูดอะไร จากนั้นโบกมือเพื่อปิดฉากการประลองทั้งหมด
ทันใดนั้น ลานฝึกยุทธ์ขนาดใหญ่ก็เงียบลง
ทุกคนกำลังรอการตัดสินใจของฉู่เจิ้นหนาน
หลังจากหายใจออกยาวๆ ฉู่เจิ้นหนานก็ประกาศว่า "วันนี้... ฉู่อวิ๋น ผู้มีพลังยุทธ์ระดับสามของขั้นขอบเขตควบแน่นพลังปราณเอาชนะศิษย์สี่คนในระดับสี่ของขั้นขอบเขตควบแน่นพลังปราณในเวลาเดียวกันได้ สร้างชื่อเสียงให้กับตระกูลฉู่ จากสัญญาของข้า”
ฉู่เจิ้นหนานหยุดพูดชั่วครู่ ร่องรอยของความไม่เต็มใจปรากฏขึ้นในดวงตาของเขา จากนั้นก็พูดต่อ "ฉู่อวิ๋นมีสิทธิ์เข้าร่วมการประลองเซี่ยหยางได้ หวังว่าเขาจะนำพาชื่อเสียงมาสู่ตระกูลฉู่ เมืองไป๋หยางของเขาได้"
"ว้าว--"
ทันทีที่เขาพูดจบ ลานฝึกยุทธ์ก็ตกอยู่ในความวุ่นวายอีกครั้ง ด้วยเสียงะโจากทั่วทุกมุม!
ศิษย์หลายคนมองฉู่อวิ๋นอย่างอิจฉา
เพราะตราบใดที่ได้รับอันดับที่ดีในการประลองเซี่ยหาง แม้ว่าจะไม่ได้อยู่ในสามอันดับแรก แต่ก็มีโอกาสที่จะได้รับทรัพย์สมบัติ โอสถวิเศษ หรือทักษะวิชายุทธ์ที่จะช่วยให้ฝึกฝนได้เร็วขึ้น ทั้งมีประโยชน์มากมาย
แน่นอนว่าบางคนก็อิจฉา ในขณะที่บางคนก็ดูถูกเหยียดหยาม
บนแท่นชมลาน ใบหน้าสวยของฉู่เฟยเ็ายิ่งนัก นางเชิดคางขึ้นสูง และมองไปที่ฉู่อวิ๋นที่อยู่บนลานฝึกยุทธ์ ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความยั่วยุ
เมื่อััได้ถึงท่าทีที่ไร้ความปรานีนี้ ฉู่อวิ๋นก็ไม่ยอมแพ้และจ้องกลับไป
ดวงตาของทั้งสองสบกันในอากาศ คล้ายประกายไฟะเิออกมา
“หนึ่งเดือนจากนี้...รอดูก็แล้วกัน!”
เมื่อจ้องมองที่ฉู่เฟยอย่างดุเดือดอยู่ครู่หนึ่ง ฉู่อวิ๋นก็ถอนสายตาและเดินลงจากลานโดยตั้งใจที่จะเก็บร่างไร้ิญญาของฉู่อู๋ไปด้วย
แต่ร่างของฉู่อู๋ถูกฝ่ามือกัมปนาทขนาดใหญ่โจมตี จึงเปลี่ยนไปจนแทบจำไม่ได้ และน่าสังเวชเกินกว่าจะมอง
ในเวลานี้ ฉู่เจิ้นหนานเอ่ยขึ้นอีกครั้งด้วยน้ำเสียงค่อนข้างไม่พอใจ "ฉู่อู๋หันมาเข้าร่วมกับตระกูลหลักของข้าแล้วย่อมเป็คนของตระกูลหลัก สำหรับเื่ศพของเขา ข้าจะจัดการเอง เ้าไม่ต้องมายุ่ง "
“ส่วนลูกสาวของเขา เ้าก็พาไปเถอะ อย่างไรเสียก็เป็แค่เด็กน้อยที่ยังไม่อาจปลุกิญญายุทธ์ได้ ทิ้งไว้ที่นี่ก็เปลืองเศษข้าว”
ฉู่เจิ้นหนานยังคงโกรธอย่างเห็นได้ชัด เขาไม่เคยคิดเลยว่าการกระทำแบบขอไปทีของเขาจะทำให้ฉู่อวิ๋นมีโอกาสแสดงตัวขึ้นมาจริงๆ แต่ต่อหน้าคนในตระกูลมากมาย เขาไม่อาจกลับคำพูดได้ จึงได้แต่หยุดยั้งฉู่อวิ๋นเอาไว้บ้าง เพื่อแสดงอำนาจของผู้นำตระกูล
แต่ครั้งนี้ ต่อให้ฉู่อวิ๋นโชคช่วยจนชนะไปได้แล้วอย่างไร?
นอกจากฉู่เฟยแล้ว ในตระกูลยังมีนักรบหนุ่มจำนวนมากที่อยู่ในระดับห้าของขอบเขตควบแน่นพลังปราณ และยังมีตระกูลนักรบที่ทรงพลังอีกมากมายในเมืองไป๋หยาง
เช่นเดียวกับลูกสาวของเ้าเมืองมู่หรงซึ่งเป็ที่รู้จักในนาม "คู่งามแห่งไป๋หยาง" ร่วมกับฉู่เฟย นางผู้นั้นก็สวยและทรงพลังไม่แพ้กัน
การจะเข้าสู่สามอันดับแรกในการประลองเซี่ยหยาง จึงไม่ใช่เื่ง่าย
ฉู่อวิ๋นที่อยู่ใต้แท่นลานฝึกยุทธ์ไม่ได้สนใจอะไรมาก เขาไตร่ตรองเล็กน้อย จ้องไปที่ฉู่เฮ่าแล้วพูดกับฉู่เจิ้นหนานว่า "เมื่อไม่นานนี้ ฉู่เฮ่ามาที่ลานตะวันออกด้วยตั้งใจมาลวนลามฉู่ซินเหยาพี่สาวข้า ข้าหวังว่าจากนี้ไปผู้าุโหกจะฝึกวินัยลูกชายของท่านให้ดี หากเื่นี้แพร่ออกไป จะส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงของตระกูลฉู่เอา”
ใช้โอกาสนี้แก้เค้นเื่ของฉู่เฮ่าได้ ฉู่อวิ๋นก็กลับบ้านอย่างเป็สุข
ฉู่เจิ้นหนานขมวดคิ้ว จ้องมองไปที่ผู้าุโหก และถามด้วยความโกรธ "นี่เป็เื่จริงหรือ?!"
ผู้าุโหกตื่นตระหนกอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นฉู่เฮ่ายืนนิ่งอยู่ข้างๆ จึงเข้าใจสาเหตุที่มือขวาของเขาพิการ เขาจึงก้มหน้าลงแล้วยกมือขึ้นประสาน “เื่...เื่นี้ข้าไม่รู้เหตุการณ์! แต่เดี๋ยวข้าจะลงโทษเขาแน่นอน ขอท่านผู้นำโปรดให้อภัย”
ฉู่เจิ้นหนานส่งเสียงแค่นจมูกอย่างเ็าและไม่พูดอะไรอีก ทำให้ผู้าุโหกถอนหายใจอย่างโล่งอก
แต่ทว่าฉู่เฮ่าไม่ได้โชคดีนัก ในหมู่ศิษย์มีนักรบหนุ่มหลายคนที่หลงรักฉู่ซินเหยา เมื่อพวกเขาได้ยินเื่นี้เข้าก็กัดฟันจนแทบแตก ดูเหมือนว่าชีวิตของฉู่เฮ่าต่อจากนี้คงไม่ง่ายนัก
หลังจากแก้ไขภัยแฝงแล้ว ฉู่อวิ๋นก็อุ้มเสี่ยวถงขึ้นมาด้วยมือข้างเดียว ปาดน้ำตาบนใบหน้าของนางออกแล้วพูดเสียงอ่อนโยน "ไป...พวกเรา กลับบ้านกัน"
จากนั้น ฉู่อวิ๋นก็หันกลับมา ทิ้งร่างไร้ิญญาไว้เื้ั เดินจากไปอย่างช้าๆ และสง่างาม
เมื่อก้าวผ่านไปทางไหน ฝูงชนก็ก้าวหลบออกไปเพื่อหลีกทางให้ฉู่อวิ๋น
ไม่มีใครกล้าลุกขึ้นมาก่อความวุ่นวาย
แม้แต่ยามทั้งสองที่เฝ้าประตูก็ไม่กล้าแสดงท่าทีเยาะเย้ยอีกต่อไป ปล่อยให้ฉู่อวิ๋นก้าวเท้าออกจากประตูลานตะวันตกออกจากเรือนไป
ระหว่างทาง ฉู่อวิ๋นยังคงเงียบ และเสี่ยวถงที่ถูกอุ้มไว้ในอ้อมแขนของเขาก็หยุดร้องไห้แล้ว ดวงตากลมโตคู่หนึ่งฉายแววที่แข็งแกร่ง
ไม่นาน ฉู่อวิ๋นก็กลับมาที่โรงเตี๊ยม เมื่อคิดว่าตนเองจะได้ไปเจอฉู่ซินเหยาในสภาพปลอดภัย ก็สุขใจยิ่งนัก
เมื่อเปิดประตูห้อง ฉู่อวิ๋นวางเสี่ยวถงลง และกำลังจะเรียกฉู่ซินเหยา
แต่กลับไม่มีใครอยู่ในห้อง
เมื่อเห็นห้องที่ว่างเปล่า หัวใจของฉู่อวิ๋นก็เต้นระรัว!
“พี่หญิง! พี่หญิง! ท่านอยู่ไหน?!”
หลังจากวิ่งวนค้นหาในโรงเตี๊ยมสักระยะ ฉู่อวิ๋นก็ยังไม่พบร่องรอยของฉู่ซินเหยา
ฉู่อวิ๋นอยู่ในภาวะสับสน ถึงเขาจะเพิ่งต่อสู้กับนักรบิญญาสี่คนในลานฝึกยุทธ์ แต่ตอนนั้นเขาก็ไม่ได้กังวลหรือกลัวมากเท่าใดนัก!
ไม่นานหลังจากนั้น ฉู่อวิ๋นก็พบฉู่ซินเหยาในชุดธรรมดาสีชมพูใกล้ห้องบนชั้นสองของโรงเตี๊ยม จึงรีบวิ่งขึ้นไปทันที
เมื่อเห็นฉู่อวิ๋นที่หอบหายใจ ใบหน้างามของฉู่ซินเหยาก็เปล่งประกายด้วยความดีใจ นางวิ่งเหยาะๆ ไปทางฉู่อวิ๋นแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม "อวิ๋นเอ๋อร์! เ้ากลับมาแล้ว!"
แต่ในเวลานี้ ฉู่อวิ๋นไม่พูดอะไรสักคำ ทำเพียงดึงฉู่ซินเหยามากอดไว้แน่น ซบหน้าของเขาเข้าไปในเรือนผมของนาง พาให้ได้กลิ่นหอมที่คุ้นเคย
เมื่อครู่ที่ฉู่ซินเหยาหายไป ฉู่อวิ๋นกลัวมาก ในใจรู้สึกวูบโหวง แม้จะต้องเผชิญกับคมกระบี่ แต่เขาก็ไม่ตื่นตระหนกมากนัก
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้